หลังจากที่ซูเมิ่งลาออกจากที่ทำงานโดยไม่ได้บอกพ่อแม่แล้ว เธอเขียนร่างสิ่งของต่างๆ ที่ต้องใช้ในวันสิ้นโลก ซูเมิ่งไม่เคยลืมเลยว่าพี่ชายของพ่อเธอ หรือที่เธอเรียกว่าญาติ ได้ทำกับครอบครัวเธอไว้เจ็บปวดยังไง แค้นนี้จะต้องทวงคืนอย่างแน่นอน หลังจากที่นึกถึงช่วงเวลาที่เจ็บปวดและการตายของครอบครัวของซูเมิ่ง ก็ทำให้เธอต้องรอบคอบมากขึ้น เพราะเมื่อถึงวันสิ้นโลกจะไม่มีใครที่ไว้ใจได้เลย
ทุกคนก็เหมือนสัตว์ที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด เห็นแก่ตัวและฆ่าคนเพื่อทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดได้โดยไม่รู้สึกผิดอะไร หลังจากนึกถึงความทรงจำที่เลวร้าย ซูเมิ่งก็รีบเขียนสิ่งของที่ต้องใช้เอาไว้ในแผ่นกระดาษ เธอเปิดดูเงินในธนาคารของตัวเองดูว่ามีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่ พอซื้อสิ่งของอะไรได้บ้าง
เธอเห็นเงินในธนาคารของเธอมีอยู่ห้าแสนหยวน แต่เงินแค่นี้ก็ยังไม่พออยู่ดี เธอไม่คิดว่าวันสิ้นโลกจะมาถึงเร็ว! ถ้ารู้แบบนี้เธอน่าจะเก็บเงินไว้ให้เยอะกว่านี้เสียหน่อย เซียวซูเมิ่งบ่นกับตัวเองด้วยความท้อใจ เงินแค่นี้ไม่เพียงพอแน่นอน จะทำยังไงดีที่จะทำให้เธอมีเงินมากกว่านี้ หรือจะเอาเรื่องต่างๆ ไปบอกพ่อและแม่ดี ตอนนี้เธอยังมีเวลาเธอจึงเอาเงินที่มีอยู่เอาไปซื้อของที่จำเป็นมาเก็บไว้ก่อน คิดแล้วซูเมิ่งก็ขับรถไปร้านขายส่งเพื่อหาซื้อสิ่งของ เธอได้เข้ามาซื้อของที่ร้านขายส่งแห่งหนึ่ง เป็นร้านขนาดใหญ่ ที่มีของขายหลายอย่างตามที่เธอต้องการ
เธอเดินเข้าไปในร้าน และมองหาพนักงานของร้านขายส่งทันที เธอเห็นชายคนหนึ่งดูมีอายุ และกำลังสั่งงานกับลูกน้องอยู่
“ถ้าฉันต้องการสั่งของที่นี่ต้องติดต่อที่ใคร” เธอถามพนักงานที่อยู่แถวนั้น
“คุณลูกค้าต้องการของเยอะแค่ไหนคะ ถ้าซื้อของในจำนวนมาก ทางร้านของเรามีบริการส่งถึงที่”
ซูเมิ่งยื่นใบรายการสินค้าที่เธอเขียนไว้ส่งให้พนักงานดู
“ซื้อตามใบรายการนี้เลยคะ มีของตามใบรายการที่ฉันเขียนทั้งหมดเลยหรือเปล่า”
“ของตามใบรายการนี้ ทางร้านของเรามีทั้งหมด ลูกค้าซื้อของเยอะ เราจะมีบริการรถขนสินค้าไปส่งถึงบ้าน ลูกค้าต้องการให้ยกสินค้าขึ้นรถเลยหรือเปล่า”
“ยกของที่ฉันซื้อขนขึ้นรถเลยก็ได้ และไปส่งตามที่อยู่นี้ได้เลย”
เธอบอกที่อยู่ให้พนักงานของร้านขายส่ง ที่เธอให้ไปส่งนั้น เป็นห้องว่างที่ไม่ได้งาน เป็นของเพื่อนเธอ เธอโทรบอกกับเพื่อนว่าขอใช้ห้องนี้ก่อนชั่วคราว ห้องว่างที่เธอยืมเพื่อนมา เป็นห้องว่างที่เอาไว้สำหรับเก็บสินค้า
