“ใคร เรียกข้า ใครกันปลุกข้าขึ้นมา มิติมีเจ้าของคนใหม่แล้วหรือ”
“เจ้าถามใครละถ้าถามข้า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเพิ่งตื่นมาพร้อมเจ้านี่ละ”
“ใครจะถามเจ้ากันเจ้าหมาโง่ ถ้าข้าหมาโง่เจ้าก็โง่เหมือนกันเพราะเราเป็นตัวเดียวกัน”
“ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้วเสี่ยวปิง”
“ข้าก็ไม่อยากคุยกับเจ้าเหมือนกันเสี่ยวเฟิง” เสียงที่ดังออกมาจากหนึ่งตัว สองหัว เป็นหมาจิ้งจอกสองหัวลำตัวสีขาวลายสีฟ้าที่เหมือนมีกระแสไฟฟ้าออกมาอยู่ตลอดเวลา และมีเก้าหาง
“หรือมิติจะมีเจ้าของคนใหม่แล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราต้องไปตรวจดูแล้วว่ามิติ ได้พบเจอเจ้าของคนใหม่หรือไม่” พวกเขาที่ถูกปลุกขึ้นมาจากการหลับใหล ก็ได้เดินตรงไปที่บ้านที่อยู่ภายในมิติแห่งนี้ ซึ่งมีพวกเขาค่อยเฝ้าดูแลอยู่ พวกเขาทั้งสองหัวมีชื่อเรียกว่าเสี่ยวปิงและเสี่ยวเฟิง แต่ส่วนมากผู้คนจะเรียกพวกเขาว่าเทพจิ้งจอก
“บรรยากาศภายในมิติยังเหมือนเดิมเลยสินะเสี่ยวปิง” ระหว่างที่เขาเดินออกมา เขาก็ชื่นชมกับบรรยากาศที่ดีที่มีอยู่ในมิติ ซึ่งทุกอย่างเป็นผลงานของพวกเขาเอง และเจ้าของมิติคนเก่าได้ทำเอาไว้
“นั้นสิบรรยากาศแบบนี้ที่หาไม่ได้อีกแล้ว ที่ภายนอกมิติ บรรยากาศที่สดชื่น และมีพลังงานเต็มเปี่ยมแบบนี้ มันช่างดีจริงนะเสี่ยวเฟิง”
“ไม่รู้ตอนนี้ผลเวทสีรุ้งจะออกผลหรือยัง หลังจากที่พวกเราจำศีลกันไปนานขนาดนี้”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราลองเดินไปดูกันเถอะ” หลังจากทั้งสองหัวคุยกันเสร็จแล้ว ก็ได้เดินไปด้านข้างกระท่อมที่มีต้นไม้เวทชีวิตเติบโตอยู่
“ใครกันมานอนอยู่ตรงนี้ละเสี่ยวเฟิง” พวกเขาเดินมาดูตรงใต้ต้นไม้เวทชีวิต เขาเห็นว่ามีคนนอนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น
“หรือคนนี้ต้องเป็นเจ้าของมิติคนใหม่”
“นั่นสิ ถ้าไม่ใช่คนที่เป็นเจ้าของมิติอนุญาต ก็ไม่สามารถเข้ามาในนี้ได้หรอก”
“เธอคนนี้น่าจะเพิ่งกินผลของต้นไม้วิเศษต้นนี้ไป จึงทำให้เป็นแบบนี้”
“แต่เราไม่รู้ว่าเธอกินผลสีอะไรเข้าไป พวกเราก็หวังว่าเธอคงจะไม่กินผลสีรุ่งเข้าไปหรอก ถ้าเป็นผลนั้นหนึ่งหมื่นปี ถึงจะออกผลแค่หนึ่งผลเท่านั้น”
“แต่พวกเราก็จำศีลกันไปหมื่นกว่าปีแล้วนะเสี่ยวปิง ไม่แน่เธอคนนี้น่าจะกินผลสายรุ้งที่เป็นสุดยอดของเวททั้งหมดเข้าไปก็ได้”
“ถ้าเป็นแบบนั้นเราต้องช่วยเธอ ถ้าไม่อย่างนั้นเธอคนนี้ไม่น่าจะรอดแน่เลย” ไม่ใช่ว่าใครจะกินผลท้อเวทชีวิตต้นนี้ได้ ถ้ากินเข้าไปโดยที่ร่างกายรับไม่ไหว ก็อาจจะทำให้ถึงตายได้เลย
