เธอเดินออกมาเปิดประตูบ้าน และขับรถเข้าไปเก็บภายในโรงรถ บ้านของเธอเป็นบ้านจัดสรรสองชั้น มีสี่ห้องนอนและสามห้องน้ำ และมีโรงจอดรถได้สองคัน เธอเปิดประตูบ้านเข้ามาก็มองเห็นพ่อที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่
“ทำไมวันนี้กลับเย็นจัง แล้วนี่กินข้าวมาหรือยังแม่อยู่ในครัวนะ ถ้าหิว ก็เข้าไปหาแม่ก่อนได้เลย”
“ได้คะพ่อ อยากคุยกับแม่อยู่พอดีเลย” เธอเดินเข้ามาในครัว ได้กลิ่นอาหารที่แม่กำลังทำอยู่ กลิ่นหอมชวนให้เธอหิวข้าว
“แม่ ทำอะไรอยู่ หอมน่าทานมากเลย ท้องหนูร้องเสียงดังไปหมดแล้วเนี่ย”
“ปากหวานจริงๆ เรา แม่ทำกับข้าวที่ลูกชอบกินรีบมากินเร็ว”
ซูเมิ่งมองหน้าแม่ แล้วก็เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ได้พูด
“มีอะไรอยากคุยกับแม่หรือเปล่า เห็นมองแม่หลายครั้งแล้ว”
“แม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ เรื่องที่มันไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น หรือคงเกิดเรื่องแบบนี้ แค่ในความฝันเท่านั้น” เธอไม่รู้จะเรียกเรื่องพวกนั้นว่าอย่างไรดี
“จะบอกว่าเชื่อ แม่ก็ไม่ได้เชื่อเต็มร้อย แต่แม่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อไปหมดทุกอย่าง โลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เราไม่มีทางรู้หรอกว่ามีหลายสิ่ง หลายอย่างที่ซ่อนอยู่ในโลกของเราก็ได้ เพียงแต่เรายังไม่เคยเจอ หรือยังไม่เคยเห็นแค่นั้น ว่าแต่ทำไมลูกถามแม่เรื่องนี้ มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”
“ถ้าหนูบอกกับแม่ แม่จะเชื่อหนูไหมค่ะ แต่หนูอยากให้แม่เชื่อนะคะ หนูฝันถึงเรื่องในอนาคต ฝันว่ามีคนมาบอกว่าโลกเราตอนนี้มันถึงช่วงที่แย่ที่สุดแล้วโลกเรากำลังจะเกิดหายนะครั้งใหญ่ ตอนแรกหนูก็ไม่เชื่อ จนตื่นมาพร้อมกับรอยสักตรงนิ้วมือค่ะ” ซูเมิ่งยกมือซ้ายตรงนิ้วที่มีรอยสักให้แม่ได้เธอดู
“ลูกไม่ใช่แอบไปสักมา แล้วมาโกหกแม่ใช่ไหม”
“แม่! หนูจะมาโกหกแม่ทำไมค่ะ ถ้าแม่ไม่เชื่อแม่ดูนี่นะ หนูจะหยิบของ เอาออกมาจากข้างในมิติออกมาให้ดู” ซูเมิ่ง แบมือแล้วตั้งจิต ในมือมีลูกแอปเปิลสีแดงสดดูน่ากินอยู่หนึ่งลูก แม่มองซูเมิ่งด้วยความตกใจ เธอไม่คิดว่าโลกนี้จะมีเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้! อยู่จริงๆ
“แม่!”