เมื่อทุกอย่างถูกจัดเตรียมและขนขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว เธอก็ขับรถตามหลังรถของทางร้านขายส่ง เพื่อที่จะนำของไปเก็บ
พนักงานที่มากับรถช่วยกันขนของลงเก็บไว้ในห้องว่าง เธอรอจนพนักงานขนของลงจนหมด
“ขนของลงหมดแล้วนะครับ ถ้าอย่างงั้นพวกผมกลับเลยนะครับ” พนักงานของร้านขายส่งบอกกับเธอ เมื่อพวกเขาทำหน้าที่เสร็จแล้ว
เธอตรวจเช็กสิงของอีกครั้ง เธอจะเก็บของพวกนี้ไว้ที่ไหนดี เธอคิดได้ว่ามีมิติอยู่ แต่เธอไม่รู้ว่ามิตินั้นสามารถเก็บของได้หรือไม่ เธอจึงลองเก็บของชิ้นเล็กเข้าไปดูก่อน
ครั้งแรกที่เธอเก็บของ เธอตั้งจิตเพ่งมองไปที่ของที่เธอต้องการเก็บเข้าไปในมิติ ของชิ้นนั้นก็หายเข้าไปทันที ในมิติเก็บของภายนอกได้ เธอจึงมองไปยังกองของที่เธอซื้อมา และทำแบบเดิมอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เธอเพ่งจิตมองไปที่ของที่วางอยู่ทั้งหมดในครั้งเดียว ของพวกเหล่านั้นก็หายไปจากตรงหน้าเธอทั้งหมด
เธออยากรู้ของที่เธอเก็บเข้าไปแล้ว ของเหล่านั้นจะไปอยู่ที่ไหน เธอจึงเข้าไปดูภายในมิติ ก็เห็นว่าของกองรวมอยู่ตรงพื้นที่ว่างๆ ในมิตินั่นเอง แบบนี้เธอก็ไม่ต้องให้รถขับมาส่งให้เสียเวลาแล้ว แถมยังทำให้เธอมีเวลาไปทำอย่างอื่นได้อีกด้วย
ต่อไปที่เธอจะซื้อ เธอจะไปร้านขายส่งเนื้อสัตว์ ตอนนี้เธอเหลือเงินอยู่สี่แสนเจ็ดหมื่นหยวน ถ้าซื้อของกินของใช้ เงินเธอก็ยังพอซื้อของได้อีกเยอะ แต่ถ้าซื้อของชิ้นใหญ่ เธอกลัวว่าเงินจะไม่พอ
เซียวซูเมิ่งขับรถมาย่านการค้าเนื้อสัตว์ บริเวณโดยรอบมีคนหลายคน เดินเลือกซื้อของ ซูเมิ่งมองดูร้านที่มีเนื้อสดใหม่วางขายอยู่ดูน่าซื้อมาก เธอกำลังเลือกดูว่าจะเข้าไปซื้อของที่ร้านไหนดี เธอหันไปเห็นเหตุการณ์หนึ่งเข้าพอดี
“พ่อหนุ่มเนื้อนี่ราคาเท่าไหร่”
“ชั่งละยี่สิบหยวนครับป้า”
“แบ่งขายให้ป้าสักครึ่งชั่งได้ไหม ลดให้ป้าหน่อยป้าเหลือเงินอยู่แค่สิบหยวนเท่านั้น หลานป้าที่กำลังป่วยอยากกินเนื้อหมูมาก” เธอพูดออกมาด้วยความน่าสงสาร เพราะหลานชายอยากกินเนื้อเพื่อบำรุงร่างกายจริงๆ แต่เธอก็ไม่ได้มีเงินเหลือมากขนาดซื้อเนื้อหมูที่มากพอได้ แค่ซื้อกินให้พอหายอยากได้เท่านั้น
“ลดไม่ได้หรอกครับป้า แต่ผมแถมกระดูก และพวกใส้หมูไปให้ป้าแทนได้ไหมครับ” เขามองดูท่าทางของป้าแล้วคำพูดไม่น่าโกหก เพราะเขาเห็นป้าคนนี้ เดินวนอยู่แถวร้านขายเนื้อของเขาหลายรอบแล้ว ทุกครั้งที่ป้าเดินผ่าน ป้าก็จะทำหน้าเศร้าอยู่หลายครั้ง เพิ่งเห็นมีวันนี้ที่ป้าเดินเข้ามาซื้อของที่ร้านเขา ป้าคงจะไม่มีเงินอย่างที่บอก เขาก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไร ของพวกนี้ก็ไม่ได้มีราคาที่แพงมาก แถมให้ไปเขาก็ยังได้กำไรอยู่ดี