“เราช่วยเธอก่อน แล้วค่อยถามที่หลัง” หลังจากทั้งสองหัวคุยกันจบแล้วก็ถ่ายเทพลังเวทเข้าไปในร่างกายของเซียวซูเมิ่ง ก่อนที่ซูเมิ่งจะได้รับการช่วยเหลือนั้นร่างกายของเธอ ก็ได้รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างที่ทรมานอย่างมาก
ร้อน ร้อน จังเลย... หนาว.. ทำไมหนาวแบบนี้ ความรู้สึกที่ทรมารเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว ทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณของเธอทรมาน ทำไมเธอรู้สึกทรมานแบบนี้ หรือว่าเป็นเพราะลูกท้อที่เธอเพิ่งกินเข้าไป ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย พ่อคะแม่ๆ ได้ยินหนูไหม หนูทรมานเหลือเกิน หลังจากที่ซูเมิ่งทนกับความเจ็บปวด และความทรมานที่เกิดขึ้นแล้ว ความรู้สึกบางอย่างที่เบาสบาย และความรู้สึกสดชื่นไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ทำให้อาการร้อนหนาว และความรู้สึกไม่สบายต่างๆ ก็ค่อยๆ หายไป
กลายเป็นความเบาสบาย รู้สึกถึงพลังงานบางอย่าง ที่ไหลเวียนอยู่ภายในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้ซูเมิ่งสามารถขยับตัวและค่อยๆ ขยับเปลือกตาตื่นขึ้น
ซูเมิ่งมองไปรอบๆ ตัว ความรู้สึกแรกคือความรู้สึกสดชื่นและมีพลังมากกว่าครั้งแรกที่ได้เข้ามาในมิตินี้ครั้งแรกเสียอีก
เธอมองไปรอบๆ ตัว เธอก็ได้มองเห็นจิ้งจอกตัวน้อยสองหัวกำลังนั่งมองนางอยู่ ในมิติมีจิ้งจอกตั้งแต่เมื่อไหร่ ว่าแต่จิ้งจอกตัวนี้ทำไมน่ารักจังนะ ขนก็ดูนุ่มฟูน่ากอดสุดๆ แต่ที่แปลกคือ ทำไมจิ้งจอกน้อยถึงมีสองหัวกันล่ะ
“ตกใจความน่ารักของพวกข้าใช่ไหมละ เพราะพวกข้าน่ารักขนาดนี้” เขามองมนุษย์ที่พวกเขาช่วย นางตื่นมาแล้วก็ทำหน้าตาแปลกๆ ใส่พวกเขา
ซูเมิ่งทำตาโตมากกว่าเดิม จิ้งจอกพูดได้ เป็นครั้งแรกที่ซูเมิ่งเพิ่งเจอสัตว์พูดได้ มันเป็นเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับเธอมาก เธอคิดกับตัวเองอยู่ ก็ได้ยินเสียงจิ้งจอกพูดกับเธอเสียงดังขึ้นมา
“เจ้าได้ยินที่ข้าถามหรือไม่” เขาถามนางไปหลายรอบแล้ว หรือสติของนางยังไม่กลับมา
“จิ้งจอกพูดได้” เมื่อกี้จิ้งจอกตรงหน้าเพิ่งถามเธอ
“แล้วทำไมพวกข้าต้องพูดไม่ได้ล่ะ” หลังจากที่เสี่ยวปิงและเสี่ยวเฟิงได้ยินเสียงมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าถาม ก็รู้สึกแปลกมาก เพราะพวกมันก็คิดว่าปกติสัตว์ต่างๆ ก็พูดได้ทั้งนั้น
“แล้วสัตว์ข้างนอกพูดไม่ได้หรือไง”
“สัตว์ข้างนอกไม่สามารถพูดได้หรอก นอกจากนก บางชนิดที่พวกเราสอนถึงจะพูดได้”
