หลังจากที่ซูเมิ่งลาออกจากที่ทำงานโดยไม่ได้บอกพ่อแม่แล้ว เธอเขียนร่างสิ่งของต่างๆ ที่ต้องใช้ในวันสิ้นโลก ซูเมิ่งไม่เคยลืมเลยว่าพี่ชายของพ่อเธอ หรือที่เธอเรียกว่าญาติ ได้ทำกับครอบครัวเธอไว้เจ็บปวดยังไง แค้นนี้จะต้องทวงคืนอย่างแน่นอน หลังจากที่นึกถึงช่วงเวลาที่เจ็บปวดและการตายของครอบครัวของซูเมิ่ง ก็ทำให้เธอต้องรอบคอบมากขึ้น เพราะเมื่อถึงวันสิ้นโลกจะไม่มีใครที่ไว้ใจได้เลย
ทุกคนก็เหมือนสัตว์ที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด เห็นแก่ตัวและฆ่าคนเพื่อทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดได้โดยไม่รู้สึกผิดอะไร หลังจากนึกถึงความทรงจำที่เลวร้าย ซูเมิ่งก็รีบเขียนสิ่งของที่ต้องใช้เอาไว้ในแผ่นกระดาษ เธอเปิดดูเงินในธนาคารของตัวเองดูว่ามีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่ พอซื้อสิ่งของอะไรได้บ้าง
เธอเห็นเงินในธนาคารของเธอมีอยู่ห้าแสนหยวน แต่เงินแค่นี้ก็ยังไม่พออยู่ดี เธอไม่คิดว่าวันสิ้นโลกจะมาถึงเร็ว! ถ้ารู้แบบนี้เธอน่าจะเก็บเงินไว้ให้เยอะกว่านี้เสียหน่อย เซียวซูเมิ่งบ่นกับตัวเองด้วยความท้อใจ เงินแค่นี้ไม่เพียงพอแน่นอน จะทำยังไงดีที่จะทำให้เธอมีเงินมากกว่านี้ หรือจะเอาเรื่องต่างๆ ไปบอกพ่อและแม่ดี ตอนนี้เธอยังมีเวลาเธอจึงเอาเงินที่มีอยู่เอาไปซื้อของที่จำเป็นมาเก็บไว้ก่อน คิดแล้วซูเมิ่งก็ขับรถไปร้านขายส่งเพื่อหาซื้อสิ่งของ เธอได้เข้ามาซื้อของที่ร้านขายส่งแห่งหนึ่ง เป็นร้านขนาดใหญ่ ที่มีของขายหลายอย่างตามที่เธอต้องการ
เธอเดินเข้าไปในร้าน และมองหาพนักงานของร้านขายส่งทันที เธอเห็นชายคนหนึ่งดูมีอายุ และกำลังสั่งงานกับลูกน้องอยู่
“ถ้าฉันต้องการสั่งของที่นี่ต้องติดต่อที่ใคร” เธอถามพนักงานที่อยู่แถวนั้น
“คุณลูกค้าต้องการของเยอะแค่ไหนคะ ถ้าซื้อของในจำนวนมาก ทางร้านของเรามีบริการส่งถึงที่”
ซูเมิ่งยื่นใบรายการสินค้าที่เธอเขียนไว้ส่งให้พนักงานดู
“ซื้อตามใบรายการนี้เลยคะ มีของตามใบรายการที่ฉันเขียนทั้งหมดเลยหรือเปล่า”
“ของตามใบรายการนี้ ทางร้านของเรามีทั้งหมด ลูกค้าซื้อของเยอะ เราจะมีบริการรถขนสินค้าไปส่งถึงบ้าน ลูกค้าต้องการให้ยกสินค้าขึ้นรถเลยหรือเปล่า”
“ยกของที่ฉันซื้อขนขึ้นรถเลยก็ได้ และไปส่งตามที่อยู่นี้ได้เลย”
เธอบอกที่อยู่ให้พนักงานของร้านขายส่ง ที่เธอให้ไปส่งนั้น เป็นห้องว่างที่ไม่ได้งาน เป็นของเพื่อนเธอ เธอโทรบอกกับเพื่อนว่าขอใช้ห้องนี้ก่อนชั่วคราว ห้องว่างที่เธอยืมเพื่อนมา เป็นห้องว่างที่เอาไว้สำหรับเก็บสินค้า
เมื่อทุกอย่างถูกจัดเตรียมและขนขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว เธอก็ขับรถตามหลังรถของทางร้านขายส่ง เพื่อที่จะนำของไปเก็บ
พนักงานที่มากับรถช่วยกันขนของลงเก็บไว้ในห้องว่าง เธอรอจนพนักงานขนของลงจนหมด
“ขนของลงหมดแล้วนะครับ ถ้าอย่างงั้นพวกผมกลับเลยนะครับ” พนักงานของร้านขายส่งบอกกับเธอ เมื่อพวกเขาทำหน้าที่เสร็จแล้ว
เธอตรวจเช็กสิงของอีกครั้ง เธอจะเก็บของพวกนี้ไว้ที่ไหนดี เธอคิดได้ว่ามีมิติอยู่ แต่เธอไม่รู้ว่ามิตินั้นสามารถเก็บของได้หรือไม่ เธอจึงลองเก็บของชิ้นเล็กเข้าไปดูก่อน
ครั้งแรกที่เธอเก็บของ เธอตั้งจิตเพ่งมองไปที่ของที่เธอต้องการเก็บเข้าไปในมิติ ของชิ้นนั้นก็หายเข้าไปทันที ในมิติเก็บของภายนอกได้ เธอจึงมองไปยังกองของที่เธอซื้อมา และทำแบบเดิมอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เธอเพ่งจิตมองไปที่ของที่วางอยู่ทั้งหมดในครั้งเดียว ของพวกเหล่านั้นก็หายไปจากตรงหน้าเธอทั้งหมด