“จะเรียกแม่เสียงดังทำไมเรา”
“หนูเห็นแม่อ้าปากค้างอยู่ หนูนึกว่าแม่ช็อกไปแล้ว”
“มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ แม่คิดว่ามีแต่ในนิยายเท่านั้น แล้วลูกได้บอกกับใครไปบ้างแล้วหรือยัง”
“หนูบอกแม่คนแรกเลยค่ะ ยังไม่ได้บอกกับใคร พ่อก็ยังไม่ได้บอกเลย”
“แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ เราควรบอกพ่อของลูก เรื่องนี้ลูกก็ต้องเก็บไว้เป็นความลับ รู้ได้เฉพาะครอบครัวของเราเท่านั้น ว่าแต่มิตินี้ทำอะไรได้บ้าง”
“ยังไม่ได้เข้าไปสำรวจแบบละเอียด แต่หนูจะบอกแม่อีกเรื่อง ตอนนี้หนูลาออกจากงานแล้ว หนูอยากจะบอกแม่ไว้ก่อน และซื้อของที่จำเป็นมาไว้บ้างแล้ว”
“ลาออกแล้ว? ”
“ใช่คะ แม่ว่าหนูหรือเปล่า หนูแค่อยากเอาเวลาที่เหลือรีบวางแผนเตรียมตัวสำหรับหายนะที่จะเกิด”
“แม่ก็ตกใจที่ลูกทำอะไรรวดเร็วแบบนี้ แต่เรื่องนี้น่าจะเรื่องใหญ่เราจะคิดกันเองแค่นี้ไม่ได้หรอก เรียกทุกคนในครอบครัวมาช่วยกันคิดดีกว่า”
“ออกไปเรียกพ่อของลูก แล้วเราก็ไปคุยกันตรงโต๊ะกินข้าวกันดีกว่ามายืนคุยในครัวแบบนี้ ซีซวนใกล้กลับมาแล้วจะได้คุยกันทีเดียว ส่วนพี่ชายของลูกแม่จะบอกเขาเอง”
“พ่อค่ะ กับข้าวเสร็จแล้ว มากินข้าวได้แล้วค่า”
“น้องลูกกลับมาหรือยัง”
“ผมกลับมาแล้วครับพ่อ” เสียงซีซวนเปิดประตูเข้ามาในบ้าน
“มีอะไรกันหรือเปล่าครับทำไมวันนี้อยู่พร้อมหน้ากันเลย”
“วันนี้พี่ของลูกมีเรื่องจะบอกกับทุกคน”
พ่อและน้องชายมองหน้ากันด้วยความ งง แต่ซูเมิ่งก็ไม่ได้ให้ทุกคน งง นานมากนัก เธอก็ได้บอกทุกอย่างตามที่ได้พูดคุยกับแม่ไว้ก่อนแล้ว ซึ่งกว่าทุกคนจะหายตกใจก็ต้องใช้เวลา
“มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงเหรอ พ่อไม่อยากเชื่อเลย แต่ไม่เชื่อก็ไม่ได้เพราะพวกเราก็เห็นกันหมดทุกคนว่าลูกมีมิติติดตัวอยู่จริงๆ ”
“โห่!พี่เท่ไปเลย ผมอยากมีบ้างจัง แต่เรื่องนี้ต้องเก็บไว้เป็นความลับใช่ไหมครับ”
“ใช่แล้ว ต้องเก็บไว้เป็นความลับให้มากที่สุดถ้าเรื่องนี้รู้ถึงคนอื่นคนที่จะไม่ปลอดภัยที่สุดก็คือพี่สาวของเรานี่ล่ะ และครอบครัวเราก็จะเป็นอันตราย ส่วนเรื่องนี้พ่อกับแม่จะเป็นคนบอกพี่ชายของลูกเอง เข้าใจไหมเซียวซีซวน” เซียวกังพูดกับลูกชายเพราะรู้ว่าลูกชายนิสัยขี้โม้ขนาดไหน
“รู้แล้วครับ ผมจะไม่บอกแน่นอน!”
