“ใคร เรียกข้า ใครกันปลุกข้าขึ้นมา มิติมีเจ้าของคนใหม่แล้วหรือ”
“เจ้าถามใครละถ้าถามข้า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเพิ่งตื่นมาพร้อมเจ้านี่ละ”
“ใครจะถามเจ้ากันเจ้าหมาโง่ ถ้าข้าหมาโง่เจ้าก็โง่เหมือนกันเพราะเราเป็นตัวเดียวกัน”
“ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้วเสี่ยวปิง”
“ข้าก็ไม่อยากคุยกับเจ้าเหมือนกันเสี่ยวเฟิง” เสียงที่ดังออกมาจากหนึ่งตัว สองหัว เป็นหมาจิ้งจอกสองหัวลำตัวสีขาวลายสีฟ้าที่เหมือนมีกระแสไฟฟ้าออกมาอยู่ตลอดเวลา และมีเก้าหาง
“หรือมิติจะมีเจ้าของคนใหม่แล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราต้องไปตรวจดูแล้วว่ามิติ ได้พบเจอเจ้าของคนใหม่หรือไม่” พวกเขาที่ถูกปลุกขึ้นมาจากการหลับใหล ก็ได้เดินตรงไปที่บ้านที่อยู่ภายในมิติแห่งนี้ ซึ่งมีพวกเขาค่อยเฝ้าดูแลอยู่ พวกเขาทั้งสองหัวมีชื่อเรียกว่าเสี่ยวปิงและเสี่ยวเฟิง แต่ส่วนมากผู้คนจะเรียกพวกเขาว่าเทพจิ้งจอก
“บรรยากาศภายในมิติยังเหมือนเดิมเลยสินะเสี่ยวปิง” ระหว่างที่เขาเดินออกมา เขาก็ชื่นชมกับบรรยากาศที่ดีที่มีอยู่ในมิติ ซึ่งทุกอย่างเป็นผลงานของพวกเขาเอง และเจ้าของมิติคนเก่าได้ทำเอาไว้
“นั้นสิบรรยากาศแบบนี้ที่หาไม่ได้อีกแล้ว ที่ภายนอกมิติ บรรยากาศที่สดชื่น และมีพลังงานเต็มเปี่ยมแบบนี้ มันช่างดีจริงนะเสี่ยวเฟิง”
“ไม่รู้ตอนนี้ผลเวทสีรุ้งจะออกผลหรือยัง หลังจากที่พวกเราจำศีลกันไปนานขนาดนี้”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราลองเดินไปดูกันเถอะ” หลังจากทั้งสองหัวคุยกันเสร็จแล้ว ก็ได้เดินไปด้านข้างกระท่อมที่มีต้นไม้เวทชีวิตเติบโตอยู่
“ใครกันมานอนอยู่ตรงนี้ละเสี่ยวเฟิง” พวกเขาเดินมาดูตรงใต้ต้นไม้เวทชีวิต เขาเห็นว่ามีคนนอนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น
“หรือคนนี้ต้องเป็นเจ้าของมิติคนใหม่”
“นั่นสิ ถ้าไม่ใช่คนที่เป็นเจ้าของมิติอนุญาต ก็ไม่สามารถเข้ามาในนี้ได้หรอก”
“เธอคนนี้น่าจะเพิ่งกินผลของต้นไม้วิเศษต้นนี้ไป จึงทำให้เป็นแบบนี้”
“แต่เราไม่รู้ว่าเธอกินผลสีอะไรเข้าไป พวกเราก็หวังว่าเธอคงจะไม่กินผลสีรุ่งเข้าไปหรอก ถ้าเป็นผลนั้นหนึ่งหมื่นปี ถึงจะออกผลแค่หนึ่งผลเท่านั้น”
“แต่พวกเราก็จำศีลกันไปหมื่นกว่าปีแล้วนะเสี่ยวปิง ไม่แน่เธอคนนี้น่าจะกินผลสายรุ้งที่เป็นสุดยอดของเวททั้งหมดเข้าไปก็ได้”
“ถ้าเป็นแบบนั้นเราต้องช่วยเธอ ถ้าไม่อย่างนั้นเธอคนนี้ไม่น่าจะรอดแน่เลย” ไม่ใช่ว่าใครจะกินผลท้อเวทชีวิตต้นนี้ได้ ถ้ากินเข้าไปโดยที่ร่างกายรับไม่ไหว ก็อาจจะทำให้ถึงตายได้เลย
“เราช่วยเธอก่อน แล้วค่อยถามที่หลัง” หลังจากทั้งสองหัวคุยกันจบแล้วก็ถ่ายเทพลังเวทเข้าไปในร่างกายของเซียวซูเมิ่ง ก่อนที่ซูเมิ่งจะได้รับการช่วยเหลือนั้นร่างกายของเธอ ก็ได้รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างที่ทรมานอย่างมาก
ร้อน ร้อน จังเลย... หนาว.. ทำไมหนาวแบบนี้ ความรู้สึกที่ทรมารเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว ทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณของเธอทรมาน ทำไมเธอรู้สึกทรมานแบบนี้ หรือว่าเป็นเพราะลูกท้อที่เธอเพิ่งกินเข้าไป ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย พ่อคะแม่ๆ ได้ยินหนูไหม หนูทรมานเหลือเกิน หลังจากที่ซูเมิ่งทนกับความเจ็บปวด และความทรมานที่เกิดขึ้นแล้ว ความรู้สึกบางอย่างที่เบาสบาย และความรู้สึกสดชื่นไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ทำให้อาการร้อนหนาว และความรู้สึกไม่สบายต่างๆ ก็ค่อยๆ หายไป
กลายเป็นความเบาสบาย รู้สึกถึงพลังงานบางอย่าง ที่ไหลเวียนอยู่ภายในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้ซูเมิ่งสามารถขยับตัวและค่อยๆ ขยับเปลือกตาตื่นขึ้น
ซูเมิ่งมองไปรอบๆ ตัว ความรู้สึกแรกคือความรู้สึกสดชื่นและมีพลังมากกว่าครั้งแรกที่ได้เข้ามาในมิตินี้ครั้งแรกเสียอีก
เธอมองไปรอบๆ ตัว เธอก็ได้มองเห็นจิ้งจอกตัวน้อยสองหัวกำลังนั่งมองนางอยู่ ในมิติมีจิ้งจอกตั้งแต่เมื่อไหร่ ว่าแต่จิ้งจอกตัวนี้ทำไมน่ารักจังนะ ขนก็ดูนุ่มฟูน่ากอดสุดๆ แต่ที่แปลกคือ ทำไมจิ้งจอกน้อยถึงมีสองหัวกันล่ะ