เธออยากรู้ของที่เธอเก็บเข้าไปแล้ว ของเหล่านั้นจะไปอยู่ที่ไหน เธอจึงเข้าไปดูภายในมิติ ก็เห็นว่าของกองรวมอยู่ตรงพื้นที่ว่างๆ ในมิตินั่นเอง แบบนี้เธอก็ไม่ต้องให้รถขับมาส่งให้เสียเวลาแล้ว แถมยังทำให้เธอมีเวลาไปทำอย่างอื่นได้อีกด้วย
ต่อไปที่เธอจะซื้อ เธอจะไปร้านขายส่งเนื้อสัตว์ ตอนนี้เธอเหลือเงินอยู่สี่แสนเจ็ดหมื่นหยวน ถ้าซื้อของกินของใช้ เงินเธอก็ยังพอซื้อของได้อีกเยอะ แต่ถ้าซื้อของชิ้นใหญ่ เธอกลัวว่าเงินจะไม่พอ
เซียวซูเมิ่งขับรถมาย่านการค้าเนื้อสัตว์ บริเวณโดยรอบมีคนหลายคน เดินเลือกซื้อของ ซูเมิ่งมองดูร้านที่มีเนื้อสดใหม่วางขายอยู่ดูน่าซื้อมาก เธอกำลังเลือกดูว่าจะเข้าไปซื้อของที่ร้านไหนดี เธอหันไปเห็นเหตุการณ์หนึ่งเข้าพอดี
“พ่อหนุ่มเนื้อนี่ราคาเท่าไหร่”
“ชั่งละยี่สิบหยวนครับป้า”
“แบ่งขายให้ป้าสักครึ่งชั่งได้ไหม ลดให้ป้าหน่อยป้าเหลือเงินอยู่แค่สิบหยวนเท่านั้น หลานป้าที่กำลังป่วยอยากกินเนื้อหมูมาก” เธอพูดออกมาด้วยความน่าสงสาร เพราะหลานชายอยากกินเนื้อเพื่อบำรุงร่างกายจริงๆ แต่เธอก็ไม่ได้มีเงินเหลือมากขนาดซื้อเนื้อหมูที่มากพอได้ แค่ซื้อกินให้พอหายอยากได้เท่านั้น
“ลดไม่ได้หรอกครับป้า แต่ผมแถมกระดูก และพวกใส้หมูไปให้ป้าแทนได้ไหมครับ” เขามองดูท่าทางของป้าแล้วคำพูดไม่น่าโกหก เพราะเขาเห็นป้าคนนี้ เดินวนอยู่แถวร้านขายเนื้อของเขาหลายรอบแล้ว ทุกครั้งที่ป้าเดินผ่าน ป้าก็จะทำหน้าเศร้าอยู่หลายครั้ง เพิ่งเห็นมีวันนี้ที่ป้าเดินเข้ามาซื้อของที่ร้านเขา ป้าคงจะไม่มีเงินอย่างที่บอก เขาก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไร ของพวกนี้ก็ไม่ได้มีราคาที่แพงมาก แถมให้ไปเขาก็ยังได้กำไรอยู่ดี
“ขอบคุณนะพ่อหนุ่ม ขอให้ขายดิบขายดี” เธอพูดด้วยความดีใจ รับของ และจ่ายเงิน ถึงเธอจะซื้อเนื้อหมูในราคาเต็ม แต่ได้ของแถมมาก็ถือว่าดีมาก กระดูกนี้เธอจะนำไปตุ๋นให้หลานชายของเธอได้กินอีกหลายมื้อเลย เธอคิดอย่างมีความสุขแล้วก็เดินสวนกับซูเมิ่งที่มองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอคิดว่าจะเข้าไปซื้อของที่ร้านนี้ พ่อค้าก็ดูจิตใจดี
เธอเดินเข้าไปในร้านขายเนื้อสัตว์ และเธอก็ถามซื้อของที่เธอต้องการ
“พ่อค้า มีเนื้ออะไรขายบ้าง” เธอไม่รู้ว่าภายในร้านมีเนื้ออะไรบ้าง
"มีเนื้อหมู เนื้อแกะ เนื้อเป็ดเนื้อไก่ เนื้อวัว อยากได้เนื้อแบบไหนล่ะ" พ่อค้าบอกกับซูเมิ่งแบบเป็นกันเอง
"แต่ละอย่างขายชั่งละเท่าไหร่"
"เนื้อหมูชั่งล่ะยี่สิบหยวน เนื้อไก่และเป็ดขายเป็นตัวนะตัวล่ะยี่สิบสองหยวน เนื้อวัวชั่งล่ะสี่สิบหยวน เนื้อแกะชั่งล่ะสามสิบห้าหยวน อยากได้เนื้อแบบไหนเอาเท่าไหร่"
“มีเนื้อขายหลายอย่างเลย ฉันต้องการเนื้อเยอะมาก พอดีที่บ้านมีงานเลี้ยงจำเป็นต้องใช้เนื้อมากเป็นพิเศษ”
“เอาเยอะแค่ไหนร้านเรามีพอให้คุณซื้อแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นเอาเป็ดกับไก่อย่างละหนึ่งร้อยตัว เนื้อหมูสองร้อยชั่ง เนื้อวัวหนึ่งร้อยชั่ง เนื้อแกะอีกหนึ่งร้อยชั่งค่ะ"
พ่อค้าได้ยินลูกค้ารายใหญ่สั่งของเยอะก็ดีใจรีบไปเตรียมของทันที
“ให้เอาเนื้อพวกนี้ไว้ที่รถของคุณเลยไหมครับ”
“เอาใส่ไวที่ท้ายรถของฉันเลยก็ได้” เธอเดินไปเปิดท้ายเพื่อให้เขา ขนเนื้อได้สะดวกขึ้น เธอจ่ายเงิน เธอมองซ้ายมองขวา ไม่เห็นใครอยู่แถวนั้น เธอก็เก็บเนื้อเอาเข้าไปเก็บไว้ในมิติ