“ขอบคุณนะพ่อหนุ่ม ขอให้ขายดิบขายดี” เธอพูดด้วยความดีใจ รับของ และจ่ายเงิน ถึงเธอจะซื้อเนื้อหมูในราคาเต็ม แต่ได้ของแถมมาก็ถือว่าดีมาก กระดูกนี้เธอจะนำไปตุ๋นให้หลานชายของเธอได้กินอีกหลายมื้อเลย เธอคิดอย่างมีความสุขแล้วก็เดินสวนกับซูเมิ่งที่มองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอคิดว่าจะเข้าไปซื้อของที่ร้านนี้ พ่อค้าก็ดูจิตใจดี
เธอเดินเข้าไปในร้านขายเนื้อสัตว์ และเธอก็ถามซื้อของที่เธอต้องการ
“พ่อค้า มีเนื้ออะไรขายบ้าง” เธอไม่รู้ว่าภายในร้านมีเนื้ออะไรบ้าง
"มีเนื้อหมู เนื้อแกะ เนื้อเป็ดเนื้อไก่ เนื้อวัว อยากได้เนื้อแบบไหนล่ะ" พ่อค้าบอกกับซูเมิ่งแบบเป็นกันเอง
"แต่ละอย่างขายชั่งละเท่าไหร่"
"เนื้อหมูชั่งล่ะยี่สิบหยวน เนื้อไก่และเป็ดขายเป็นตัวนะตัวล่ะยี่สิบสองหยวน เนื้อวัวชั่งล่ะสี่สิบหยวน เนื้อแกะชั่งล่ะสามสิบห้าหยวน อยากได้เนื้อแบบไหนเอาเท่าไหร่"
“มีเนื้อขายหลายอย่างเลย ฉันต้องการเนื้อเยอะมาก พอดีที่บ้านมีงานเลี้ยงจำเป็นต้องใช้เนื้อมากเป็นพิเศษ”
“เอาเยอะแค่ไหนร้านเรามีพอให้คุณซื้อแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นเอาเป็ดกับไก่อย่างละหนึ่งร้อยตัว เนื้อหมูสองร้อยชั่ง เนื้อวัวหนึ่งร้อยชั่ง เนื้อแกะอีกหนึ่งร้อยชั่งค่ะ"
พ่อค้าได้ยินลูกค้ารายใหญ่สั่งของเยอะก็ดีใจรีบไปเตรียมของทันที
“ให้เอาเนื้อพวกนี้ไว้ที่รถของคุณเลยไหมครับ”
“เอาใส่ไวที่ท้ายรถของฉันเลยก็ได้” เธอเดินไปเปิดท้ายเพื่อให้เขา ขนเนื้อได้สะดวกขึ้น เธอจ่ายเงิน เธอมองซ้ายมองขวา ไม่เห็นใครอยู่แถวนั้น เธอก็เก็บเนื้อเอาเข้าไปเก็บไว้ในมิติ
หลังจากเก็บเนื้อ ที่ซื้อมาเอาไว้ในมิติแล้ว ซูเมิ่งก็ไปที่ห้างสรรพสินค้าต่อทันที เพื่อไปซื้อครีมและของใช้ส่วนตัว ซื้อเอาไว้เยอะเพราะไม่รู้อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เธอยังอยากได้รถบ้านและรถไฟฟ้า แต่รถบ้านคงเงินไม่พอซื้อ เธอเอารถไฟฟ้าอย่างเดียวก่อนแล้วกัน เพราะรถไฟฟ้าจำเป็นมากในวิกฤติวันสิ้นโลกที่จะถึง ทุกที่จะร้อนมาก น้ำมันจะหายากที่สุดเลย รถไฟฟ้านี่ละเหมาะที่สุด แต่รถเติมน้ำมันแบบธรรมดาก็จำเป็นเหมือนกันเพราะเครื่องยนต์จะแรงกว่ามาก เธออยากได้หลายอย่างเลย