“ตกใจความน่ารักของพวกข้าใช่ไหมละ เพราะพวกข้าน่ารักขนาดนี้” เขามองมนุษย์ที่พวกเขาช่วย นางตื่นมาแล้วก็ทำหน้าตาแปลกๆ ใส่พวกเขา
ซูเมิ่งทำตาโตมากกว่าเดิม จิ้งจอกพูดได้ เป็นครั้งแรกที่ซูเมิ่งเพิ่งเจอสัตว์พูดได้ มันเป็นเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับเธอมาก เธอคิดกับตัวเองอยู่ ก็ได้ยินเสียงจิ้งจอกพูดกับเธอเสียงดังขึ้นมา
“เจ้าได้ยินที่ข้าถามหรือไม่” เขาถามนางไปหลายรอบแล้ว หรือสติของนางยังไม่กลับมา
“จิ้งจอกพูดได้” เมื่อกี้จิ้งจอกตรงหน้าเพิ่งถามเธอ
“แล้วทำไมพวกข้าต้องพูดไม่ได้ล่ะ” หลังจากที่เสี่ยวปิงและเสี่ยวเฟิงได้ยินเสียงมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าถาม ก็รู้สึกแปลกมาก เพราะพวกมันก็คิดว่าปกติสัตว์ต่างๆ ก็พูดได้ทั้งนั้น
“แล้วสัตว์ข้างนอกพูดไม่ได้หรือไง”
“สัตว์ข้างนอกไม่สามารถพูดได้หรอก นอกจากนก บางชนิดที่พวกเราสอนถึงจะพูดได้”
“ข้างนอกเป็นโลกมนุษย์หรือ” เสี่ยวเฟิงถามออกไป แสดงว่ามิตินี้ได้ผู้สืบทอดเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง โลกภายนอกนั้นน่าจะไม่มีใครที่มีพลังเหลืออยู่อีกแล้ว เสี่ยวเฟิงและเสี่ยวปิงหันมองสบตากัน หลังจากได้สำรวจมนุษย์ตรงหน้าแล้ว ภายในร่างกายของเธอคนนี้มีไอวิญญาณ และเศษเสี้ยวของผู้สร้างเหลืออยู่ในร่างกาย น่าจะเป็นจิตส่วนหนึ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ของผู้สร้าง
“ข้างนอกก็ต้องเป็นโลกมนุษย์น่ะสิ” เสียงที่ดังขึ้นมาทำให้เสี่ยวปิง ที่กำลังคิดอยู่ได้มีสติขึ้น
“ว่าแต่เจ้าเข้ามาในมิตินี้ได้อย่างไร แล้วทำไมมานอนใต้ต้นไม้เวทชีวิตต้นนี้ได้”
“ต้นไม้ต้นนี้มีชื่อว่าเวทชีวิตหรือ”
“ใช้แล้วต้นไม้ต้นนี้ เป็นต้นไม้เวทที่มีชีวิต ที่เหลืออยู่ต้นเดียวในโลกใบนี้แล้ว ผู้สร้างมิติคนเก่าเป็นคนเอามาปลูกไว้ และสิ่งของต่างๆ ในมิตินี้ก็เป็นของผู้สร้าง เป็นคนสร้างและดูแลทั้งหมด ข้าเลยเรียกเจ้าของมิตินี้ว่าผู้สร้าง ผู้สร้างได้สร้างสิ่งของต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์และสามารถช่วยเหลือผู้อ่อนแอให้แข็งแกร่งขึ้นได้”
“หลังจากผู้สร้างได้จากไปพวกเราก็จำศีลมาตลอดเพื่อรอว่าวันหนึ่งผู้สร้างจะกลับมา พวกข้ารอผู้สร้างกลับมา นี่ก็ครบหมื่นปีแล้ว หลังจากที่พวกข้าได้รับสัญญาณเตือนจากมิติ ทำให้พวกข้าได้ตื่นขึ้นมาและรู้ว่าผู้สร้างคนใหม่ได้กลับมาแล้ว”
“ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร”
“ฉันชื่อซูเมิ่งหลังจากที่ฉันตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีมิติแล้ว แต่ฉันไม่รู้ว่ามิตินี้ทำอะไรได้ แล้วมิตินี้ทำอะไรได้บ้าง”
“มิตินี้ชื่อมิติแห่งชีวิต เป็นสิ่งที่สามารถทำให้คนธรรมดาเปลี่ยนเป็นผู้มีพลังเวทได้ และบ่อน้ำแห่งชีวิตก็สามารถทำให้โรคต่างๆ หายไปได้ทำให้คนร่างกายของคนที่อ่อนแอแข็งแรงขึ้น ดินที่อยู่ในมิตินี้ก็สามารถทำให้สิ่งที่ปลูกขึ้นมามีพลังเวทได้”
“แล้วหินที่เป็นสี ที่อยู่ในแม่น้ำละทำอะไรได้ไหม”
“สิ่งนั้นเรียกหินเวท หินที่สามารถทำให้ผู้มีพลังเวทเลื่อนระดับขึ้นได้ จะบอกว่าทุกสิ่งในมิตินี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ทั้งหมดก็ว่าได้”
“ว่าแต่เจ้าทำไมถึงได้มานอนอยู่ใต้ต้นเวทชีวิต”
“จะพูดยังไงดี ฉันเผลอกินผลสีรุ้งที่อยู่บนต้นไม้นี้”
หะ! ทั้งสองหัว ร้องออกมาพร้อมกัน
"ผลสีรุ้งงั้นหรือ นี่เจ้ากินผลสีรุ้งเข้าไปแล้ว”
“ตอนแรกพวกข้าก็คิดว่าเจ้าอาจจะกินผลสีรุ้งเข้าไปก็ได้ เพราะเวลามันผ่านมาหมื่นปีแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าเจ้าจะกินเข้าไปแล้วจริงๆ”
"นี่เจ้ากินผลสีรุ้งไปนี่เอง จึงทำให้พลังในร่างกายของเจ้าแปรปรวนขนาดนี้ ถ้าพวกข้าออกจากจำศีลไม่ทัน ผู้สร้างคนใหม่คงได้ตายไปแล้ว เพราะปรับตัวกับพลังที่เข้ามามากมายในร่างกายไม่ไหวแน่
“ทำไมต้องตกใจด้วยถ้ากินผลสีรุ้งไปแล้ว มันจะเป็นยังไงหรือ”
“เจ้าก็จะตายน่ะสิ ถ้าพวกข้าตื่นมาไม่ทันเจ้าได้ตายไปจริงๆ แน่”