หลังจากเก็บเนื้อ ที่ซื้อมาเอาไว้ในมิติแล้ว ซูเมิ่งก็ไปที่ห้างสรรพสินค้าต่อทันที เพื่อไปซื้อครีมและของใช้ส่วนตัว ซื้อเอาไว้เยอะเพราะไม่รู้อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เธอยังอยากได้รถบ้านและรถไฟฟ้า แต่รถบ้านคงเงินไม่พอซื้อ เธอเอารถไฟฟ้าอย่างเดียวก่อนแล้วกัน เพราะรถไฟฟ้าจำเป็นมากในวิกฤติวันสิ้นโลกที่จะถึง ทุกที่จะร้อนมาก น้ำมันจะหายากที่สุดเลย รถไฟฟ้านี่ละเหมาะที่สุด แต่รถเติมน้ำมันแบบธรรมดาก็จำเป็นเหมือนกันเพราะเครื่องยนต์จะแรงกว่ามาก เธออยากได้หลายอย่างเลย
เธอเดินไปดูรถไฟฟ้าได้รถมาหนึ่งคันในราคาหนึ่งแสนหยวน ตอนนี้เธอเหลือเงินอยู่สามแสนหนึ่งหมื่นหยวน เธอมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ ก็เห็นว่าตอนนี้เย็นมากแล้ว ของใช้อย่างอื่นเธอค่อยมาซื้อในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน เธอขับรถไฟฟ้าไปแอบไว้ตรงถนนที่ไม่มีคน และได้เก็บรถไฟฟ้าของเธอเข้าไปในมิติ เธอเดินย้อนกลับมาเอารถของเธอที่จอดไว้อีกครั้ง
เธอรู้สึกว่าวันนี้ผ่านไปนานเหลือเกิน เธอทำอะไรตั้งหลายอย่างภายในวันเดียว ระหว่างที่เธอขับรถกลับบ้าน เธอก็คิดว่าจะเอาเรื่องที่เธอพบเจอไปบอกกับครอบครัวอย่างไรดี และเธอจะได้ชวนพ่อไปดูบ้านที่อยู่บนภูเขาทางเหนือด้วยกัน
เธอเดินออกมาเปิดประตูบ้าน และขับรถเข้าไปเก็บภายในโรงรถ บ้านของเธอเป็นบ้านจัดสรรสองชั้น มีสี่ห้องนอนและสามห้องน้ำ และมีโรงจอดรถได้สองคัน เธอเปิดประตูบ้านเข้ามาก็มองเห็นพ่อที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่“ทำไมวันนี้กลับเย็นจัง แล้วนี่กินข้าวมาหรือยังแม่อยู่ในครัวนะ ถ้าหิว ก็เข้าไปหาแม่ก่อนได้เลย” “ได้คะพ่อ อยากคุยกับแม่อยู่พอดีเลย” เธอเดินเข้ามาในครัว ได้กลิ่นอาหารที่แม่กำลังทำอยู่ กลิ่นหอมชวนให้เธอหิวข้าว“แม่ ทำอะไรอยู่ หอมน่าทานมากเลย ท้องหนูร้องเสียงดังไปหมดแล้วเนี่ย” “ปากหวานจริงๆ เรา แม่ทำกับข้าวที่ลูกชอบกินรีบมากินเร็ว” ซูเมิ่งมองหน้าแม่ แล้วก็เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ได้พูด“มีอะไรอยากคุยกับแม่หรือเปล่า เห็นมองแม่หลายครั้งแล้ว” “แม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ เรื่องที่มันไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น หรือคงเกิดเรื่องแบบนี้ แค่ในความฝันเท่านั้น” เธอไม่รู้จะเรียกเรื่องพวกนั้นว่าอย่างไรดี“จะบอกว่าเชื่อ แม่ก็ไม่ได้เชื่อเต็มร้อย แต่แม่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อไปหมดทุกอย่าง โลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เราไม่มีทางรู้หรอกว่ามีหลายสิ่ง หลายอย่างที่ซ่อนอยู่ในโลกของเราก็ได้ เพียงแต่เรายังไม่เคยเจอ
“ใคร เรียกข้า ใครกันปลุกข้าขึ้นมา มิติมีเจ้าของคนใหม่แล้วหรือ” “เจ้าถามใครละถ้าถามข้า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเพิ่งตื่นมาพร้อมเจ้านี่ละ” “ใครจะถามเจ้ากันเจ้าหมาโง่ ถ้าข้าหมาโง่เจ้าก็โง่เหมือนกันเพราะเราเป็นตัวเดียวกัน” “ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้วเสี่ยวปิง” “ข้าก็ไม่อยากคุยกับเจ้าเหมือนกันเสี่ยวเฟิง” เสียงที่ดังออกมาจากหนึ่งตัว สองหัว เป็นหมาจิ้งจอกสองหัวลำตัวสีขาวลายสีฟ้าที่เหมือนมีกระแสไฟฟ้าออกมาอยู่ตลอดเวลา และมีเก้าหาง“หรือมิติจะมีเจ้าของคนใหม่แล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราต้องไปตรวจดูแล้วว่ามิติ ได้พบเจอเจ้าของคนใหม่หรือไม่” พวกเขาที่ถูกปลุกขึ้นมาจากการหลับใหล ก็ได้เดินตรงไปที่บ้านที่อยู่ภายในมิติแห่งนี้ ซึ่งมีพวกเขาค่อยเฝ้าดูแลอยู่ พวกเขาทั้งสองหัวมีชื่อเรียกว่าเสี่ยวปิงและเสี่ยวเฟิง แต่ส่วนมากผู้คนจะเรียกพวกเขาว่าเทพจิ้งจอก“บรรยากาศภายในมิติยังเหมือนเดิมเลยสินะเสี่ยวปิง” ระหว่างที่เขาเดินออกมา เขาก็ชื่นชมกับบรรยากาศที่ดีที่มีอยู่ในมิติ ซึ่งทุกอย่างเป็นผลงานของพวกเขาเอง และเจ้าของมิติคนเก่าได้ทำเอาไว้“นั้นสิบรรยากาศแบบนี้ที่หาไม่ได้อีกแล้ว ที่ภายนอกมิติ บรรยากาศที่สดชื่น และมีพลังงานเต็ม