“ข้างนอกเป็นโลกมนุษย์หรือ” เสี่ยวเฟิงถามออกไป แสดงว่ามิตินี้ได้ผู้สืบทอดเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง โลกภายนอกนั้นน่าจะไม่มีใครที่มีพลังเหลืออยู่อีกแล้ว เสี่ยวเฟิงและเสี่ยวปิงหันมองสบตากัน หลังจากได้สำรวจมนุษย์ตรงหน้าแล้ว ภายในร่างกายของเธอคนนี้มีไอวิญญาณ และเศษเสี้ยวของผู้สร้างเหลืออยู่ในร่างกาย น่าจะเป็นจิตส่วนหนึ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ของผู้สร้าง
“ข้างนอกก็ต้องเป็นโลกมนุษย์น่ะสิ” เสียงที่ดังขึ้นมาทำให้เสี่ยวปิง ที่กำลังคิดอยู่ได้มีสติขึ้น
“ว่าแต่เจ้าเข้ามาในมิตินี้ได้อย่างไร แล้วทำไมมานอนใต้ต้นไม้เวทชีวิตต้นนี้ได้”
“ต้นไม้ต้นนี้มีชื่อว่าเวทชีวิตหรือ”
“ใช้แล้วต้นไม้ต้นนี้ เป็นต้นไม้เวทที่มีชีวิต ที่เหลืออยู่ต้นเดียวในโลกใบนี้แล้ว ผู้สร้างมิติคนเก่าเป็นคนเอามาปลูกไว้ และสิ่งของต่างๆ ในมิตินี้ก็เป็นของผู้สร้าง เป็นคนสร้างและดูแลทั้งหมด ข้าเลยเรียกเจ้าของมิตินี้ว่าผู้สร้าง ผู้สร้างได้สร้างสิ่งของต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์และสามารถช่วยเหลือผู้อ่อนแอให้แข็งแกร่งขึ้นได้”
“หลังจากผู้สร้างได้จากไปพวกเราก็จำศีลมาตลอดเพื่อรอว่าวันหนึ่งผู้สร้างจะกลับมา พวกข้ารอผู้สร้างกลับมา นี่ก็ครบหมื่นปีแล้ว หลังจากที่พวกข้าได้รับสัญญาณเตือนจากมิติ ทำให้พวกข้าได้ตื่นขึ้นมาและรู้ว่าผู้สร้างคนใหม่ได้กลับมาแล้ว”
“ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร”
“ฉันชื่อซูเมิ่งหลังจากที่ฉันตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีมิติแล้ว แต่ฉันไม่รู้ว่ามิตินี้ทำอะไรได้ แล้วมิตินี้ทำอะไรได้บ้าง”
“มิตินี้ชื่อมิติแห่งชีวิต เป็นสิ่งที่สามารถทำให้คนธรรมดาเปลี่ยนเป็นผู้มีพลังเวทได้ และบ่อน้ำแห่งชีวิตก็สามารถทำให้โรคต่างๆ หายไปได้ทำให้คนร่างกายของคนที่อ่อนแอแข็งแรงขึ้น ดินที่อยู่ในมิตินี้ก็สามารถทำให้สิ่งที่ปลูกขึ้นมามีพลังเวทได้”
“แล้วหินที่เป็นสี ที่อยู่ในแม่น้ำละทำอะไรได้ไหม”
“สิ่งนั้นเรียกหินเวท หินที่สามารถทำให้ผู้มีพลังเวทเลื่อนระดับขึ้นได้ จะบอกว่าทุกสิ่งในมิตินี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ทั้งหมดก็ว่าได้”
“ว่าแต่เจ้าทำไมถึงได้มานอนอยู่ใต้ต้นเวทชีวิต”
“จะพูดยังไงดี ฉันเผลอกินผลสีรุ้งที่อยู่บนต้นไม้นี้”
หะ! ทั้งสองหัว ร้องออกมาพร้อมกัน
"ผลสีรุ้งงั้นหรือ นี่เจ้ากินผลสีรุ้งเข้าไปแล้ว”
“ตอนแรกพวกข้าก็คิดว่าเจ้าอาจจะกินผลสีรุ้งเข้าไปก็ได้ เพราะเวลามันผ่านมาหมื่นปีแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าเจ้าจะกินเข้าไปแล้วจริงๆ”