เธอเดินไปดูรถไฟฟ้าได้รถมาหนึ่งคันในราคาหนึ่งแสนหยวน ตอนนี้เธอเหลือเงินอยู่สามแสนหนึ่งหมื่นหยวน เธอมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ ก็เห็นว่าตอนนี้เย็นมากแล้ว ของใช้อย่างอื่นเธอค่อยมาซื้อในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน เธอขับรถไฟฟ้าไปแอบไว้ตรงถนนที่ไม่มีคน และได้เก็บรถไฟฟ้าของเธอเข้าไปในมิติ เธอเดินย้อนกลับมาเอารถของเธอที่จอดไว้อีกครั้ง
เธอรู้สึกว่าวันนี้ผ่านไปนานเหลือเกิน เธอทำอะไรตั้งหลายอย่างภายในวันเดียว ระหว่างที่เธอขับรถกลับบ้าน เธอก็คิดว่าจะเอาเรื่องที่เธอพบเจอไปบอกกับครอบครัวอย่างไรดี และเธอจะได้ชวนพ่อไปดูบ้านที่อยู่บนภูเขาทางเหนือด้วยกัน
เธอเดินออกมาเปิดประตูบ้าน และขับรถเข้าไปเก็บภายในโรงรถ บ้านของเธอเป็นบ้านจัดสรรสองชั้น มีสี่ห้องนอนและสามห้องน้ำ และมีโรงจอดรถได้สองคัน เธอเปิดประตูบ้านเข้ามาก็มองเห็นพ่อที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่“ทำไมวันนี้กลับเย็นจัง แล้วนี่กินข้าวมาหรือยังแม่อยู่ในครัวนะ ถ้าหิว ก็เข้าไปหาแม่ก่อนได้เลย” “ได้คะพ่อ อยากคุยกับแม่อยู่พอดีเลย” เธอเดินเข้ามาในครัว ได้กลิ่นอาหารที่แม่กำลังทำอยู่ กลิ่นหอมชวนให้เธอหิวข้าว“แม่ ทำอะไรอยู่ หอมน่าทานมากเลย ท้องหนูร้องเสียงดังไปหมดแล้วเนี่ย” “ปากหวานจริงๆ เรา แม่ทำกับข้าวที่ลูกชอบกินรีบมากินเร็ว” ซูเมิ่งมองหน้าแม่ แล้วก็เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ได้พูด“มีอะไรอยากคุยกับแม่หรือเปล่า เห็นมองแม่หลายครั้งแล้ว” “แม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ เรื่องที่มันไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น หรือคงเกิดเรื่องแบบนี้ แค่ในความฝันเท่านั้น” เธอไม่รู้จะเรียกเรื่องพวกนั้นว่าอย่างไรดี“จะบอกว่าเชื่อ แม่ก็ไม่ได้เชื่อเต็มร้อย แต่แม่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อไปหมดทุกอย่าง โลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เราไม่มีทางรู้หรอกว่ามีหลายสิ่ง หลายอย่างที่ซ่อนอยู่ในโลกของเราก็ได้ เพียงแต่เรายังไม่เคยเจอ
“ใคร เรียกข้า ใครกันปลุกข้าขึ้นมา มิติมีเจ้าของคนใหม่แล้วหรือ” “เจ้าถามใครละถ้าถามข้า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเพิ่งตื่นมาพร้อมเจ้านี่ละ” “ใครจะถามเจ้ากันเจ้าหมาโง่ ถ้าข้าหมาโง่เจ้าก็โง่เหมือนกันเพราะเราเป็นตัวเดียวกัน” “ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้วเสี่ยวปิง” “ข้าก็ไม่อยากคุยกับเจ้าเหมือนกันเสี่ยวเฟิง” เสียงที่ดังออกมาจากหนึ่งตัว สองหัว เป็นหมาจิ้งจอกสองหัวลำตัวสีขาวลายสีฟ้าที่เหมือนมีกระแสไฟฟ้าออกมาอยู่ตลอดเวลา