ซูเมิ่งเปิดตำรา ข้างในตำราเป็นกระดาษเปล่าทั้งหมด ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่นา แล้วถ้าในตำราเล่มนี้ไม่มีอะไร ทำไมท่านเทพจิ้งจอกถึงทิ้งไว้ให้เธอล่ะ แปลกจริง มันน่าจะต้องทำอะไรได้บ้าง รอท่านจิ้งจอกตื่นจากจำศีลก่อนแล้วกันเธอค่อยเอาไปถาม ซูเมิ่งเลิกสนใจตำราเล่มนั้นและหันไปสนใจบ้านที่อยู่ในมิติแทนเธอเข้าไปดูในบ้าน บ้านหลังนี้ที่อยู่ในมิติ เป็นจุดศูนย์กลางที่ทำให้เราเข้ามา และออกจากมิติได้ ซูเมิ่งเปิดประตูเข้าไปในบ้าน เธอเจอของบางส่วนที่เธอซื้อไว้วางอยู่กลางบ้าน บ้านหลังนี้ถือว่าเป็นบ้านชั้นเดียว ปูบ้านด้วยอิฐแดงทั้งหมด ห้องต่างๆ ดูทันสมัยกว่าที่เห็นด้านนอกมาก ซูเมิ่งลองเดินสำรวจจนทั่วแล้ว มีห้องครัวหนึ่งห้องซึ่งมีอุปกรณ์ทำครัวครบครัน มีห้องน้ำที่ทันสมัยเหมือนที่เธอใช้อยู่เป็นประจำ มีห้องนอนทั้งหมดห้าห้อง บ้านหลังนี้เหมือนเตรียมมาเพื่อครอบครัวของเธอเลยแต่ไม่รู้ว่ามิติสามารถนำคนที่อยู่ภายนอก เข้ามาภายอยู่ในมิตินี้ได้หรือเปล่า หลังจากที่เธอเข้ามาสำรวจภายในมิติเป็นเวลานาน ทำให้เธอเริ่มง่วงนอน เธอคิดว่าควรออกไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ยังมีอะไรที่เธอต้องทำอีกเยอะเธอออกมาด้าน
“อ้าวพี่ตงหยางเองเหรอ ฉันนึกว่าเป็นพ่อและแม่เสียอีก” “แล้วพ่อกับแม่ไปไหนล่ะ พี่ไม่เห็นรถของท่านจอดอยู่เลย” “แม่บอกว่าจะไปซื้อของเตรียมไว้วันสิ้นโลก แล้วพี่กลับบ้านมามีธุระอะไรหรือเปล่า” “ก็แม่เราบอกว่าจะไปดูบ้านที่อยู่ทางเหนือ ให้พี่กลับมาจะได้ไปดูพร้อมกัน พี่ก็ลางานเรียบร้อยแล้ว และก็รีบขับรถกลับมาบ้าน อีกอย่างพี่ก็จะมาดูว่าเรามีมิติอย่างที่แม่ได้พูดให้ฟังไหม” “แน่นอนว่าฉันก็ต้องมีอยู่แล้วสิ แล้วก็มีนี่ด้วยนะ” ซูเมิ่งแบมือและเค้นพลังเวทออกมาโชว์ให้พี่ชายของเธอได้ดู///////หลังจากที่ตงหยางได้เห็นว่าที่มือของซูเมิ่งมีแสงออกมา เขาก็ดูตกใจและคิดว่ามันคืออะไรและทำสิ่งใดได้บ้าง“มันคืออะไร และสิ่งนี้ทำอะไรได้บ้าง” นี่มันเกิดเรื่องอะไรกับน้องเขากันแน่ซูเมิ่งยิ้มและยืดอกนิดหน่อยด้วยความรู้สึกภูมิใจ“สิ่งนี้มันคือพลังเวทยังไงละพี่ตงหยาง” “พลังเวทเหรอ? แค่มีมิติพี่ก็ว่าเหลือเชื่อแล้ว นี่เราถึงกลับมีพลังเวทด้วย แล้วพลังเวทของเรามันทำอะไรได้บ้าง” “พลังเวทของฉันตอนนี้มีสองสี มีสีน้ำตาลและสีเขียวอ่อน ฉันลองใช้ทั้งสองอย่างแล้วนะ สีน้ำตาลใช้พรวนดินในการปลูกผักผลไม้สีนี้น่าจะเรียกว
“แม่เรานี่เก่งจริงๆ เลย” เสียงของซีซวนประจบแม่“เด็กช่างประจบจริงๆ เลย” เธอมองซีซวนโดยทำหน้าตาล้อเลียน“แม่ดูพี่สิแกล้งผมอีกแล้ว” “เลิกทะเลาะกันได้แล้วรีบกินข้าว” ลูกของเธอไม่รู้จักโตกันเสียที“พ่อแม่รู้หรือยังว่าเรามีพลังเวทด้วย” อยู่ดีๆ พี่ชายของเธอก็ได้พูดออกมา“อ้าว! นี่ลูกไม่เห็นจะเล่าให้แม่ฟังเลย” แม่เธอบ่นออกมาด้วยเสียงน้อยใจนิดหน่อย“ก็หนูเห็นช่วงนี้พ่อกับแม่ยุ่งๆ หนูเลยลืม” หลังจากนั้นเธอก็ได้เล่าเรื่องที่เคยเล่าให้พี่ชายฟัง และได้เล่าเรื่องให้พ่อกับแม่และซีซวนฟังซ้ำอีกรอบ“เมื่อคืนหนูลองเข้าไปในมิติแล้วนะคะ ผักและผลไม้โตเร็วมากๆ แต่ตอนนี้หนูยังไม่ได้เข้าไปดูอีกเลย หนูว่าจะเข้าไปดูวันนี้แต่ยังไม่มีเวลาเลยค่ะ“ถ้าอย่างนั้นเธอก็เข้าไปดูสิว่ามันออกลูกหรือยัง” ตงหยางถามน้องสาวออกไป เขาก็อยากรู้เหมือนกัน“ถ้าแบบนั้นหนูขอเข้าไปดูก่อนนะคะ ถ้าผลไม้และผักโตแล้วจะได้เก็บมาทำอาหารกินในวันพรุ่งนี้ เธอหายเข้ามาไปในมิติ ซึ่งทุกคนก็ไม่ได้ตกใจเท่าไหร่ เพราะเริ่มชินกับการที่เธอหายเข้าไปในมิติ และออกมาจากมิติ เป็นปกตินั่นเอง“ซูเมิ่งเดินเข้ามาดูผักและผลไม้ที่เธอได้ปลูกเอาไว้ ซึ้