"นี่เจ้ากินผลสีรุ้งไปนี่เอง จึงทำให้พลังในร่างกายของเจ้าแปรปรวนขนาดนี้ ถ้าพวกข้าออกจากจำศีลไม่ทัน ผู้สร้างคนใหม่คงได้ตายไปแล้ว เพราะปรับตัวกับพลังที่เข้ามามากมายในร่างกายไม่ไหวแน่
“ทำไมต้องตกใจด้วยถ้ากินผลสีรุ้งไปแล้ว มันจะเป็นยังไงหรือ”
“เจ้าก็จะตายน่ะสิ ถ้าพวกข้าตื่นมาไม่ทันเจ้าได้ตายไปจริงๆ แน่”
“ฉันไม่รู้ว่ามันคือผลอะไร รู้ตัวอีกทีก็กินไปแล้ว” ถ้ารู้ว่ากินแล้วจะเป็นแบบนี้ใครจะอยากกินกัน ซูเมิ่งคิดกับตัวเองเพราะความอยากรู้อยากลองของตัวเธอเองแท้ๆ ทำให้เธอเกือบจะตายไปแล้ว
“ร่างกายเจ้าตอนนี้เป็นยังไงบ้างรู้สึกถึงอะไรบ้างหรือเปล่า" ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าร่างกายมีพลังอะไรบางอย่างไหลเวียนอยู่ในร่างกาย แต่รู้สึกว่ามีหลายพลังที่ไม่เหมือนกันอยู่ตรงทุกส่วนของร่างกาย”
“ใช่แล้ว เพราะผลสีรุ้งคือผลที่ทำให้คนที่กินเข้าไปมีพลังเวทได้และมีเวททุกสายรวมกันอยู่ แต่คนที่กินเข้าไปก็ไม่ใช่ว่าจะรอดกันหมดทุกคน เพราะผลเวทสีรุ้งเป็นผลท้อที่หมื่นปีออกผลแค่หนึ่งครั้ง มีแค่สองคนเท่านั้นที่เคยได้กินมันเข้าไป มีแค่เจ้าและผู้สร้างคนแรกเท่านั้น”
“ว้าว ผลท้อนี้ต้องวิเศษมากแน่ๆ แล้วฉันจะใช้พลังอย่างไร”
“เจ้าลองยื่นมือออกมาแล้วแบมือออก ลองตั้งจิตถึงพลังในร่างกายของเจ้า แล้วค่อยๆ เค้นพลังออกมาไว้บนมือที่เจ้าแบออก” หลังจากที่ซูเมิ่งได้ฟังคำแนะนำ แล้วเธอก็ลองทำตาม เธอเค้นพลังมาไว้ที่มือเป็นพลังสีเขียวอ่อนๆ
“ออกมาแล้ว! มีพลังออกมาที่มือฉันจริงๆ ด้วย แต่เป็นสีเขียว”
“สีเขียวหรือ เจ้ารู้สึกถึงอะไรบ้างล่ะ เจ้าลองตั้งจิตเข้าไปในเวทสีเขียวแล้วรู้สึกยังไงบ้าง”
“ข้ารู้สึกถึงธรรมชาติรอบตัว ข้ารู้สึกว่าข้าสามารถทำให้พวกมันมีพลัง หรือโตขึ้น และเล็กลงได้ ข้ารู้สึกว่าข้าสามารถทำให้ต้นไม้ที่ตายไปแล้วมีชีวิตได้”
“ถือว่าเจ้าทำได้ดีมากสำหรับครั้งแรกนี้ มีพรสวรรค์ดีทีเดียว” ซูเมิ่งยิ้มกับตัวเองหลังจากได้รับคำชมจากจิ้งจอกน้อย
“ขอบคุณค่ะ ว่าแต่ท่านทั้งสองมีชื่อเรียกว่าอะไรเหรอ”
“ข้าชื่อเสี่ยวเฟิงส่วนอีกหัวนั้นชื่อเสี่ยวปิง หรือจะเรียกพวกข้าว่า เทพจิ้งจอกก็ได้”
“ได้ค่ะท่านเทพจิ้งจอก ขอบคุณพวกท่านมากที่ให้คำสอนข้า และแนะนำสิ่งของต่างๆ ตั้งมากมาย ข้าไม่รู้ว่าจะตอบแทนท่านได้อย่างไรได้บ้าง”
“เจ้าไม่ต้องตอบแทนพวกข้าหรอก พวกข้ามีหน้าที่ดูแลทุกสิ่งที่ผู้สร้างเคยดูแลไว้เท่านั้น”
“แต่ในเมื่อ มิตินี้เลือกเจ้าของคนใหม่แล้ว เจ้าต้องดูแลทุกสิ่งในมิตินี้ให้ดี”
“ฉันจะต้องดูแลอย่างไรบ้าง” ถ้าให้เธอดูแลก็ได้อยู่แล้ว