และมีเก้าหาง“หรือมิติจะมีเจ้าของคนใหม่แล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราต้องไปตรวจดูแล้วว่ามิติ ได้พบเจอเจ้าของคนใหม่หรือไม่” พวกเขาที่ถูกปลุกขึ้นมาจากการหลับใหล ก็ได้เดินตรงไปที่บ้านที่อยู่ภายในมิติแห่งนี้ ซึ่งมีพวกเขาค่อยเฝ้าดูแลอยู่ พวกเขาทั้งสองหัวมีชื่อเรียกว่าเสี่ยวปิงและเสี่ยวเฟิง แต่ส่วนมากผู้คนจะเรียกพวกเขาว่าเทพจิ้งจอก“บรรยากาศภายในมิติยังเหมือนเดิมเลยสินะเสี่ยวปิง” ระหว่างที่เขาเดินออกมา เขาก็ชื่นชมกับบรรยากาศที่ดีที่มีอยู่ในมิติ ซึ่งทุกอย่างเป็นผลงานของพวกเขาเอง และเจ้าของมิติคนเก่าได้ทำเอาไว้“นั้นสิบรรยากาศแบบนี้ที่หาไม่ได้อีกแล้ว ที่ภายนอกมิติ บรรยากาศที่สดชื่น และมีพลังงานเต็ม
‘เรามีรอยสักแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือว่าจะมีตอนที่เราฟื้นขึ้นมา แปลกจัง’หลังจากที่นั่งคิดทบทวนความทรงจำอยู่สักพัก ซูเมิ่งก็ยกนิ้วนางข้างซ้ายขึ้นมาดู แล้วลองเอามือถูบริเวณที่เป็นรอยสัก ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น เราเคยอ่านนิยายหลายๆ เรื่องเขาบอกว่าต้องตั้งจิตไปตรงรอยสัก เราลองทำแบบนั้นแล้วกันซูเมิ่งตั้งจิตเข้าไปตรงรอยสัก แสงบางอย่างก็เกิดขึ้นรอบตัว ตัวซูเมิ่งหายไปจากบริเวณที่เธอนั่งอยู่ และไปอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ที่มีอากาศบริสุทธิ์ ทุ่งหญ้ากว้างไกล เธอมองออกไปรอบๆ ก็เห็นว่ามีบ้านอยู่หนึ่งหลัง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำที่มีปลาแหวกว่ายอย่างอุดมสมบูรณ์ สถานที่แห่งนี้ คือที่ไหน หรือว่าเป็นโลกอีกโลกหนึ่งที่ต่างจากโลกภายนอก ซูเมิ่งเดินดูไปทั่วบริเวณ และได้พบว่าด้านข้างบ้านหลังน้อยหลังนี้ ได้มีต้นผลไม้ที่ลำต้นไม่ใหญ่มากนัก บนต้นไม้นั้นออกผลอยู่หลายลูก พอเธอลองมองดีๆ ก็เห็นว่าเป็นลูกท้อต้นท้อ ต้นนี้มีลูกอยู่บนต้นมีสีแตกต่างกัน ลูกท้อที่ออกมามีกลิ่นหอมเย้ายวน แค่เธอได้กลิ่นก็ทำให้เธอรู้สึกมีแรงขึ้นมา ร่างกายที่เหนื่อยล้าได้ฟื้นฟูกลับขึ้นมาเกือบทั้งหมด แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก‘แต่ผล
“ใคร เรียกข้า ใครกันปลุกข้าขึ้นมา มิติมีเจ้าของคนใหม่แล้วหรือ” “เจ้าถามใครละถ้าถามข้า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเพิ่งตื่นมาพร้อมเจ้านี่ละ” “ใครจะถามเจ้ากันเจ้าหมาโง่ ถ้าข้าหมาโง่เจ้าก็โง่เหมือนกันเพราะเราเป็นตัวเดียวกัน” “ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้วเสี่ยวปิง” “ข้าก็ไม่อยากคุยกับเจ้าเหมือนกันเสี่ยวเฟิง” เสียงที่ดังออกมาจากหนึ่งตัว