หลังจากที่ทุกคนทำสิ่งต่างๆ เสร็จแล้ว พ่อของเธอบอกว่าจะมีช่างเข้ามาติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ แม่ก็เลยคิดว่าจะเตรียมอาหารให้ช่างที่จะมาติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในวันนี้กริ้งๆ กริ้งๆ เสียงคนกดออดที่หน้าบ้าน“ใครมา ช่างมาติดตั้งหรือเปล่าไปดูหน่อยซีซวน” “ช่างมาแล้วแม่จะให้เขาติดตั้งตรงไหน” “สวัสดีครับ พวกผมเป็นทีมงานติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ครับ ที่คุณเซียวกังได้ติดต่อไว้” “พ่อๆ มาดูช่างหน่อยว่าจะให้เขาติดตั้งตรงไหน” “เดียวให้ติดตั้งตรงหลังคาทั้งหมดเลยนะครับ ว่าแต่ทางคุณรับงานแค่ที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์อย่างเดียวเหรอ หรือมีรับงานอย่างอื่นด้วย” “ทางบริษัทของเรามีรับทำ เรือนกระจกและทำกำแพงบ้านด้วยครับ” “ผมอยากทำกำแพงบ้านที่มีอยู่ให้แข็งแรงทนทานกว่านี้ พอจะมีแบบให้ดูไหมครับ” “มีครับเป็นแบบอิฐ และที่ทนทานสุดๆ ก็มีแบบอะลูมิเนียมและแบบเหล็กครับ แต่บ้านส่วนมากก็จะทำเป็นแบบอิฐนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเซียวกังสนใจแบบไหนครับ” “ผมอยากได้เป็นแบบเหล็ก พอจะติดตั้งได้เมื่อไหร่” “เดียวผมโทรถามทางบริษัทก่อนนะครับ” หลังจากช่างคุยกับพ่อของเธอเสร็จแล้ว ก็แยกย้ายกันไปติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ส่วนหัวหน้าช่างก็
นี่มันภาษาอะไรกัน แต่เธอทำไมอ่านออกแล้วเข้าใจล่ะ เธอยังไม่หายสงสัย ในหัวของเธอก็เกิดเป็นภาพของท่านเทพจิ้งจอกขึ้นมา“ท่านเทพจิ้งจอกสิ่งนี้คืออะไร ตัวหนังสือพวกนี้ทำไม่ท่านถึงทิ้งไว้ให้ข้า แล้วมันคือตำราเกี่ยวกับอะไรกัน” เธอถามคำถามที่คาใจกับท่านเทพจิ้งจอกออกไป“ใจเย็น ค่อยๆ ถาม ที่ข้ามาอยู่ตรงนี้ก็เพื่อจะบอกเจ้านี่ไง ว่าสิ่งนี้มันคืออะไร และทำอะไรได้บ้าง ถ้าตอนนี้เจ้าเห็นข้าแสดงว่าเจ้าได้ครอบครองตำราเล่มนี้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ตัวหนังสือที่เจ้าได้รับสืบทอดไปเรียกว่า ตำราอักขระ ที่ได้สืบทอดสำหรับผู้สร้างเท่านั้น ถึงจะครอบครองมันได้ ตอนนั้นที่ข้าไม่ได้บอกเจ้าเพราะข้า มีพลังไม่มากพอที่จะได้บอกเจ้า พวกข้าเลยทิ้งจิตส่วนหนึ่งเอาไว้ใน ตำราเล่มนี้” “แล้วสิ่งนี้มันทำอะไรได้บางท่านเทพ” “เจ้าก็ลองอ่านสิ่งที่เจ้าได้ไปสิ แล้วเจ้าจะเข้าใจมันเอง ข้าไปล่ะแล้วเจอกัน อีกไม่นานพวกข้าจะออกมาพบเจ้าอีก” “เดียวท่านเทพจิ้งจอก “ทิ้งข้าไปอีกแล้ว ทำให้ข้าสับสนแล้วท่านก็จากไปทุกทีเลย แต่น่าจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อเราแน่นอนหลังจากที่เธอได้พูดคุยกับท่านเทพจิ้งจอกไปแล้ว เธอก็ได้ตั้งจิต เข้าไปตรวจสอบอักขระ
และการที่เธอเลื่อนระดับในครั้งนี้ ทำให้เธอรู้ความลับ ของผลเวทสีรุ้งนี้ สิ่งนั้นก็คือ ถ้าเธอเพิ่มพลังเวทในร่างกายให้เป็นสามขั้น ของทุกเวท เธอจะสามารถขอพรอะไรก็ได้หนึ่งอย่าง เธอคิดออกแล้วว่าสิ่งที่จะขอนั้นคืออะไร แต่ตอนนี้ สิ่งที่ยากกว่า เธอจะทำอย่างไรให้พลังเวททั้งสี่เวทในร่างของเธอ เลื่อนระดับไปถึงสามระดับได้ทั้งหมดกันเธอนึกออกแล้ว เธอมีตัวช่วยนิ มิตินี่ไง คือตัวช่วยที่ดีที่สุดของเธอ ทรัพยากรต่างๆ ที่ใช้ในการเลื่อนพลัง ก็อยู่ในนี้ทั้งหมดแล้ว