“เจ้าต้องทำให้มิติชีวิตนี้เจริญงอกงาม และนำผลผลิตในที่นี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด มันจะดีต่อตัวเจ้าเอง”
“แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไร ว่าจะนำไปใช้กับสิ่งไหนบ้าง”
“เมื่อถึงเวลา เจ้าจะรู้ด้วยตัวเอง ตอนนี้พวกข้าต้องกลับไปจำศีลอีกสักพัก ตอนที่พวกข้าช่วยเจ้า พวกข้าใช้พลังไปเยอะมาก แต่ถ้ามีเหตุอันตรายพวกข้าจะออกมา แล้วเจอกันผู้สร้างคนใหม่” หลังจากที่สั่งลาซูเมิ่งแล้ว เทพจิ้งจอกก็ได้กลับไปจำศีลต่อ
“เดี๋ยวๆ! อย่าเพิ่งไปท่านเทพจิ้งจอก ฉันยังไม่เข้าใจเลย” ซูเมิ่งร้องเรียกเทพจิ้งจอก แต่ก็ไม่ทันแล้ว เธอเดินไปตรงที่เทพจิ้งจอกหายไป เธอมองเห็นตำราเล่มหนึ่ง ดูจากสภาพของตำราเล่มนี้ น่าจะเก่ามากเลยทีเดียว ว่าแต่มันเป็นตำราอะไร?
‘เรามีรอยสักแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือว่าจะมีตอนที่เราฟื้นขึ้นมา แปลกจัง’หลังจากที่นั่งคิดทบทวนความทรงจำอยู่สักพัก ซูเมิ่งก็ยกนิ้วนางข้างซ้ายขึ้นมาดู แล้วลองเอามือถูบริเวณที่เป็นรอยสัก ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น เราเคยอ่านนิยายหลายๆ เรื่องเขาบอกว่าต้องตั้งจิตไปตรงรอยสัก เราลองทำแบบนั้นแล้วกันซูเมิ่งตั้งจิตเข้าไปตรงรอยสัก แสงบางอย่างก็เกิดขึ้นรอบตัว ตัวซูเมิ่งหายไปจากบริเวณที่เธอนั่งอยู่ และไปอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ที่มีอากาศบริสุทธิ์ ทุ่งหญ้ากว้างไกล เธอมองออกไปรอบๆ ก็เห็นว่ามีบ้านอยู่หนึ่งหลัง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำที่มีปลาแหวกว่ายอย่างอุดมสมบูรณ์ สถานที่แห่งนี้ คือที่ไหน หรือว่าเป็นโลกอีกโลกหนึ่งที่ต่างจากโลกภายนอก ซูเมิ่งเดินดูไปทั่วบริเวณ และได้พบว่าด้านข้างบ้านหลังน้อยหลังนี้ ได้มีต้นผลไม้ที่ลำต้นไม่ใหญ่มากนัก บนต้นไม้นั้นออกผลอยู่หลายลูก พอเธอลองมองดีๆ ก็เห็นว่าเป็นลูกท้อต้นท้อ ต้นนี้มีลูกอยู่บนต้นมีสีแตกต่างกัน ลูกท้อที่ออกมามีกลิ่นหอมเย้ายวน แค่เธอได้กลิ่นก็ทำให้เธอรู้สึกมีแรงขึ้นมา ร่างกายที่เหนื่อยล้าได้ฟื้นฟูกลับขึ้นมาเกือบทั้งหมด แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก‘แต่ผล
หลังจากที่ซูเมิ่งลาออกจากที่ทำงานโดยไม่ได้บอกพ่อแม่แล้ว เธอเขียนร่างสิ่งของต่างๆ ที่ต้องใช้ในวันสิ้นโลก ซูเมิ่งไม่เคยลืมเลยว่าพี่ชายของพ่อเธอ หรือที่เธอเรียกว่าญาติ ได้ทำกับครอบครัวเธอไว้เจ็บปวดยังไง แค้นนี้จะต้องทวงคืนอย่างแน่นอน หลังจากที่นึกถึงช่วงเวลาที่เจ็บปวดและการตายของครอบครัวของซูเมิ่ง ก็ทำให้เธอต้องรอบคอบมากขึ้น