สองหัว เป็นหมาจิ้งจอกสองหัวลำตัวสีขาวลายสีฟ้าที่เหมือนมีกระแสไฟฟ้าออกมาอยู่ตลอดเวลา และมีเก้าหาง“หรือมิติจะมีเจ้าของคนใหม่แล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราต้องไปตรวจดูแล้วว่ามิติ ได้พบเจอเจ้าของคนใหม่หรือไม่” พวกเขาที่ถูกปลุกขึ้นมาจากการหลับใหล ก็ได้เดินตรงไปที่บ้านที่อยู่ภายในมิติแห่งนี้ ซึ่งมีพวกเขาค่อยเฝ้าดูแลอยู่ พวกเขาทั้งสองหัวมีชื่อเรียกว่าเสี่ยวปิงและเสี่ยวเฟิง แต่ส่วนมากผู้คนจะเรียกพวกเขาว่าเทพจิ้งจอก“บรรยากาศภายในมิติยังเหมือนเดิมเลยสินะเสี่ยวปิง” ระหว่างที่เขาเดินออกมา เขาก็ชื่นชมกับบรรยากาศที่ดีที่มีอยู่ในมิติ ซึ่งทุกอย่างเป็นผลงานของพวกเขาเอง และเจ้าของมิติคนเก่าได้ทำเอาไว้“นั้นสิบรรยากาศแบบนี้ที่หาไม่ได้อีกแล้ว ที่ภายนอกมิติ บรรยากาศที่สดชื่น และมีพลังงานเต็ม
เธอเดินออกมาเปิดประตูบ้าน และขับรถเข้าไปเก็บภายในโรงรถ บ้านของเธอเป็นบ้านจัดสรรสองชั้น มีสี่ห้องนอนและสามห้องน้ำ และมีโรงจอดรถได้สองคัน เธอเปิดประตูบ้านเข้ามาก็มองเห็นพ่อที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่“ทำไมวันนี้กลับเย็นจัง แล้วนี่กินข้าวมาหรือยังแม่อยู่ในครัวนะ ถ้าหิว ก็เข้าไปหาแม่ก่อนได้เลย” “ได้คะพ่อ อยากคุยกับแม่อยู่พอดีเลย” เธอเดินเข้ามาในครัว ได้กลิ่นอาหารที่แม่กำลังทำอยู่ กลิ่นหอมชวนให้เธอหิวข้าว“แม่ ทำอะไรอยู่ หอมน่าทานมากเลย ท้องหนูร้องเสียงดังไปหมดแล้วเนี่ย” “ปากหวานจริงๆ เรา แม่ทำกับข้าวที่ลูกชอบกินรีบมากินเร็ว” ซูเมิ่งมองหน้าแม่ แล้วก็เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ได้พูด“มีอะไรอยากคุยกับแม่หรือเปล่า เห็นมองแม่หลายครั้งแล้ว” “แม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ เรื่องที่มันไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น หรือคงเกิดเรื่องแบบนี้ แค่ในความฝันเท่านั้น” เธอไม่รู้จะเรียกเรื่องพวกนั้นว่าอย่างไรดี“จะบอกว่าเชื่อ แม่ก็ไม่ได้เชื่อเต็มร้อย แต่แม่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อไปหมดทุกอย่าง โลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เราไม่มีทางรู้หรอกว่ามีหลายสิ่ง หลายอย่างที่ซ่อนอยู่ในโลกของเราก็ได้ เพียงแต่เรายังไม่เคยเจอ