“แล้วมิติที่ว่าทำอะไรได้บ้าง” เซียวกังถามลูกสาว
"หนูยังไม่ได้เข้าไปสำรวจในมิติเลยคะ แต่รู้แค่ว่าในมิติมีอากาศที่ดีกว่าข้างนอกมากและยังมีบ้านในมิติด้วยนะคะ สามารถเก็บของได้ และเวลาในมิติจะเร็วกว่าด้านนอก”
“วันนี้หนูจะเข้าไปสำรวจแล้วจะมาบอกกับทุกคนอีกที หลังจากนี้หนูอยากให้พวกเราเตรียมตัวให้พร้อม และเก็บของที่จำเป็นไว้ เพราะหนูอยากให้เราย้ายไปอยู่บ้านของพ่อ ที่อยู่บนภูเขาทางเหนือ ที่ตรงนั้นน่าจะปลอดภัยที่สุดแล้ว”
“อืม บ้านตรงนั้นไม่ได้ไปอยู่นานมากแล้ว เราต้องไปดู และซ่อมแซมให้บ้านแข็งแรงกว่านี้สักหน่อย” เซียวกังพูดกับทุกคน
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้เราก็รีบกินข้าวแล้วก็รีบเข้านอน ช่วยกันคิดว่าเราต้องเตรียม ต้องทำอะไรกันบ้าง”
เธอพูดคุยกับคนในครอบครัวเสร็จแล้ว ซูเมิ่งก็เข้าไปในมิติเพื่อสำรวจสิ่งของ ของที่ซื้อมาวันนี้วางอยู่ข้างบ้านและบางส่วนก็วางอยู่ตรงกลางทุ่งหญ้ากว้าง ซึ่งทุ่งหญ้านี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากเป็นทุ่งหญ้าที่กว้างสุดสายตา มีแต่หญ้าจริงๆ ซูเมิ่งเดินไปตรงข้างต้นผลท้อหลากสีเรียกแบบนี้ละกันก็มันมีหลายสี
เธอมองไปที่ด้านข้างของต้นท้อ เธอเห็นว่ามีสระน้ำไม่ใหญ่มากเท่าไหร่นัก กลางสระน้ำมีดอกบัวสีขาวตรงปลายกลีบของดอกบัวแต่ละกลีบมีสีแดง มีอยู่แค่หนึ่งดอกบานสวยงามอยู่กลางสระน้ำ ดอกบัวดอกนี้มีละอองสีขาวล้อมรอบ กลีบของดอกบัว มีทั้งหมดแปดกลีบ เธอไม่เคยเห็นดอกบัวที่สวยแบบนี้มาก่อนเลย น้ำในสระบัวก็ใส่น่ากิน เธอก้มลงกินน้ำในสระบัว น้ำที่เธอได้กินทำให้เธอรู้สึกสดชื่นมาก พอกินน้ำในสระบัวแล้ว เธอรู้สึกมีแรงเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย ซูเมิ่งเดินไปตรงแม่น้ำที่ไหลตามทางซึ่งทางนี้ก็ไม่รู้ไปสุดที่ตรงไหน แม่น้ำใส่เห็นตัวปลา แต่แปลกนะในแม่น้ำทำไมมีหินสีแปลกๆ เต็มไปหมด
หินพวกนี้เอาไว้ทำอะไร ของที่อยู่ในมิติก็ต้องเป็นของที่มีประโยชน์ หรือแค่ตบแต่งในแม่น้ำสวยงามเฉยๆ มีแต่สิ่งของที่แปลกเต็มไปหมดในมิติแห่งนี้ หลังจากไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว ซูเมิ่งก็เดินไปหยุดยืนอยู่หน้าต้นท้อหลากสี
เธอเห็นว่าบนยอดของต้นท้อมีผลท้อหนึ่งผลที่มีสีแตกตากจากลูกอื่น เพราะมันมีสีรุ้ง เธอไม่เคยเห็นผลไม้ที่ไหนออกผลสีรุ้งมาก่อนเลย สีรุ้งของลูกท้อมันต้องมีอะไรบางอย่างแน่