เพราะเมื่อถึงวันสิ้นโลกจะไม่มีใครที่ไว้ใจได้เลยทุกคนก็เหมือนสัตว์ที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด เห็นแก่ตัวและฆ่าคนเพื่อทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดได้โดยไม่รู้สึกผิดอะไร หลังจากนึกถึงความทรงจำที่เลวร้าย ซูเมิ่งก็รีบเขียนสิ่งของที่ต้องใช้เอาไว้ในแผ่นกระดาษ เธอเปิดดูเงินในธนาคารของตัวเองดูว่ามีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่ พอซื้อสิ่งของอะไรได้บ้างเธอเห็นเงินในธนาคารของเธอมีอยู่ห้าแสนหยวน แต่เงินแค่นี้ก็ยังไม่พออยู่ดี เธอไม่คิดว่าวันสิ้นโลกจะมาถึงเร็ว! ถ้ารู้แบบนี้เธอน่าจะเก็บเงินไว้ให้เยอะกว่านี้เสียหน่อย เซียวซูเมิ่งบ่นกับตัวเองด้วยความท้อใจ เงินแค่นี้ไม่เพียงพอแน่นอน จะทำยังไงดีที่จะทำให้เธอมีเงินมากกว่านี้ หรือจะเอาเรื่องต่างๆ ไปบอกพ่อและแม่ดี ตอนนี้เธอยังมีเวลาเธอจึงเอาเงินที่มีอยู่เ
เธอเดินออกมาเปิดประตูบ้าน และขับรถเข้าไปเก็บภายในโรงรถ บ้านของเธอเป็นบ้านจัดสรรสองชั้น มีสี่ห้องนอนและสามห้องน้ำ และมีโรงจอดรถได้สองคัน เธอเปิดประตูบ้านเข้ามาก็มองเห็นพ่อที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่“ทำไมวันนี้กลับเย็นจัง แล้วนี่กินข้าวมาหรือยังแม่อยู่ในครัวนะ ถ้าหิว ก็เข้าไปหาแม่ก่อนได้เลย” “ได้คะพ่อ อยากคุยกับแม่อยู่พอดีเลย” เธอเดินเข้ามาในครัว ได้กลิ่นอาหารที่แม่กำลังทำอยู่ กลิ่นหอมชวนให้เธอหิวข้าว“แม่ ทำอะไรอยู่ หอมน่าทานมากเลย ท้องหนูร้องเสียงดังไปหมดแล้วเนี่ย” “ปากหวานจริงๆ เรา แม่ทำกับข้าวที่ลูกชอบกินรีบมากินเร็ว” ซูเมิ่งมองหน้าแม่ แล้วก็เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ได้พูด“มีอะไรอยากคุยกับแม่หรือเปล่า เห็นมองแม่หลายครั้งแล้ว” “แม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ เรื่องที่มันไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น หรือคงเกิดเรื่องแบบนี้ แค่ในความฝันเท่านั้น” เธอไม่รู้จะเรียกเรื่องพวกนั้นว่าอย่างไรดี“จะบอกว่าเชื่อ แม่ก็ไม่ได้เชื่อเต็มร้อย แต่แม่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อไปหมดทุกอย่าง โลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เราไม่มีทางรู้หรอกว่ามีหลายสิ่ง หลายอย่างที่ซ่อนอยู่ในโลกของเราก็ได้ เพียงแต่เรายังไม่เคยเจอ