“ฉันไม่รู้ว่ามันคือผลอะไร รู้ตัวอีกทีก็กินไปแล้ว” ถ้ารู้ว่ากินแล้วจะเป็นแบบนี้ใครจะอยากกินกัน ซูเมิ่งคิดกับตัวเองเพราะความอยากรู้อยากลองของตัวเธอเองแท้ๆ ทำให้เธอเกือบจะตายไปแล้ว
“ร่างกายเจ้าตอนนี้เป็นยังไงบ้างรู้สึกถึงอะไรบ้างหรือเปล่า" ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าร่างกายมีพลังอะไรบางอย่างไหลเวียนอยู่ในร่างกาย แต่รู้สึกว่ามีหลายพลังที่ไม่เหมือนกันอยู่ตรงทุกส่วนของร่างกาย”
“ใช่แล้ว เพราะผลสีรุ้งคือผลที่ทำให้คนที่กินเข้าไปมีพลังเวทได้และมีเวททุกสายรวมกันอยู่ แต่คนที่กินเข้าไปก็ไม่ใช่ว่าจะรอดกันหมดทุกคน เพราะผลเวทสีรุ้งเป็นผลท้อที่หมื่นปีออกผลแค่หนึ่งครั้ง มีแค่สองคนเท่านั้นที่เคยได้กินมันเข้าไป มีแค่เจ้าและผู้สร้างคนแรกเท่านั้น”
“ว้าว ผลท้อนี้ต้องวิเศษมากแน่ๆ แล้วฉันจะใช้พลังอย่างไร”
“เจ้าลองยื่นมือออกมาแล้วแบมือออก ลองตั้งจิตถึงพลังในร่างกายของเจ้า แล้วค่อยๆ เค้นพลังออกมาไว้บนมือที่เจ้าแบออก” หลังจากที่ซูเมิ่งได้ฟังคำแนะนำ แล้วเธอก็ลองทำตาม เธอเค้นพลังมาไว้ที่มือเป็นพลังสีเขียวอ่อนๆ
“ออกมาแล้ว! มีพลังออกมาที่มือฉันจริงๆ ด้วย แต่เป็นสีเขียว”
“สีเขียวหรือ เจ้ารู้สึกถึงอะไรบ้างล่ะ เจ้าลองตั้งจิตเข้าไปในเวทสีเขียวแล้วรู้สึกยังไงบ้าง”
“ข้ารู้สึกถึงธรรมชาติรอบตัว ข้ารู้สึกว่าข้าสามารถทำให้พวกมันมีพลัง หรือโตขึ้น และเล็กลงได้ ข้ารู้สึกว่าข้าสามารถทำให้ต้นไม้ที่ตายไปแล้วมีชีวิตได้”
“ถือว่าเจ้าทำได้ดีมากสำหรับครั้งแรกนี้ มีพรสวรรค์ดีทีเดียว” ซูเมิ่งยิ้มกับตัวเองหลังจากได้รับคำชมจากจิ้งจอกน้อย
“ขอบคุณค่ะ ว่าแต่ท่านทั้งสองมีชื่อเรียกว่าอะไรเหรอ”
“ข้าชื่อเสี่ยวเฟิงส่วนอีกหัวนั้นชื่อเสี่ยวปิง หรือจะเรียกพวกข้าว่า เทพจิ้งจอกก็ได้”
“ได้ค่ะท่านเทพจิ้งจอก ขอบคุณพวกท่านมากที่ให้คำสอนข้า และแนะนำสิ่งของต่างๆ ตั้งมากมาย ข้าไม่รู้ว่าจะตอบแทนท่านได้อย่างไรได้บ้าง”
“เจ้าไม่ต้องตอบแทนพวกข้าหรอก พวกข้ามีหน้าที่ดูแลทุกสิ่งที่ผู้สร้างเคยดูแลไว้เท่านั้น”
“แต่ในเมื่อ มิตินี้เลือกเจ้าของคนใหม่แล้ว เจ้าต้องดูแลทุกสิ่งในมิตินี้ให้ดี”
“ฉันจะต้องดูแลอย่างไรบ้าง” ถ้าให้เธอดูแลก็ได้อยู่แล้ว
“เจ้าต้องทำให้มิติชีวิตนี้เจริญงอกงาม และนำผลผลิตในที่นี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด มันจะดีต่อตัวเจ้าเอง”
“แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไร ว่าจะนำไปใช้กับสิ่งไหนบ้าง”
“เมื่อถึงเวลา เจ้าจะรู้ด้วยตัวเอง ตอนนี้พวกข้าต้องกลับไปจำศีลอีกสักพัก ตอนที่พวกข้าช่วยเจ้า พวกข้าใช้พลังไปเยอะมาก แต่ถ้ามีเหตุอันตรายพวกข้าจะออกมา แล้วเจอกันผู้สร้างคนใหม่” หลังจากที่สั่งลาซูเมิ่งแล้ว เทพจิ้งจอกก็ได้กลับไปจำศีลต่อ
“เดี๋ยวๆ! อย่าเพิ่งไปท่านเทพจิ้งจอก ฉันยังไม่เข้าใจเลย” ซูเมิ่งร้องเรียกเทพจิ้งจอก แต่ก็ไม่ทันแล้ว เธอเดินไปตรงที่เทพจิ้งจอกหายไป เธอมองเห็นตำราเล่มหนึ่ง ดูจากสภาพของตำราเล่มนี้ น่าจะเก่ามากเลยทีเดียว ว่าแต่มันเป็นตำราอะไร?
ซูเมิ่งเปิดตำรา ข้างในตำราเป็นกระดาษเปล่าทั้งหมด ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่นา แล้วถ้าในตำราเล่มนี้ไม่มีอะไร ทำไมท่านเทพจิ้งจอกถึงทิ้งไว้ให้เธอล่ะ แปลกจริง มันน่าจะต้องทำอะไรได้บ้าง รอท่านจิ้งจอกตื่นจากจำศีลก่อนแล้วกันเธอค่อยเอาไปถาม ซูเมิ่งเลิกสนใจตำราเล่มนั้นและหันไปสนใจบ้านที่อยู่ในมิติแทนเธอเข้าไปดูในบ้าน บ้านหลังนี้ที่อยู่ในมิติ เป็นจุดศูนย์กลางที่ทำให้เราเข้ามา และออกจากมิติได้ ซูเมิ่งเปิดประตูเข้าไปในบ้าน เธอเจอของบางส่วนที่เธอซื้อไว้วางอยู่กลางบ้าน บ้านหลังนี้ถือว่าเป็นบ้านชั้นเดียว ปูบ้านด้วยอิฐแดงทั้งหมด ห้องต่างๆ ดูทันสมัยกว่าที่เห็นด้านนอกมาก ซูเมิ่งลองเดินสำรวจจนทั่วแล้ว มีห้องครัวหนึ่งห้องซึ่งมีอุปกรณ์ทำครัวครบครัน มีห้องน้ำที่ทันสมัยเหมือนที่เธอใช้อยู่เป็นประจำ มีห้องนอนทั้งหมดห้าห้อง บ้านหลังนี้เหมือนเตรียมมาเพื่อครอบครัวของเธอเลยแต่ไม่รู้ว่ามิติสามารถนำคนที่อยู่ภายนอก เข้ามาภายอยู่ในมิตินี้ได้หรือเปล่า หลังจากที่เธอเข้ามาสำรวจภายในมิติเป็นเวลานาน ทำให้เธอเริ่มง่วงนอน เธอคิดว่าควรออกไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ยังมีอะไรที่เธอต้องทำอีกเยอะเธอออกมาด้าน