หลังจากที่ซูเมิ่งเพิ่งเลื่อนพลังไป เธอก็ไม่หยุดอยู่แค่นี้ เธอต้องทำให้เวทอีกสามเวทเป็นขั้นที่หนึ่งครบทุกเวทเสียก่อน เธอปรับเวลาในมิติ ให้เวลาข้างในเร็วกว่าข้างนอก ข้างในมิติผ่านไปหนึ่งเดือนข้างนอกจะผ่านไปหนึ่งวันหลังจากที่เธอมุ่งมั่นอยู่กับการเลื่อนระดับพลัง เวลาก็ผ่านไปหลายเดือนในมิติ แต่ด้านนอกผ่านไปแค่สิบกว่าวันเท่านั้น เธอก็สามารถเลื่อนพลังทั้งสี่เป็นขั้นที่หนึ่งได้สำเร็จในที่สุดเราก็ทำสำเร็จแล้ว เราเลื่อนระดับหนึ่งทั้งสี่เวทได้สำเร็จแล้ว เธอดีใจเป็นอย่างมาก ตอนนี้ ทั้งพลังเวทดิน น้ำ พฤกษา และเวทไฟ เธอใช้อย่างชำนาญทั้งหมดแล้ว เธอทั้งฝึกพ
“นายท่าน พวกเราได้ไปตรวจดูบริเวณโดยรอบแล้ว ไม่มีร่องรอยของคนอื่นเลยขอรับ” “เฝ้าระวังต่อไป อย่าเพิ่งวางใจพวกเราเดินทางกันสะดวกเกินไป” เขาสั่งงานกับลูกน้องที่เขาไว้ใจพาเดินทางมาด้วยสามสิบคน เป็นคนที่เขาคิดว่าไว้ใจได้ที่สุดแล้ว“โอ้ย! ปวดท้อง ข้าปวดท้องเหลือเกิน!” ซีห่าวได้ยินเสียงร้องของภรรยา ก็รีบเข้ามาดู“น้องจะคลอดแล้วหรือ เราหยุดพักรถม้ากันตรงนี้ก่อน พวกเจ้าไปเตรียมก่อไฟและต้มน้ำ แม่นมภรรยาข้าเป็นอย่างไรบ้าง” “เด็กกลับหัวพอดีเลยคะนายท่าน ดูท่าจะคลอดง่าย” เขาได้ฟังที่แม่นมรายงานก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น และเตรียมสิ่งของที่หมอตำแยได้บอกให้เตรียมไว้ เขาได้ยินเสียงเด็กร้องออกมาจากในรถม้า“เป็นเด็กผู้ชายเจ้าคะ ร่างกายแข็งแรง นายหญิงปลอดภัยดีเจ้าคะ” หลีซีห่าวได้ฟังรายงานจากแม่นม เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขามองขึ้นไปบนฟ้า เป็นคืนที่พระจันทร์ทรงกลดพอดีกระสุนปืนยิงเข้ามาที่รถม้าของพวกเขา ในช่วงที่พวกเขาลดการระวังตัว“มีคนร้ายทุกคนกันนายหญิงให้ดี” เขารีบสั่งลูกน้องให้เข้าปกป้องลูกและภรรยาที่อยู่ในรถม้าก่อน หน้าของลูกเขาก็ยังไม่ทันได้เห็นเลย“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นด้านนอก ท่านปลอดภ
เวลาผ่านไปหลายปี จิ้งจอกน้อยตามหาเจ้านายของเขาไปทั่วทุกหนแห่งแต่ก็ไม่พบ อยู่มาวันหนึ่งพวกเขาบังเอิญได้มาที่สระบัวแห่งหนึ่ง และพบกับดอกบัวที่มีพลังงานหนาแน่นเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงเก็บดอกบัวสีขาวที่มีสีแดงตรงปลาย ดอกบัวดอกนี้ให้ความคุ้นเคยกับพวกเขาเป็นอย่างมาก เหมือนว่าเจ้าดอกบัวนี้ จะเป็นสิ่งที่พวกเขาตามหาอยู่ พวกเขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ตอนที่พวกเขากำลังเข้าไปจับที่ดอกบัวดอกนั้น จิ้งจอกน้อยรู้สึกว่าดอกบัวกำลังดีใจที่ได้พบกับพวกเขา และพวกเขาก็สามารถเก็บดอกบัวไปปลูกได้อย่างง่ายดาย จิ้งจอกสองหัวรู้สึกแปลกใจกับความง่ายดายนี้ ถ้าเป็นพืชที่วิเศษ จะต้องใช้แรงกายในการเอาสิ่งนั้นมาได้ยากมาก แต่ดอกบัวดอกนี้ยินยอมที่จะไปอยู่กับพวกเขาเอง พวกเขานำดอกบัวไปปลูกไว้ที่สระน้ำแห่งชีวิต ตั้งแต่ที่ได้นำดอกบัวเข้ามาปลูก พลังงานบริสุทธิ์ภายในมิติยิ่งเพิ่มมากขึ้น และสระน้ำแห่งชีวิตก็บริสุทธิ์มากขึ้นเช่นกันเวลาผ่านไปหลายปี จนถึงปีหนึ่งที่พวกเขากำลังนั่งจำศีลกันอยู่พวกเขาได้ปล่อยจิตรับรู้เอาไว้ อีกไม่กี่วันข้างหน้า พวกเขาจะต้องไปทำงานที่เจ้านายได้สั่งไว้ก่อนที่จะหายตัวไป“เสี่ยวปิง แล้วพวกเราจะต้องไปช่วยเด
มีหญิงสาวคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เธออาศัยอยู่ในป่าลึกพร้อมกับเพื่อนคู่ใจ เป็นจิ้งจอกตัวน้อยสองหัว ที่เธอได้ช่วยเหลือไว้ตอนที่แม่ของพวกมันถูกฆ่าตาย เธอตั้งชื่อให้ทั้งสองหัวว่า เสี่ยวเฟิง และเสี่ยวปิง จิ้งจอกน้อยทั้งสองตัว ติดตามเธอคอยช่วยเหลือและเฝ้าดูแลพื้นที่ในมิติแทนเธอ ผู้เป็นเจ้าของในที่แห่งนี้จิ้งจอกน้อยอยู่กับนายของมัน เธอเป็นหญิงสาวที่เงียบขรึม ไม่ชอบพูดคุยกับใคร ชีวิตในแต่ละวันของเธอ ก็จะอยู่ภายในมิติมากกว่าอยู่ด้านนอกมิติ เธอชอบคิดค้นยาหรือหาสิ่งใหม่ๆ เข้ามาปลูกภายในมิติอยู่เสมอ พวกเขาก็ได้เรียนรู้สิ่งที่เจ้านายได้นำเข้ามาปลูกด้วยเช่นกัน“เจ้าจิ้งจอกน้อย อย่าไปเล่นซนกับต้นสมุนไพรของข้าละ สมุนไพรชนิดนี้สำคัญมาก และก็มีราคาที่แพงด้วย” “พวกข้าจะไม่ไปเล่นซนตรงนั้นอย่างแน่นอน ข้าแค่สงสัยกลิ่นของสมุนไพรแปลกๆ พวกนี้” “ดีแล้วเด็กดีตัวน้อย” หญิงสาวอุ้มจิ้งจอกสองหัวขึ้นมากอด และก็เกาไปที่พุงของพวกมันเบาๆจิ้งจอกน้อยทั้งสองตัวมีความสุขกับเจ้านายของพวกมันมาก และพวกมันก็รักเจ้านายคนนี้มากด้วยเช่นกัน ตอนที่พวกเขาได้พบเจอกับเจ้านายคนนี้ พวกเขาก็เกือบจะตายกันไปแล้ว อยู่มาวัน
“เด็กน้อยของแม่ ลูกหน้าเหมือนพี่เฟยหรงเลยนะคะ” เธอเอานิ้วถูไปที่แก้มลูกเบาๆ“ตอนนี้ยังดูไม่ค่อยออกหรอกว่าหน้าเหมือนใคร ต้องรอไปสักสองถึงสามเดือนถึงจะดูออก” ซูซ่านพูดบอกลูกสาวของเธอไป" อ่อ แบบนี้นี่เอง " เธอเล่นกับลูกอีกสักพัก ลูกเธอก็ร้องขึ้นมา เธอต้องส่งลูกให้คุณพยาบาลพาไปป้อนนม เพราะน้ำนมเธอยังไม่มากพอให้เด็กทั้งสองคนได้กินทั้งครอบครัวของเธอและคุณปู่เห็นว่าเธอและลูกปลอดภัยหายห่วงแล้ว ก็พากันกลับบ้าน เหลือแค่เธอกับพี่เฟยหรงแค่สองคนเท่านั้น“เหนื่อยไหมครับคนเก่ง” เฟยหรงเอาผ้าชุบน้ำนำมาเช็ดหน้าและเช็ดตามตัวของภรรยา เพื่อให้เธอได้นอนพักผ่อนอย่างสบายตัว“มีคนดูแลดีแบบนี้น้องหายเหนื่อยไปตั้งนานแล้วค่ะ” เธอนอนให้สามีคอยเช็ดตัวให้ เพราะเธอยังรู้สึกเจ็บแผลที่คลอดอยู่มาก“พี่เช็ดตัวให้น้องจะได้นอนหลับอย่างสบายนะครับ คืนนี้พยาบาลบอกว่าให้น้องนอนพักได้เลย พรุ่งนี้ถึงจะพาลูกมาให้เราฝึกดูแล” “ดีเหมือนกัน น้องคงดูแลไม่ไหวแน่วันนี้น้องขอนอนพักก่อนนะคะ” เธอไม่ได้พูดอะไรมาก แล้วก็นอนหลับไปเพราะยาที่ได้กิน และความเหนื่อยล้าจากร่างกาย เฟยหรงนั่งเฝ้าภรรยาและตัวเขาก็หลับไปพร้อมกันเวลาผ่านไปหล
หลังจากที่เธอได้ไปฝากครรภ์ ตอนนี้ก็ผ่านมาห้าเดือนแล้ว ท้องของเธอใหญ่มาก ใหญ่เกินไปด้วยซ้ำทั้งๆ ที่เธอเพิ่งจะท้องลูกคนแรก หรือเธอจะท้องลูกแฝดหรือเปล่า เพราะเธอท้องใหญ่เกินกว่าจะท้องลูกคนเดียว ช่วงนี้เธอว่างเกินไปจริงๆ ตั้งแต่ที่เธอท้องพี่เฟยหรงก็แทบจะไม่ให้เธอทำอะไรเลยวันๆ เธอมีหน้าที่แค่กินและนอนเท่านั้น เธอบันทึกประจำวันในแต่ละวันว่าทำอะไรบ้างลงในสมุดการตั้งครรภ์ ทุกเดือนเธอต้องแบกท้องกลมโตไปให้หมอตรวจ หมอก็บอกเธอว่าอาจจะได้ลูกแฝด เสียดายที่ไม่มีเครื่องตรวจ เธอก็เลยไม่รู้ว่าลูกเธอเป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชายกันแน่ แต่ไม่ว่าเป็นหญิงหรือชาย เธอก็รักเด็กคนนี้เสมอ“พ่อกลับมาแล้วครับ วันนี้เด็กน้อยดื้อกับแม่หรือเปล่าครับ” พี่เฟยหรงกลับบ้านเร็วทุกวัน เพราะกลัวว่าเธอจะอยู่คนเดียวที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ทุกครั้งตอนกลับถึงบ้านพี่เฟยหรงก็จะเข้ามาจูบที่ท้องของเธอ และเล่นกับลูกในท้อง เด็กน้อยทั้งสองเหมือนว่าจะรู้ว่าพ่อเขามาเล่นด้วย ก็จะดิ้นทักทายตอบกลับพี่เฟยหรงทุกครั้ง ทำให้เธอเจ็บท้องไปหมด แต่เป็นความเจ็บปวดที่เธอมีความสุขตอนนี้เข้าเดือนที่แปดแล้ว เธอมานอนอยู่ที่บ้านพ่อกับแม่เพราะกลัวว่าเธอจะปวดท้