“ใคร เรียกข้า ใครกันปลุกข้าขึ้นมา มิติมีเจ้าของคนใหม่แล้วหรือ” “เจ้าถามใครละถ้าถามข้า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเพิ่งตื่นมาพร้อมเจ้านี่ละ” “ใครจะถามเจ้ากันเจ้าหมาโง่ ถ้าข้าหมาโง่เจ้าก็โง่เหมือนกันเพราะเราเป็นตัวเดียวกัน” “ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้วเสี่ยวปิง” “ข้าก็ไม่อยากคุยกับเจ้าเหมือนกันเสี่ยวเฟิง” เสียงที่ดังออกมาจากหนึ่งตัว สองหัว เป็นหมาจิ้งจอกสองหัวลำตัวสีขาวลายสีฟ้าที่เหมือนมีกระแสไฟฟ้าออกมาอยู่ตลอดเวลา และมีเก้าหาง“หรือมิติจะมีเจ้าของคนใหม่แล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราต้องไปตรวจดูแล้วว่ามิติ ได้พบเจอเจ้าของคนใหม่หรือไม่” พวกเขาที่ถูกปลุกขึ้นมาจากการหลับใหล ก็ได้เดินตรงไปที่บ้านที่อยู่ภายในมิติแห่งนี้ ซึ่งมีพวกเขาค่อยเฝ้าดูแลอยู่ พวกเขาทั้งสองหัวมีชื่อเรียกว่าเสี่ยวปิงและเสี่ยวเฟิง แต่ส่วนมากผู้คนจะเรียกพวกเขาว่าเทพจิ้งจอก“บรรยากาศภายในมิติยังเหมือนเดิมเลยสินะเสี่ยวปิง” ระหว่างที่เขาเดินออกมา เขาก็ชื่นชมกับบรรยากาศที่ดีที่มีอยู่ในมิติ ซึ่งทุกอย่างเป็นผลงานของพวกเขาเอง และเจ้าของมิติคนเก่าได้ทำเอาไว้“นั้นสิบรรยากาศแบบนี้ที่หาไม่ได้อีกแล้ว ที่ภายนอกมิติ บรรยากาศที่สดชื่น และมีพลังงานเต็ม
เธอเดินออกมาเปิดประตูบ้าน และขับรถเข้าไปเก็บภายในโรงรถ บ้านของเธอเป็นบ้านจัดสรรสองชั้น มีสี่ห้องนอนและสามห้องน้ำ และมีโรงจอดรถได้สองคัน เธอเปิดประตูบ้านเข้ามาก็มองเห็นพ่อที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่“ทำไมวันนี้กลับเย็นจัง แล้วนี่กินข้าวมาหรือยังแม่อยู่ในครัวนะ ถ้าหิว ก็เข้าไปหาแม่ก่อนได้เลย” “ได้คะพ่อ อยากคุยกับแม่อยู่พอดีเลย” เธอเดินเข้ามาในครัว ได้กลิ่นอาหารที่แม่กำลังทำอยู่ กลิ่นหอมชวนให้เธอหิวข้าว“แม่ ทำอะไรอยู่ หอมน่าทานมากเลย ท้องหนูร้องเสียงดังไปหมดแล้วเนี่ย” “ปากหวานจริงๆ เรา แม่ทำกับข้าวที่ลูกชอบกินรีบมากินเร็ว” ซูเมิ่งมองหน้าแม่ แล้วก็เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ได้พูด“มีอะไรอยากคุยกับแม่หรือเปล่า เห็นมองแม่หลายครั้งแล้ว” “แม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ เรื่องที่มันไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น หรือคงเกิดเรื่องแบบนี้ แค่ในความฝันเท่านั้น” เธอไม่รู้จะเรียกเรื่องพวกนั้นว่าอย่างไรดี“จะบอกว่าเชื่อ แม่ก็ไม่ได้เชื่อเต็มร้อย แต่แม่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อไปหมดทุกอย่าง โลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เราไม่มีทางรู้หรอกว่ามีหลายสิ่ง หลายอย่างที่ซ่อนอยู่ในโลกของเราก็ได้ เพียงแต่เรายังไม่เคยเจอ