“อ้าวพี่ตงหยางเองเหรอ ฉันนึกว่าเป็นพ่อและแม่เสียอีก” “แล้วพ่อกับแม่ไปไหนล่ะ พี่ไม่เห็นรถของท่านจอดอยู่เลย” “แม่บอกว่าจะไปซื้อของเตรียมไว้วันสิ้นโลก แล้วพี่กลับบ้านมามีธุระอะไรหรือเปล่า” “ก็แม่เราบอกว่าจะไปดูบ้านที่อยู่ทางเหนือ ให้พี่กลับมาจะได้ไปดูพร้อมกัน พี่ก็ลางานเรียบร้อยแล้ว และก็รีบขับรถกลับมาบ้าน อีกอย่างพี่ก็จะมาดูว่าเรามีมิติอย่างที่แม่ได้พูดให้ฟังไหม” “แน่นอนว่าฉันก็ต้องมีอยู่แล้วสิ แล้วก็มีนี่ด้วยนะ” ซูเมิ่งแบมือและเค้นพลังเวทออกมาโชว์ให้พี่ชายของเธอได้ดู///////หลังจากที่ตงหยางได้เห็นว่าที่มือของซูเมิ่งมีแสงออกมา เขาก็ดูตกใจและคิดว่ามันคืออะไรและทำสิ่งใดได้บ้าง“มันคืออะไร และสิ่งนี้ทำอะไรได้บ้าง” นี่มันเกิดเรื่องอะไรกับน้องเขากันแน่ซูเมิ่งยิ้มและยืดอกนิดหน่อยด้วยความรู้สึกภูมิใจ“สิ่งนี้มันคือพลังเวทยังไงละพี่ตงหยาง” “พลังเวทเหรอ? แค่มีมิติพี่ก็ว่าเหลือเชื่อแล้ว นี่เราถึงกลับมีพลังเวทด้วย แล้วพลังเวทของเรามันทำอะไรได้บ้าง” “พลังเวทของฉันตอนนี้มีสองสี มีสีน้ำตาลและสีเขียวอ่อน ฉันลองใช้ทั้งสองอย่างแล้วนะ สีน้ำตาลใช้พรวนดินในการปลูกผักผลไม้สีนี้น่าจะเรียกว
“แม่เรานี่เก่งจริงๆ เลย” เสียงของซีซวนประจบแม่“เด็กช่างประจบจริงๆ เลย” เธอมองซีซวนโดยทำหน้าตาล้อเลียน“แม่ดูพี่สิแกล้งผมอีกแล้ว” “เลิกทะเลาะกันได้แล้วรีบกินข้าว” ลูกของเธอไม่รู้จักโตกันเสียที“พ่อแม่รู้หรือยังว่าเรามีพลังเวทด้วย” อยู่ดีๆ พี่ชายของเธอก็ได้พูดออกมา“อ้าว! นี่ลูกไม่เห็นจะเล่าให้แม่ฟังเลย” แม่เธอบ่นออกมาด้วยเสียงน้อยใจนิดหน่อย“ก็หนูเห็นช่วงนี้พ่อกับแม่ยุ่งๆ หนูเลยลืม” หลังจากนั้นเธอก็ได้เล่าเรื่องที่เคยเล่าให้พี่ชายฟัง และได้เล่าเรื่องให้พ่อกับแม่และซีซวนฟังซ้ำอีกรอบ“เมื่อคืนหนูลองเข้าไปในมิติแล้วนะคะ ผักและผลไม้โตเร็วมากๆ แต่ตอนนี้หนูยังไม่ได้เข้าไปดูอีกเลย หนูว่าจะเข้าไปดูวันนี้แต่ยังไม่มีเวลาเลยค่ะ“ถ้าอย่างนั้นเธอก็เข้าไปดูสิว่ามันออกลูกหรือยัง” ตงหยางถามน้องสาวออกไป เขาก็อยากรู้เหมือนกัน“ถ้าแบบนั้นหนูขอเข้าไปดูก่อนนะคะ ถ้าผลไม้และผักโตแล้วจะได้เก็บมาทำอาหารกินในวันพรุ่งนี้ เธอหายเข้ามาไปในมิติ ซึ่งทุกคนก็ไม่ได้ตกใจเท่าไหร่ เพราะเริ่มชินกับการที่เธอหายเข้าไปในมิติ และออกมาจากมิติ เป็นปกตินั่นเอง“ซูเมิ่งเดินเข้ามาดูผักและผลไม้ที่เธอได้ปลูกเอาไว้ ซึ้
หลังจากที่ทุกคนทำสิ่งต่างๆ เสร็จแล้ว พ่อของเธอบอกว่าจะมีช่างเข้ามาติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ แม่ก็เลยคิดว่าจะเตรียมอาหารให้ช่างที่จะมาติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในวันนี้กริ้งๆ กริ้งๆ เสียงคนกดออดที่หน้าบ้าน“ใครมา ช่างมาติดตั้งหรือเปล่าไปดูหน่อยซีซวน” “ช่างมาแล้วแม่จะให้เขาติดตั้งตรงไหน” “สวัสดีครับ พวกผมเป็นทีมงานติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ครับ ที่คุณเซียวกังได้ติดต่อไว้” “พ่อๆ มาดูช่างหน่อยว่าจะให้เขาติดตั้งตรงไหน” “เดียวให้ติดตั้งตรงหลังคาทั้งหมดเลยนะครับ ว่าแต่ทางคุณรับงานแค่ที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์อย่างเดียวเหรอ หรือมีรับงานอย่างอื่นด้วย” “ทางบริษัทของเรามีรับทำ เรือนกระจกและทำกำแพงบ้านด้วยครับ” “ผมอยากทำกำแพงบ้านที่มีอยู่ให้แข็งแรงทนทานกว่านี้ พอจะมีแบบให้ดูไหมครับ” “มีครับเป็นแบบอิฐ และที่ทนทานสุดๆ ก็มีแบบอะลูมิเนียมและแบบเหล็กครับ แต่บ้านส่วนมากก็จะทำเป็นแบบอิฐนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเซียวกังสนใจแบบไหนครับ” “ผมอยากได้เป็นแบบเหล็ก พอจะติดตั้งได้เมื่อไหร่” “เดียวผมโทรถามทางบริษัทก่อนนะครับ” หลังจากช่างคุยกับพ่อของเธอเสร็จแล้ว ก็แยกย้ายกันไปติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ส่วนหัวหน้าช่างก็