เธอยิ่งมองลูกท้อลูกนั้น ก็ยิ่งทำให้เธออยากกิน มือซูเมิ่งค่อยๆ ยื่นไปเด็ดลูกท้อสีรุ้งลูกนั้นออกจากต้น เธอแค่คิดว่าอยากกิน มือของเธอก็เอื้อมไปหยิบเอาลูกท้อสีรุ้งผลนั้นมาไว้ในมือโดยไม่รู้ตัว เธอมองลูกท้อที่อยู่ในมือของเธอ ถ้าเธอกินลูกท้อนี้เข้าไป เธอจะตายไหม เธอจะลองเสี่ยงกินมันลงไปดีหรือเปล่า เธอเลือกที่จะลองเสี่ยงกินลูกท้อสีรุ้ง เธอกินผลท้อสีรุ้งเข้าไปจนหมดลูก เธอเริ่มรู้สึกมึนหัว เธอเอามือคว้าจับไปที่ต้นท้อแล้วทุกอย่างก็ดับลง เธอล้มลงไปใต้ต้นท้อ
บนยอดเขาลูกหนึ่ง ได้มีสิ่งหนึ่งตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล
“ใคร เรียกข้า ใครกันปลุกข้าขึ้นมา มิติมีเจ้าของคนใหม่แล้วหรือ” “เจ้าถามใครละถ้าถามข้า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเพิ่งตื่นมาพร้อมเจ้านี่ละ” “ใครจะถามเจ้ากันเจ้าหมาโง่ ถ้าข้าหมาโง่เจ้าก็โง่เหมือนกันเพราะเราเป็นตัวเดียวกัน” “ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้วเสี่ยวปิง” “ข้าก็ไม่อยากคุยกับเจ้าเหมือนกันเสี่ยวเฟิง” เสียงที่ดังออกมาจากหนึ่งตัว สองหัว เป็นหมาจิ้งจอกสองหัวลำตัวสีขาวลายสีฟ้าที่เหมือนมีกระแสไฟฟ้าออกมาอยู่ตลอดเวลา และมีเก้าหาง“หรือมิติจะมีเจ้าของคนใหม่แล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราต้องไปตรวจดูแล้วว่ามิติ ได้พบเจอเจ้าของคนใหม่หรือไม่” พวกเขาที่ถูกปลุกขึ้นมาจากการหลับใหล ก็ได้เดินตรงไปที่บ้านที่อยู่ภายในมิติแห่งนี้ ซึ่งมีพวกเขาค่อยเฝ้าดูแลอยู่ พวกเขาทั้งสองหัวมีชื่อเรียกว่าเสี่ยวปิงและเสี่ยวเฟิง แต่ส่วนมากผู้คนจะเรียกพวกเขาว่าเทพจิ้งจอก“บรรยากาศภายในมิติยังเหมือนเดิมเลยสินะเสี่ยวปิง” ระหว่างที่เขาเดินออกมา เขาก็ชื่นชมกับบรรยากาศที่ดีที่มีอยู่ในมิติ ซึ่งทุกอย่างเป็นผลงานของพวกเขาเอง และเจ้าของมิติคนเก่าได้ทำเอาไว้“นั้นสิบรรยากาศแบบนี้ที่หาไม่ได้อีกแล้ว ที่ภายนอกมิติ บรรยากาศที่สดชื่น และมีพลังงานเต็ม
‘เรามีรอยสักแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือว่าจะมีตอนที่เราฟื้นขึ้นมา แปลกจัง’หลังจากที่นั่งคิดทบทวนความทรงจำอยู่สักพัก ซูเมิ่งก็ยกนิ้วนางข้างซ้ายขึ้นมาดู แล้วลองเอามือถูบริเวณที่เป็นรอยสัก ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น เราเคยอ่านนิยายหลายๆ เรื่องเขาบอกว่าต้องตั้งจิตไปตรงรอยสัก เราลองทำแบบนั้นแล้วกันซูเมิ่งตั้งจิตเข้าไปตรงรอยสัก แสงบางอย่างก็เกิดขึ้นรอบตัว ตัวซูเมิ่งหายไปจากบริเวณที่เธอนั่งอยู่ และไปอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ที่มีอากาศบริสุทธิ์ ทุ่งหญ้ากว้างไกล เธอมองออกไปรอบๆ ก็เห็นว่ามีบ้านอยู่หนึ่งหลัง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำที่มีปลาแหวกว่ายอย่างอุดมสมบูรณ์ สถานที่แห่งนี้ คือที่ไหน หรือว่าเป็นโลกอีกโลกหนึ่งที่ต่างจากโลกภายนอก ซูเมิ่งเดินดูไปทั่วบริเวณ และได้พบว่าด้านข้างบ้านหลังน้อยหลังนี้ ได้มีต้นผลไม้ที่ลำต้นไม่ใหญ่มากนัก บนต้นไม้นั้นออกผลอยู่หลายลูก พอเธอลองมองดีๆ ก็เห็นว่าเป็นลูกท้อต้นท้อ ต้นนี้มีลูกอยู่บนต้นมีสีแตกต่างกัน ลูกท้อที่ออกมามีกลิ่นหอมเย้ายวน แค่เธอได้กลิ่นก็ทำให้เธอรู้สึกมีแรงขึ้นมา ร่างกายที่เหนื่อยล้าได้ฟื้นฟูกลับขึ้นมาเกือบทั้งหมด แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก‘แต่ผล
หลังจากที่ซูเมิ่งลาออกจากที่ทำงานโดยไม่ได้บอกพ่อแม่แล้ว เธอเขียนร่างสิ่งของต่างๆ ที่ต้องใช้ในวันสิ้นโลก ซูเมิ่งไม่เคยลืมเลยว่าพี่ชายของพ่อเธอ หรือที่เธอเรียกว่าญาติ ได้ทำกับครอบครัวเธอไว้เจ็บปวดยังไง แค้นนี้จะต้องทวงคืนอย่างแน่นอน หลังจากที่นึกถึงช่วงเวลาที่เจ็บปวดและการตายของครอบครัวของซูเมิ่ง ก็ทำให้เธอต้องรอบคอบมากขึ้น เพราะเมื่อถึงวันสิ้นโลกจะไม่มีใครที่ไว้ใจได้เลยทุกคนก็เหมือนสัตว์ที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด เห็นแก่ตัวและฆ่าคนเพื่อทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดได้โดยไม่รู้สึกผิดอะไร หลังจากนึกถึงความทรงจำที่เลวร้าย ซูเมิ่งก็รีบเขียนสิ่งของที่ต้องใช้เอาไว้ในแผ่นกระดาษ เธอเปิดดูเงินในธนาคารของตัวเองดูว่ามีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่ พอซื้อสิ่งของอะไรได้บ้างเธอเห็นเงินในธนาคารของเธอมีอยู่ห้าแสนหยวน แต่เงินแค่นี้ก็ยังไม่พออยู่ดี เธอไม่คิดว่าวันสิ้นโลกจะมาถึงเร็ว! ถ้ารู้แบบนี้เธอน่าจะเก็บเงินไว้ให้เยอะกว่านี้เสียหน่อย เซียวซูเมิ่งบ่นกับตัวเองด้วยความท้อใจ เงินแค่นี้ไม่เพียงพอแน่นอน จะทำยังไงดีที่จะทำให้เธอมีเงินมากกว่านี้ หรือจะเอาเรื่องต่างๆ ไปบอกพ่อและแม่ดี ตอนนี้เธอยังมีเวลาเธอจึงเอาเงินที่มีอยู่เ
“ใคร เรียกข้า ใครกันปลุกข้าขึ้นมา มิติมีเจ้าของคนใหม่แล้วหรือ” “เจ้าถามใครละถ้าถามข้า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเพิ่งตื่นมาพร้อมเจ้านี่ละ” “ใครจะถามเจ้ากันเจ้าหมาโง่ ถ้าข้าหมาโง่เจ้าก็โง่เหมือนกันเพราะเราเป็นตัวเดียวกัน” “ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้วเสี่ยวปิง” “ข้าก็ไม่อยากคุยกับเจ้าเหมือนกันเสี่ยวเฟิง” เสียงที่ดังออกมาจากหนึ่งตัว