หลังจากที่ซูเมิ่งลาออกจากที่ทำงานโดยไม่ได้บอกพ่อแม่แล้ว เธอเขียนร่างสิ่งของต่างๆ ที่ต้องใช้ในวันสิ้นโลก ซูเมิ่งไม่เคยลืมเลยว่าพี่ชายของพ่อเธอ หรือที่เธอเรียกว่าญาติ ได้ทำกับครอบครัวเธอไว้เจ็บปวดยังไง แค้นนี้จะต้องทวงคืนอย่างแน่นอน หลังจากที่นึกถึงช่วงเวลาที่เจ็บปวดและการตายของครอบครัวของซูเมิ่ง ก็ทำให้เธอต้องรอบคอบมากขึ้น เพราะเมื่อถึงวันสิ้นโลกจะไม่มีใครที่ไว้ใจได้เลยทุกคนก็เหมือนสัตว์ที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด เห็นแก่ตัวและฆ่าคนเพื่อทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดได้โดยไม่รู้สึกผิดอะไร หลังจากนึกถึงความทรงจำที่เลวร้าย ซูเมิ่งก็รีบเขียนสิ่งของที่ต้องใช้เอาไว้ในแผ่นกระดาษ เธอเปิดดูเงินในธนาคารของตัวเองดูว่ามีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่ พอซื้อสิ่งของอะไรได้บ้างเธอเห็นเงินในธนาคารของเธอมีอยู่ห้าแสนหยวน แต่เงินแค่นี้ก็ยังไม่พออยู่ดี เธอไม่คิดว่าวันสิ้นโลกจะมาถึงเร็ว! ถ้ารู้แบบนี้เธอน่าจะเก็บเงินไว้ให้เยอะกว่านี้เสียหน่อย เซียวซูเมิ่งบ่นกับตัวเองด้วยความท้อใจ เงินแค่นี้ไม่เพียงพอแน่นอน จะทำยังไงดีที่จะทำให้เธอมีเงินมากกว่านี้ หรือจะเอาเรื่องต่างๆ ไปบอกพ่อและแม่ดี ตอนนี้เธอยังมีเวลาเธอจึงเอาเงินที่มีอยู่เ
‘เรามีรอยสักแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือว่าจะมีตอนที่เราฟื้นขึ้นมา แปลกจัง’หลังจากที่นั่งคิดทบทวนความทรงจำอยู่สักพัก ซูเมิ่งก็ยกนิ้วนางข้างซ้ายขึ้นมาดู แล้วลองเอามือถูบริเวณที่เป็นรอยสัก ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น เราเคยอ่านนิยายหลายๆ เรื่องเขาบอกว่าต้องตั้งจิตไปตรงรอยสัก เราลองทำแบบนั้นแล้วกันซูเมิ่งตั้งจิตเข้าไปตรงรอยสัก แสงบางอย่างก็เกิดขึ้นรอบตัว ตัวซูเมิ่งหายไปจากบริเวณที่เธอนั่งอยู่ และไปอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ที่มีอากาศบริสุทธิ์ ทุ่งหญ้ากว้างไกล เธอมองออกไปรอบๆ ก็เห็นว่ามีบ้านอยู่หนึ่งหลัง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำที่มีปลาแหวกว่ายอย่างอุดมสมบูรณ์ สถานที่แห่งนี้ คือที่ไหน หรือว่าเป็นโลกอีกโลกหนึ่งที่ต่างจากโลกภายนอก ซูเมิ่งเดินดูไปทั่วบริเวณ และได้พบว่าด้านข้างบ้านหลังน้อยหลังนี้ ได้มีต้นผลไม้ที่ลำต้นไม่ใหญ่มากนัก บนต้นไม้นั้นออกผลอยู่หลายลูก พอเธอลองมองดีๆ ก็เห็นว่าเป็นลูกท้อต้นท้อ ต้นนี้มีลูกอยู่บนต้นมีสีแตกต่างกัน ลูกท้อที่ออกมามีกลิ่นหอมเย้ายวน แค่เธอได้กลิ่นก็ทำให้เธอรู้สึกมีแรงขึ้นมา ร่างกายที่เหนื่อยล้าได้ฟื้นฟูกลับขึ้นมาเกือบทั้งหมด แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก‘แต่ผล