นี่มันภาษาอะไรกัน แต่เธอทำไมอ่านออกแล้วเข้าใจล่ะ เธอยังไม่หายสงสัย ในหัวของเธอก็เกิดเป็นภาพของท่านเทพจิ้งจอกขึ้นมา“ท่านเทพจิ้งจอกสิ่งนี้คืออะไร ตัวหนังสือพวกนี้ทำไม่ท่านถึงทิ้งไว้ให้ข้า แล้วมันคือตำราเกี่ยวกับอะไรกัน” เธอถามคำถามที่คาใจกับท่านเทพจิ้งจอกออกไป“ใจเย็น ค่อยๆ ถาม ที่ข้ามาอยู่ตรงนี้ก็เพื่อจะบอกเจ้านี่ไง ว่าสิ่งนี้มันคืออะไร และทำอะไรได้บ้าง ถ้าตอนนี้เจ้าเห็นข้าแสดงว่าเจ้าได้ครอบครองตำราเล่มนี้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ตัวหนังสือที่เจ้าได้รับสืบทอดไปเรียกว่า ตำราอักขระ ที่ได้สืบทอดสำหรับผู้สร้างเท่านั้น ถึงจะครอบครองมันได้ ตอนนั้นที่ข้าไม่ได้บอกเจ้าเพราะข้า มีพลังไม่มากพอที่จะได้บอกเจ้า พวกข้าเลยทิ้งจิตส่วนหนึ่งเอาไว้ใน ตำราเล่มนี้” “แล้วสิ่งนี้มันทำอะไรได้บางท่านเทพ” “เจ้าก็ลองอ่านสิ่งที่เจ้าได้ไปสิ แล้วเจ้าจะเข้าใจมันเอง ข้าไปล่ะแล้วเจอกัน อีกไม่นานพวกข้าจะออกมาพบเจ้าอีก” “เดียวท่านเทพจิ้งจอก “ทิ้งข้าไปอีกแล้ว ทำให้ข้าสับสนแล้วท่านก็จากไปทุกทีเลย แต่น่าจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อเราแน่นอนหลังจากที่เธอได้พูดคุยกับท่านเทพจิ้งจอกไปแล้ว เธอก็ได้ตั้งจิต เข้าไปตรวจสอบอักขระ
และการที่เธอเลื่อนระดับในครั้งนี้ ทำให้เธอรู้ความลับ ของผลเวทสีรุ้งนี้ สิ่งนั้นก็คือ ถ้าเธอเพิ่มพลังเวทในร่างกายให้เป็นสามขั้น ของทุกเวท เธอจะสามารถขอพรอะไรก็ได้หนึ่งอย่าง เธอคิดออกแล้วว่าสิ่งที่จะขอนั้นคืออะไร แต่ตอนนี้ สิ่งที่ยากกว่า เธอจะทำอย่างไรให้พลังเวททั้งสี่เวทในร่างของเธอ เลื่อนระดับไปถึงสามระดับได้ทั้งหมดกันเธอนึกออกแล้ว เธอมีตัวช่วยนิ มิตินี่ไง คือตัวช่วยที่ดีที่สุดของเธอ ทรัพยากรต่างๆ ที่ใช้ในการเลื่อนพลัง ก็อยู่ในนี้ทั้งหมดแล้ว หลังจากที่ซูเมิ่งเพิ่งเลื่อนพลังไป เธอก็ไม่หยุดอยู่แค่นี้ เธอต้องทำให้เวทอีกสามเวทเป็นขั้นที่หนึ่งครบทุกเวทเสียก่อน เธอปรับเวลาในมิติ ให้เวลาข้างในเร็วกว่าข้างนอก ข้างในมิติผ่านไปหนึ่งเดือนข้างนอกจะผ่านไปหนึ่งวันหลังจากที่เธอมุ่งมั่นอยู่กับการเลื่อนระดับพลัง เวลาก็ผ่านไปหลายเดือนในมิติ แต่ด้านนอกผ่านไปแค่สิบกว่าวันเท่านั้น เธอก็สามารถเลื่อนพลังทั้งสี่เป็นขั้นที่หนึ่งได้สำเร็จในที่สุดเราก็ทำสำเร็จแล้ว เราเลื่อนระดับหนึ่งทั้งสี่เวทได้สำเร็จแล้ว เธอดีใจเป็นอย่างมาก ตอนนี้ ทั้งพลังเวทดิน น้ำ พฤกษา และเวทไฟ เธอใช้อย่างชำนาญทั้งหมดแล้ว เธอทั้งฝึกพ
“ตกลงครับ ผมขอซื้อทั้งหมด ถ้าคุณหงส์มีหินหยกแบบนี้อีกนำมาขายให้ผมได้นะครับ สำหรับหินหยกสองก้อนนี้ผมให้ราคาอยู่ที่…..ก้อนละสามล้านหยวน แต่สำหรับหินชิ้นสีเขียวผมให้ราคา ที่มากกว่าเพราะเป็นหินที่คุณภาพดีกว่ามาก ผมให้ราคาอยู่ที่สิบห้าล้านหยวน คุณหงส์พอใจกับราคานี้หรือเปล่าครับ” เธอไม่คิดว่าราคาหินหยก ที่เธอได้นำมาขายในวันนี้ จะได้ราคาที่สูงมากขนาดนี้ ถ้าตอนไหนที่เธอขาดเงินเธอก็สามารถนำหินที่อยู่ในมิติไปขายก็รวยแล้ว “พอใจกับราคาที่คุณจางเสนอให้มากเลยค่ะ” “ถ้าคุณหงส์พอใจผมก็ดีใจครับ เพราะทางเราได้ให้ราคาที่สูงที่สุดแล้ว ถ้าคุณหงส์ยังมีหินหยกอีก ผมรับซื้อทั้งหมดนะครับ” เขายินดีที่จะให้ราคาสูงกับลูกค้าคนนี้ เพื่อการซื้อขายในอนาคต“ถ้าแบบนั้นเรามาทำสัญญาซื้อขายกันเลยไหมครับ” “ได้ค่ะ ถ้าฉันมีหินหยกอีก ฉันจะนึกถึงร้านคุณจางเฟินเจินแน่นอนค่ะ” หลังจากที่เธอได้ทำสัญญาซื้อขายกันเรียบร้อยแล้ว ไหนๆ เธอก็ออกมาข้างนอก เธอคิดว่าจะไปดูรถบ้านสักหน่อย เธออยากได้มานานแล้วหลังจากที่จางเฟินเจิน ได้ส่งลูกค้าออกจากบ้านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบเอาหินเวทที่เพิ่งได้รับวันนี้ ไปมอบให้เจ้าของร้านที่แท้