สองหัว เป็นหมาจิ้งจอกสองหัวลำตัวสีขาวลายสีฟ้าที่เหมือนมีกระแสไฟฟ้าออกมาอยู่ตลอดเวลา และมีเก้าหาง“หรือมิติจะมีเจ้าของคนใหม่แล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราต้องไปตรวจดูแล้วว่ามิติ ได้พบเจอเจ้าของคนใหม่หรือไม่” พวกเขาที่ถูกปลุกขึ้นมาจากการหลับใหล ก็ได้เดินตรงไปที่บ้านที่อยู่ภายในมิติแห่งนี้ ซึ่งมีพวกเขาค่อยเฝ้าดูแลอยู่ พวกเขาทั้งสองหัวมีชื่อเรียกว่าเสี่ยวปิงและเสี่ยวเฟิง แต่ส่วนมากผู้คนจะเรียกพวกเขาว่าเทพจิ้งจอก“บรรยากาศภายในมิติยังเหมือนเดิมเลยสินะเสี่ยวปิง” ระหว่างที่เขาเดินออกมา เขาก็ชื่นชมกับบรรยากาศที่ดีที่มีอยู่ในมิติ ซึ่งทุกอย่างเป็นผลงานของพวกเขาเอง และเจ้าของมิติคนเก่าได้ทำเอาไว้“นั้นสิบรรยากาศแบบนี้ที่หาไม่ได้อีกแล้ว ที่ภายนอกมิติ บรรยากาศที่สดชื่น และมีพลังงานเต็ม
เธอเดินออกมาเปิดประตูบ้าน และขับรถเข้าไปเก็บภายในโรงรถ บ้านของเธอเป็นบ้านจัดสรรสองชั้น มีสี่ห้องนอนและสามห้องน้ำ และมีโรงจอดรถได้สองคัน เธอเปิดประตูบ้านเข้ามาก็มองเห็นพ่อที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่“ทำไมวันนี้กลับเย็นจัง แล้วนี่กินข้าวมาหรือยังแม่อยู่ในครัวนะ ถ้าหิว ก็เข้าไปหาแม่ก่อนได้เลย” “ได้คะพ่อ อยากคุยกับแม่อยู่พอดีเลย” เธอเดินเข้ามาในครัว ได้กลิ่นอาหารที่แม่กำลังทำอยู่ กลิ่นหอมชวนให้เธอหิวข้าว“แม่ ทำอะไรอยู่ หอมน่าทานมากเลย ท้องหนูร้องเสียงดังไปหมดแล้วเนี่ย” “ปากหวานจริงๆ เรา แม่ทำกับข้าวที่ลูกชอบกินรีบมากินเร็ว” ซูเมิ่งมองหน้าแม่ แล้วก็เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ได้พูด“มีอะไรอยากคุยกับแม่หรือเปล่า เห็นมองแม่หลายครั้งแล้ว” “แม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ เรื่องที่มันไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น หรือคงเกิดเรื่องแบบนี้ แค่ในความฝันเท่านั้น” เธอไม่รู้จะเรียกเรื่องพวกนั้นว่าอย่างไรดี“จะบอกว่าเชื่อ แม่ก็ไม่ได้เชื่อเต็มร้อย แต่แม่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อไปหมดทุกอย่าง โลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เราไม่มีทางรู้หรอกว่ามีหลายสิ่ง หลายอย่างที่ซ่อนอยู่ในโลกของเราก็ได้ เพียงแต่เรายังไม่เคยเจอ