หลังจากที่ซูเมิ่งลาออกจากที่ทำงานโดยไม่ได้บอกพ่อแม่แล้ว เธอเขียนร่างสิ่งของต่างๆ ที่ต้องใช้ในวันสิ้นโลก ซูเมิ่งไม่เคยลืมเลยว่าพี่ชายของพ่อเธอ หรือที่เธอเรียกว่าญาติ ได้ทำกับครอบครัวเธอไว้เจ็บปวดยังไง แค้นนี้จะต้องทวงคืนอย่างแน่นอน หลังจากที่นึกถึงช่วงเวลาที่เจ็บปวดและการตายของครอบครัวของซูเมิ่ง ก็ทำให้เธอต้องรอบคอบมากขึ้น เพราะเมื่อถึงวันสิ้นโลกจะไม่มีใครที่ไว้ใจได้เลยทุกคนก็เหมือนสัตว์ที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด เห็นแก่ตัวและฆ่าคนเพื่อทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดได้โดยไม่รู้สึกผิดอะไร หลังจากนึกถึงความทรงจำที่เลวร้าย ซูเมิ่งก็รีบเขียนสิ่งของที่ต้องใช้เอาไว้ในแผ่นกระดาษ เธอเปิดดูเงินในธนาคารของตัวเองดูว่ามีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่ พอซื้อสิ่งของอะไรได้บ้างเธอเห็นเงินในธนาคารของเธอมีอยู่ห้าแสนหยวน แต่เงินแค่นี้ก็ยังไม่พออยู่ดี เธอไม่คิดว่าวันสิ้นโลกจะมาถึงเร็ว! ถ้ารู้แบบนี้เธอน่าจะเก็บเงินไว้ให้เยอะกว่านี้เสียหน่อย เซียวซูเมิ่งบ่นกับตัวเองด้วยความท้อใจ เงินแค่นี้ไม่เพียงพอแน่นอน จะทำยังไงดีที่จะทำให้เธอมีเงินมากกว่านี้ หรือจะเอาเรื่องต่างๆ ไปบอกพ่อและแม่ดี ตอนนี้เธอยังมีเวลาเธอจึงเอาเงินที่มีอยู่เ
‘เรามีรอยสักแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือว่าจะมีตอนที่เราฟื้นขึ้นมา แปลกจัง’หลังจากที่นั่งคิดทบทวนความทรงจำอยู่สักพัก ซูเมิ่งก็ยกนิ้วนางข้างซ้ายขึ้นมาดู แล้วลองเอามือถูบริเวณที่เป็นรอยสัก ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น เราเคยอ่านนิยายหลายๆ เรื่องเขาบอกว่าต้องตั้งจิตไปตรงรอยสัก เราลองทำแบบนั้นแล้วกันซูเมิ่งตั้งจิตเข้าไปตรงรอยสัก แสงบางอย่างก็เกิดขึ้นรอบตัว ตัวซูเมิ่งหายไปจากบริเวณที่เธอนั่งอยู่ และไปอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ที่มีอากาศบริสุทธิ์ ทุ่งหญ้ากว้างไกล เธอมองออกไปรอบๆ ก็เห็นว่ามีบ้านอยู่หนึ่งหลัง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำที่มีปลาแหวกว่ายอย่างอุดมสมบูรณ์ สถานที่แห่งนี้ คือที่ไหน หรือว่าเป็นโลกอีกโลกหนึ่งที่ต่างจากโลกภายนอก ซูเมิ่งเดินดูไปทั่วบริเวณ และได้พบว่าด้านข้างบ้านหลังน้อยหลังนี้ ได้มีต้นผลไม้ที่ลำต้นไม่ใหญ่มากนัก บนต้นไม้นั้นออกผลอยู่หลายลูก พอเธอลองมองดีๆ ก็เห็นว่าเป็นลูกท้อต้นท้อ ต้นนี้มีลูกอยู่บนต้นมีสีแตกต่างกัน ลูกท้อที่ออกมามีกลิ่นหอมเย้ายวน แค่เธอได้กลิ่นก็ทำให้เธอรู้สึกมีแรงขึ้นมา ร่างกายที่เหนื่อยล้าได้ฟื้นฟูกลับขึ้นมาเกือบทั้งหมด แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก‘แต่ผล