“แต่ที่ลูกพูดก็ถูกนะคุณ พี่ชายคุณเขาก็โตแล้ว เขาต้องเลี้ยงดูลูกกับครอบครัวเขาเองได้แล้ว ไม่ใช่อะไรๆ ก็มาพึ่งแต่พวกเรา ครอบครัวเรามีตั้งหลายชีวิต หวังว่าคุณคงไม่บอกว่าพวกเราจะไปอยู่บ้านบนเขานะ เราช่วยได้เท่าที่ช่วยเถอะ ไม่ใช่ว่าฉันเห็นแก่ตัวหรอกน่ะ แต่ฉันก็ทำเพื่อลูกของฉันเหมือนกัน แล้วคุณล่ะ ทำเพื่อลูก หรือทำเพื่อคนอื่นมากกว่าครอบครัวของเรา” แม่เธอพูดเสร็จแล้วก็เข้าห้องไปอีกคน แม่เธอคงโกรธมากที่พ่อของเธอใจอ่อนแบบนี้ ในเมื่อคนอื่นพูดไปหมดแล้ว เธอก็จะไม่พูดอะไรอีก เธอก็รู้สึกสงสารพ่อของเธอเหมือนกัน อีกฝั่งก็ครอบครัว อีกฝั่งก็พี่น้อง“แล้วเราล่ะ คิดว่าพ่อคนนี้แย่หรือเปล่า” “พ่อ เป็นพ่อที่เท่สำหรับหนูเสมอค่ะ หนูเข้าใจพ่อนะคะ แต่พ่อต้องมองความเป็นจริงด้วย ลุงเซียวเอินก็เป็นอย่างที่แม่พูดจริงๆ หนูเข้าใจพ่อนะคะ” เธอพูดจบแล้วก็เข้าไปกอดพ่อของเธอ แล้วเธอก็เดินเข้าห้องไปอีกคนหลังจากที่ครอบครัวของเขาแยกย้ายกันไปหมดแล้ว เซียวกังก็นั่งทบทวนตัวเองอยู่คนเดียวอีกสักพัก ก็เดินกลับเข้าห้องไปง้อ ภรรยาของเขา ก่อนเข้าห้องได้เดินไปหน้าห้องของลูกสาวแล้วเคาะประตูบอกให้เธอ ลงไปเก็บรถบ้านเข้ามิติด้วยเธอ
“นายท่าน พวกเราได้ไปตรวจดูบริเวณโดยรอบแล้ว ไม่มีร่องรอยของคนอื่นเลยขอรับ” “เฝ้าระวังต่อไป อย่าเพิ่งวางใจพวกเราเดินทางกันสะดวกเกินไป” เขาสั่งงานกับลูกน้องที่เขาไว้ใจพาเดินทางมาด้วยสามสิบคน เป็นคนที่เขาคิดว่าไว้ใจได้ที่สุดแล้ว“โอ้ย! ปวดท้อง ข้าปวดท้องเหลือเกิน!” ซีห่าวได้ยินเสียงร้องของภรรยา ก็รีบเข้ามาดู“น้องจะคลอดแล้วหรือ เราหยุดพักรถม้ากันตรงนี้ก่อน พวกเจ้าไปเตรียมก่อไฟและต้มน้ำ แม่นมภรรยาข้าเป็นอย่างไรบ้าง” “เด็กกลับหัวพอดีเลยคะนายท่าน ดูท่าจะคลอดง่าย” เขาได้ฟังที่แม่นมรายงานก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น และเตรียมสิ่งของที่หมอตำแยได้บอกให้เตรียมไว้ เขาได้ยินเสียงเด็กร้องออกมาจากในรถม้า“เป็นเด็กผู้ชายเจ้าคะ ร่างกายแข็งแรง นายหญิงปลอดภัยดีเจ้าคะ” หลีซีห่าวได้ฟังรายงานจากแม่นม เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขามองขึ้นไปบนฟ้า เป็นคืนที่พระจันทร์ทรงกลดพอดีกระสุนปืนยิงเข้ามาที่รถม้าของพวกเขา ในช่วงที่พวกเขาลดการระวังตัว“มีคนร้ายทุกคนกันนายหญิงให้ดี” เขารีบสั่งลูกน้องให้เข้าปกป้องลูกและภรรยาที่อยู่ในรถม้าก่อน หน้าของลูกเขาก็ยังไม่ทันได้เห็นเลย“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นด้านนอก ท่านปลอดภ
เวลาผ่านไปหลายปี จิ้งจอกน้อยตามหาเจ้านายของเขาไปทั่วทุกหนแห่งแต่ก็ไม่พบ อยู่มาวันหนึ่งพวกเขาบังเอิญได้มาที่สระบัวแห่งหนึ่ง และพบกับดอกบัวที่มีพลังงานหนาแน่นเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงเก็บดอกบัวสีขาวที่มีสีแดงตรงปลาย ดอกบัวดอกนี้ให้ความคุ้นเคยกับพวกเขาเป็นอย่างมาก เหมือนว่าเจ้าดอกบัวนี้ จะเป็นสิ่งที่พวกเขาตามหาอยู่ พวกเขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ตอนที่พวกเขากำลังเข้าไปจับที่ดอกบัวดอกนั้น จิ้งจอกน้อยรู้สึกว่าดอกบัวกำลังดีใจที่ได้พบกับพวกเขา และพวกเขาก็สามารถเก็บดอกบัวไปปลูกได้อย่างง่ายดาย จิ้งจอกสองหัวรู้สึกแปลกใจกับความง่ายดายนี้ ถ้าเป็นพืชที่วิเศษ จะต้องใช้แรงกายในการเอาสิ่งนั้นมาได้ยากมาก แต่ดอกบัวดอกนี้ยินยอมที่จะไปอยู่กับพวกเขาเอง พวกเขานำดอกบัวไปปลูกไว้ที่สระน้ำแห่งชีวิต ตั้งแต่ที่ได้นำดอกบัวเข้ามาปลูก พลังงานบริสุทธิ์ภายในมิติยิ่งเพิ่มมากขึ้น และสระน้ำแห่งชีวิตก็บริสุทธิ์มากขึ้นเช่นกันเวลาผ่านไปหลายปี จนถึงปีหนึ่งที่พวกเขากำลังนั่งจำศีลกันอยู่พวกเขาได้ปล่อยจิตรับรู้เอาไว้ อีกไม่กี่วันข้างหน้า พวกเขาจะต้องไปทำงานที่เจ้านายได้สั่งไว้ก่อนที่จะหายตัวไป“เสี่ยวปิง แล้วพวกเราจะต้องไปช่วยเด
มีหญิงสาวคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เธออาศัยอยู่ในป่าลึกพร้อมกับเพื่อนคู่ใจ เป็นจิ้งจอกตัวน้อยสองหัว ที่เธอได้ช่วยเหลือไว้ตอนที่แม่ของพวกมันถูกฆ่าตาย เธอตั้งชื่อให้ทั้งสองหัวว่า เสี่ยวเฟิง และเสี่ยวปิง จิ้งจอกน้อยทั้งสองตัว ติดตามเธอคอยช่วยเหลือและเฝ้าดูแลพื้นที่ในมิติแทนเธอ ผู้เป็นเจ้าของในที่แห่งนี้จิ้งจอกน้อยอยู่กับนายของมัน เธอเป็นหญิงสาวที่เงียบขรึม ไม่ชอบพูดคุยกับใคร ชีวิตในแต่ละวันของเธอ ก็จะอยู่ภายในมิติมากกว่าอยู่ด้านนอกมิติ เธอชอบคิดค้นยาหรือหาสิ่งใหม่ๆ เข้ามาปลูกภายในมิติอยู่เสมอ พวกเขาก็ได้เรียนรู้สิ่งที่เจ้านายได้นำเข้ามาปลูกด้วยเช่นกัน“เจ้าจิ้งจอกน้อย อย่าไปเล่นซนกับต้นสมุนไพรของข้าละ สมุนไพรชนิดนี้สำคัญมาก และก็มีราคาที่แพงด้วย” “พวกข้าจะไม่ไปเล่นซนตรงนั้นอย่างแน่นอน ข้าแค่สงสัยกลิ่นของสมุนไพรแปลกๆ พวกนี้” “ดีแล้วเด็กดีตัวน้อย” หญิงสาวอุ้มจิ้งจอกสองหัวขึ้นมากอด และก็เกาไปที่พุงของพวกมันเบาๆจิ้งจอกน้อยทั้งสองตัวมีความสุขกับเจ้านายของพวกมันมาก และพวกมันก็รักเจ้านายคนนี้มากด้วยเช่นกัน ตอนที่พวกเขาได้พบเจอกับเจ้านายคนนี้ พวกเขาก็เกือบจะตายกันไปแล้ว อยู่มาวัน