หลังจากที่ซูเมิ่งลาออกจากที่ทำงานโดยไม่ได้บอกพ่อแม่แล้ว เธอเขียนร่างสิ่งของต่างๆ ที่ต้องใช้ในวันสิ้นโลก ซูเมิ่งไม่เคยลืมเลยว่าพี่ชายของพ่อเธอ หรือที่เธอเรียกว่าญาติ ได้ทำกับครอบครัวเธอไว้เจ็บปวดยังไง แค้นนี้จะต้องทวงคืนอย่างแน่นอน หลังจากที่นึกถึงช่วงเวลาที่เจ็บปวดและการตายของครอบครัวของซูเมิ่ง ก็ทำให้เธอต้องรอบคอบมากขึ้น เพราะเมื่อถึงวันสิ้นโลกจะไม่มีใครที่ไว้ใจได้เลยทุกคนก็เหมือนสัตว์ที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด เห็นแก่ตัวและฆ่าคนเพื่อทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดได้โดยไม่รู้สึกผิดอะไร หลังจากนึกถึงความทรงจำที่เลวร้าย ซูเมิ่งก็รีบเขียนสิ่งของที่ต้องใช้เอาไว้ในแผ่นกระดาษ เธอเปิดดูเงินในธนาคารของตัวเองดูว่ามีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่ พอซื้อสิ่งของอะไรได้บ้างเธอเห็นเงินในธนาคารของเธอมีอยู่ห้าแสนหยวน แต่เงินแค่นี้ก็ยังไม่พออยู่ดี เธอไม่คิดว่าวันสิ้นโลกจะมาถึงเร็ว! ถ้ารู้แบบนี้เธอน่าจะเก็บเงินไว้ให้เยอะกว่านี้เสียหน่อย เซียวซูเมิ่งบ่นกับตัวเองด้วยความท้อใจ เงินแค่นี้ไม่เพียงพอแน่นอน จะทำยังไงดีที่จะทำให้เธอมีเงินมากกว่านี้ หรือจะเอาเรื่องต่างๆ ไปบอกพ่อและแม่ดี ตอนนี้เธอยังมีเวลาเธอจึงเอาเงินที่มีอยู่เ
‘เรามีรอยสักแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือว่าจะมีตอนที่เราฟื้นขึ้นมา แปลกจัง’หลังจากที่นั่งคิดทบทวนความทรงจำอยู่สักพัก ซูเมิ่งก็ยกนิ้วนางข้างซ้ายขึ้นมาดู แล้วลองเอามือถูบริเวณที่เป็นรอยสัก ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น เราเคยอ่านนิยายหลายๆ เรื่องเขาบอกว่าต้องตั้งจิตไปตรงรอยสัก เราลองทำแบบนั้นแล้วกันซูเมิ่งตั้งจิตเข้าไปตรงรอยสัก แสงบางอย่างก็เกิดขึ้นรอบตัว ตัวซูเมิ่งหายไปจากบริเวณที่เธอนั่งอยู่ และไปอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ที่มีอากาศบริสุทธิ์ ทุ่งหญ้ากว้างไกล เธอมองออกไปรอบๆ ก็เห็นว่ามีบ้านอยู่หนึ่งหลัง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำที่มีปลาแหวกว่ายอย่างอุดมสมบูรณ์ สถานที่แห่งนี้ คือที่ไหน หรือว่าเป็นโลกอีกโลกหนึ่งที่ต่างจากโลกภายนอก ซูเมิ่งเดินดูไปทั่วบริเวณ และได้พบว่าด้านข้างบ้านหลังน้อยหลังนี้ ได้มีต้นผลไม้ที่ลำต้นไม่ใหญ่มากนัก บนต้นไม้นั้นออกผลอยู่หลายลูก พอเธอลองมองดีๆ ก็เห็นว่าเป็นลูกท้อต้นท้อ ต้นนี้มีลูกอยู่บนต้นมีสีแตกต่างกัน ลูกท้อที่ออกมามีกลิ่นหอมเย้ายวน แค่เธอได้กลิ่นก็ทำให้เธอรู้สึกมีแรงขึ้นมา ร่างกายที่เหนื่อยล้าได้ฟื้นฟูกลับขึ้นมาเกือบทั้งหมด แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก‘แต่ผล