“เด็กน้อยของแม่ ลูกหน้าเหมือนพี่เฟยหรงเลยนะคะ” เธอเอานิ้วถูไปที่แก้มลูกเบาๆ“ตอนนี้ยังดูไม่ค่อยออกหรอกว่าหน้าเหมือนใคร ต้องรอไปสักสองถึงสามเดือนถึงจะดูออก” ซูซ่านพูดบอกลูกสาวของเธอไป" อ่อ แบบนี้นี่เอง " เธอเล่นกับลูกอีกสักพัก ลูกเธอก็ร้องขึ้นมา เธอต้องส่งลูกให้คุณพยาบาลพาไปป้อนนม เพราะน้ำนมเธอยังไม่มากพอให้เด็กทั้งสองคนได้กินทั้งครอบครัวของเธอและคุณปู่เห็นว่าเธอและลูกปลอดภัยหายห่วงแล้ว ก็พากันกลับบ้าน เหลือแค่เธอกับพี่เฟยหรงแค่สองคนเท่านั้น“เหนื่อยไหมครับคนเก่ง” เฟยหรงเอาผ้าชุบน้ำนำมาเช็ดหน้าและเช็ดตามตัวของภรรยา เพื่อให้เธอได้นอนพักผ่อนอย่างสบายตัว“มีคนดูแลดีแบบนี้น้องหายเหนื่อยไปตั้งนานแล้วค่ะ” เธอนอนให้สามีคอยเช็ดตัวให้ เพราะเธอยังรู้สึกเจ็บแผลที่คลอดอยู่มาก“พี่เช็ดตัวให้น้องจะได้นอนหลับอย่างสบายนะครับ คืนนี้พยาบาลบอกว่าให้น้องนอนพักได้เลย พรุ่งนี้ถึงจะพาลูกมาให้เราฝึกดูแล” “ดีเหมือนกัน น้องคงดูแลไม่ไหวแน่วันนี้น้องขอนอนพักก่อนนะคะ” เธอไม่ได้พูดอะไรมาก แล้วก็นอนหลับไปเพราะยาที่ได้กิน และความเหนื่อยล้าจากร่างกาย เฟยหรงนั่งเฝ้าภรรยาและตัวเขาก็หลับไปพร้อมกันเวลาผ่านไปหล
หลังจากที่เธอได้ไปฝากครรภ์ ตอนนี้ก็ผ่านมาห้าเดือนแล้ว ท้องของเธอใหญ่มาก ใหญ่เกินไปด้วยซ้ำทั้งๆ ที่เธอเพิ่งจะท้องลูกคนแรก หรือเธอจะท้องลูกแฝดหรือเปล่า เพราะเธอท้องใหญ่เกินกว่าจะท้องลูกคนเดียว ช่วงนี้เธอว่างเกินไปจริงๆ ตั้งแต่ที่เธอท้องพี่เฟยหรงก็แทบจะไม่ให้เธอทำอะไรเลยวันๆ เธอมีหน้าที่แค่กินและนอนเท่านั้น เธอบันทึกประจำวันในแต่ละวันว่าทำอะไรบ้างลงในสมุดการตั้งครรภ์ ทุกเดือนเธอต้องแบกท้องกลมโตไปให้หมอตรวจ หมอก็บอกเธอว่าอาจจะได้ลูกแฝด เสียดายที่ไม่มีเครื่องตรวจ เธอก็เลยไม่รู้ว่าลูกเธอเป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชายกันแน่ แต่ไม่ว่าเป็นหญิงหรือชาย เธอก็รักเด็กคนนี้เสมอ“พ่อกลับมาแล้วครับ วันนี้เด็กน้อยดื้อกับแม่หรือเปล่าครับ” พี่เฟยหรงกลับบ้านเร็วทุกวัน เพราะกลัวว่าเธอจะอยู่คนเดียวที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ทุกครั้งตอนกลับถึงบ้านพี่เฟยหรงก็จะเข้ามาจูบที่ท้องของเธอ และเล่นกับลูกในท้อง เด็กน้อยทั้งสองเหมือนว่าจะรู้ว่าพ่อเขามาเล่นด้วย ก็จะดิ้นทักทายตอบกลับพี่เฟยหรงทุกครั้ง ทำให้เธอเจ็บท้องไปหมด แต่เป็นความเจ็บปวดที่เธอมีความสุขตอนนี้เข้าเดือนที่แปดแล้ว เธอมานอนอยู่ที่บ้านพ่อกับแม่เพราะกลัวว่าเธอจะปวดท้
“ไม่โกรธคะ แต่เป็นห่วงมากกว่ากลัวว่าพี่จะเกิดอันตรายอะไรขึ้นมา พี่ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วคราวหน้าถ้าพี่เฟยหรงจะกลับบ้านช้า หรือทำอะไรที่เป็นอันตรายจะต้องบอกน้องไว้ก่อนนะคะ อย่าหายไปแบบนี้อีก ถ้าไม่อย่างนั้นน้องจะโกรธพี่เฟยหรงจริงๆ ด้วย” “ได้ครับ ครั้งหน้าพี่จะรายงานภรรยาตัวน้อยของพี่ทุกอย่าง จะไม่ลืมเลย” เธอหยอกล้อเล่นกับสามีอยู่ พี่เฟยหรงก็ทำหน้าพะอืดพะอมเหมือนอยากจะอ้วกขึ้นมา“พี่เฟยหรงเป็นอะไร ไม่สบายตรงไหน” “พี่ไม่ได้เป็นอะไร แค่ช่วงนี้พี่รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวและอยากจะอ้วกอยู่บ่อยๆ ” หรือพี่เฟยหรงจะแพ้ท้องแทนเธอกัน เขาว่าถ้าคนไหนรักเมียมากก็จะแพ้ท้องแทนเมีย เธอไม่ได้เข้าข้างตัวเอง แต่พี่เฟยหรงก็รักเธอจริง“พี่อยากกินอะไรเปรี้ยวๆ หรือเปล่า” “ใช่แล้วพี่รู้สึกอยากกินของเปรี้ยวมากเลย” “ถ้าแบบนั้น เดี๋ยวน้องต้มน้ำแกงใส่ผักกาดดองให้พี่ดีไหม ที่บ้านเรายังมีลูกท้ออยู่ เดี๋ยวน้องจะไปเตรียมไว้ให้ พี่นอนพักก่อนก็ได้นะคะ ถ้าน้องทำเสร็จแล้วจะเอามาให้ที่เตียง” เธอลุกเดินไปล้างหน้า และเข้าไปที่ห้องครัวเพื่อไปเตรียมอาหารให้คนแพ้ท้องแทนเมียกิน ดีที่แม่ได้เตรียมผักกาดดองมาให้เธอเมื่อวานนี้
“ช่วงนี้หนูไม่ได้ไปหาหมอเลยคะ แต่อาการแบบนี้จะเป็นทุกครั้งหลังจากที่หนูฝึกพลังเวทเสร็จนะคะ” “ท้องหรือเปล่าลูก ตอนแม่ท้องแม่ก็อยากกินอะไรเปรี้ยวๆ เหมือนกัน” หรือเธอจะท้องกัน เพราะประจำเดือนของเธอเลยกำหนดมาหลายวันแล้ว“หนูก็ไม่รู้ค่ะ เอาไว้หนูจะลองตรวจดู” “พ่อว่าท้องก็ดี เฟยหรงจะได้สมใจอยากสักที สามีลูกมาบ่นให้พ่อฟังตลอดเลย มาถามหาเคล็ดลับอะไรก็ไม่รู้กับพี่ชายของลูกด้วย” “พี่เฟยหรงทำถึงขนาดนี้เลยเหรอคะ สงสัยจะอยากมีลูกมากจริงๆ ไม่แน่หนูอาจจะท้องก็ได้นะคะ” “ระบบก็อยู่กับลูก ก็ลองซื้อมาตรวจสะตอนนี้เลย แม่จะได้ช่วยดูด้วย” “ก็ได้ค่ะ” เธอเปิดระบบร้านค้าขึ้นมาดู แล้วเลือกไปที่ตรวจการตั้งครรภ์ เธอเลือกเอาที่ตรวจง่ายๆ มาสองอัน เพื่อป้องกันความผิดพลาด เธอกดจ่ายแต้มในมิติไป สองร้อยแต้ม ตอนนี้แต้มในมิติที่เคยมีอยู่ก็ยังใช้ได้เหมือนเดิม แต่ถ้าอยากมีแต้มที่มากขึ้น เธอจะได้แต้มนี้มาจากการขายของในระบบ ก็คือหาของมาขายให้ระบบอีกที เธอถึงจะได้แต้มมาซื้อของในร้านค้า เพราะเธอไม่ได้เปิดร้านค้าออนไลน์อีกต่อไปแล้ว ระบบเลยปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ที่เธอเป็นอยู่“ได้มาแล้วค่ะแม่ หนูจะเอาไปตรว
“นี่เฟยหรงใช่ไหม” หงเปาร้องเรียกชายหนุ่มที่อยู่ตรงทางออกประตูด้านหน้าเขา“ผมเฟยหรงเองครับท่านผู้ช่วย ตอนนี้ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับท่านผู้นำ ไม่ทราบว่าตอนนี้ท่านทำอะไรอยู่” “ตอนนี้ท่านผู้นำท่านได้พาทุกคนออกไปด้านนอกแล้ว” “แสดงว่า ที่ใต้ดินแห่งนี้มีทางออกหลายทางเหรอครับ” “ใช่แล้ว นายไม่เคยอยู่ในเมืองใต้ดินแห่งนี้ นายคงไม่รู้ว่ายังมีทางออกเชื่อมไปตามเมืองต่าง ๆ อีก” “ที่ผมจะคุยกับท่านก็เรื่องที่พื้นดินด้านบน สามารถอยู่ได้แล้ว ถ้าตอนนี้ท่านรู้แล้ว ผมขอกลับไปหาครอบครัวของผมก่อนนะครับ พวกเราต้องสร้างบ้านหลังใหม่” “ถ้านายทำเรื่องทางฝั่งของครอบครัวนายเสร็จแล้ว ก็มาพบกับท่านผู้นำอีกครั้งก็แล้วกัน ฉันจะบอกท่านไว้ให้” “ขอบคุณมากครับ” เฟยหรงพูดพร้อมกับความสบายใจ และได้เร่งเดินทางกลับมาหาครอบครัวของเขา“พี่เฟยหรงไปไหนมาคะ” ซูเมิ่งถามสามีของเธอออกไป เธอไม่เห็นเฟยหรงตั้งแต่เช้าแล้ว“พี่ไปแจ้งเรื่องท่านผู้นำมา แต่ไม่เจอท่าน” “อ่อ เรื่องนี้นี่เอง พี่น่าจะถามฉันก่อนนะคะ” เธอพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา ที่สามีของเธอใจร้อน ไปหาท่านผู้นำครั้งนี้ พี่เฟยหรงคงจะไปไม่พบกับท่านผู้นำแน่เฟยหรงเขาก็
“ เจ้ามีเรื่องอะไรจะคุยกับข้ากัน” เฟยฉีดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อสิ่งที่เขาเฝ้ารอมาตลอด เขาได้พบเจอเสียที “ผมน่าจะเคยรู้จักท่านเทพมาก่อนครับ ผมได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานมากแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ผมได้เป็นเด็ก ท่านเทพใช่คนเดียวกันกับ คนที่เอาเด็กน้อยและบันทึกตระกูลมาวางไว้ที่หน้าบ้านผม เมื่อครั้งนั้นใช่ไหมครับ ““เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเป็นพวกข้า” “ผมแค่รู้สึกได้ เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยที่ออกมาจากตัวเด็กที่ท่านได้วางไว้เมื่อครั้งนั้น” ใช่แล้ว วันนั้นเป็นเศษเสี้ยวดวงจิตของพวกเขาเอง ที่ได้ทิ้งไว้ส่วนหนึ่งก่อนที่จะจำศีล เพื่อที่จะทำตามคำขอของเจ้านายคนเก่า ให้เอาเด็กน้อยไปวางไว้ที่หน้าบ้านของเขาคนนี้ ตามคำสั่งของเจ้าของมิติคนก่อน“ใช่แล้ว เป็นพวกข้าเองที่นำเด็กไปวางไว้ เจ้าของมิติคนเก่าของข้าได้ช่วยเหลือเด็กคนหนึ่งไว้ พวกข้าก็แค่ส่งคืนญาติของเด็กที่น่าสงสารเท่านั้นเอง” “เจ้าของมิติคนเก่าของท่านก็ฝันเห็นนิมิตเหมือนกันใช่ไหมครับ ผมเคยได้ยินว่าถ้าฝึกเวทผ่านไปจนถึงขั้นสูงสุดจะฝันเห็นนิมิตได้” “สิ่งนั้นก็เป็นเรื่องจริง เจ้าของมิติคนเก่าของข้า แค่บอกว่า โชคชะตาจะนำพาให้พานพบกันอีกครั้ง ทุกสิ่งที่เกิด