“ไม่โกรธคะ แต่เป็นห่วงมากกว่ากลัวว่าพี่จะเกิดอันตรายอะไรขึ้นมา พี่ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วคราวหน้าถ้าพี่เฟยหรงจะกลับบ้านช้า หรือทำอะไรที่เป็นอันตรายจะต้องบอกน้องไว้ก่อนนะคะ อย่าหายไปแบบนี้อีก ถ้าไม่อย่างนั้นน้องจะโกรธพี่เฟยหรงจริงๆ ด้วย” “ได้ครับ ครั้งหน้าพี่จะรายงานภรรยาตัวน้อยของพี่ทุกอย่าง จะไม่ลืมเลย” เธอหยอกล้อเล่นกับสามีอยู่ พี่เฟยหรงก็ทำหน้าพะอืดพะอมเหมือนอยากจะอ้วกขึ้นมา“พี่เฟยหรงเป็นอะไร ไม่สบายตรงไหน” “พี่ไม่ได้เป็นอะไร แค่ช่วงนี้พี่รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวและอยากจะอ้วกอยู่บ่อยๆ ” หรือพี่เฟยหรงจะแพ้ท้องแทนเธอกัน เขาว่าถ้าคนไหนรักเมียมากก็จะแพ้ท้องแทนเมีย เธอไม่ได้เข้าข้างตัวเอง แต่พี่เฟยหรงก็รักเธอจริง“พี่อยากกินอะไรเปรี้ยวๆ หรือเปล่า” “ใช่แล้วพี่รู้สึกอยากกินของเปรี้ยวมากเลย” “ถ้าแบบนั้น เดี๋ยวน้องต้มน้ำแกงใส่ผักกาดดองให้พี่ดีไหม ที่บ้านเรายังมีลูกท้ออยู่ เดี๋ยวน้องจะไปเตรียมไว้ให้ พี่นอนพักก่อนก็ได้นะคะ ถ้าน้องทำเสร็จแล้วจะเอามาให้ที่เตียง” เธอลุกเดินไปล้างหน้า และเข้าไปที่ห้องครัวเพื่อไปเตรียมอาหารให้คนแพ้ท้องแทนเมียกิน ดีที่แม่ได้เตรียมผักกาดดองมาให้เธอเมื่อวานนี้
“ช่วงนี้หนูไม่ได้ไปหาหมอเลยคะ แต่อาการแบบนี้จะเป็นทุกครั้งหลังจากที่หนูฝึกพลังเวทเสร็จนะคะ” “ท้องหรือเปล่าลูก ตอนแม่ท้องแม่ก็อยากกินอะไรเปรี้ยวๆ เหมือนกัน” หรือเธอจะท้องกัน เพราะประจำเดือนของเธอเลยกำหนดมาหลายวันแล้ว“หนูก็ไม่รู้ค่ะ เอาไว้หนูจะลองตรวจดู” “พ่อว่าท้องก็ดี เฟยหรงจะได้สมใจอยากสักที สามีลูกมาบ่นให้พ่อฟังตลอดเลย มาถามหาเคล็ดลับอะไรก็ไม่รู้กับพี่ชายของลูกด้วย” “พี่เฟยหรงทำถึงขนาดนี้เลยเหรอคะ สงสัยจะอยากมีลูกมากจริงๆ ไม่แน่หนูอาจจะท้องก็ได้นะคะ” “ระบบก็อยู่กับลูก ก็ลองซื้อมาตรวจสะตอนนี้เลย แม่จะได้ช่วยดูด้วย” “ก็ได้ค่ะ” เธอเปิดระบบร้านค้าขึ้นมาดู แล้วเลือกไปที่ตรวจการตั้งครรภ์ เธอเลือกเอาที่ตรวจง่ายๆ มาสองอัน เพื่อป้องกันความผิดพลาด เธอกดจ่ายแต้มในมิติไป สองร้อยแต้ม ตอนนี้แต้มในมิติที่เคยมีอยู่ก็ยังใช้ได้เหมือนเดิม แต่ถ้าอยากมีแต้มที่มากขึ้น เธอจะได้แต้มนี้มาจากการขายของในระบบ ก็คือหาของมาขายให้ระบบอีกที เธอถึงจะได้แต้มมาซื้อของในร้านค้า เพราะเธอไม่ได้เปิดร้านค้าออนไลน์อีกต่อไปแล้ว ระบบเลยปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ที่เธอเป็นอยู่“ได้มาแล้วค่ะแม่ หนูจะเอาไปตรว
“นี่เฟยหรงใช่ไหม” หงเปาร้องเรียกชายหนุ่มที่อยู่ตรงทางออกประตูด้านหน้าเขา“ผมเฟยหรงเองครับท่านผู้ช่วย ตอนนี้ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับท่านผู้นำ ไม่ทราบว่าตอนนี้ท่านทำอะไรอยู่” “ตอนนี้ท่านผู้นำท่านได้พาทุกคนออกไปด้านนอกแล้ว” “แสดงว่า ที่ใต้ดินแห่งนี้มีทางออกหลายทางเหรอครับ” “ใช่แล้ว นายไม่เคยอยู่ในเมืองใต้ดินแห่งนี้ นายคงไม่รู้ว่ายังมีทางออกเชื่อมไปตามเมืองต่าง ๆ อีก” “ที่ผมจะคุยกับท่านก็เรื่องที่พื้นดินด้านบน สามารถอยู่ได้แล้ว ถ้าตอนนี้ท่านรู้แล้ว ผมขอกลับไปหาครอบครัวของผมก่อนนะครับ พวกเราต้องสร้างบ้านหลังใหม่” “ถ้านายทำเรื่องทางฝั่งของครอบครัวนายเสร็จแล้ว ก็มาพบกับท่านผู้นำอีกครั้งก็แล้วกัน ฉันจะบอกท่านไว้ให้” “ขอบคุณมากครับ” เฟยหรงพูดพร้อมกับความสบายใจ และได้เร่งเดินทางกลับมาหาครอบครัวของเขา“พี่เฟยหรงไปไหนมาคะ” ซูเมิ่งถามสามีของเธอออกไป เธอไม่เห็นเฟยหรงตั้งแต่เช้าแล้ว“พี่ไปแจ้งเรื่องท่านผู้นำมา แต่ไม่เจอท่าน” “อ่อ เรื่องนี้นี่เอง พี่น่าจะถามฉันก่อนนะคะ” เธอพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา ที่สามีของเธอใจร้อน ไปหาท่านผู้นำครั้งนี้ พี่เฟยหรงคงจะไปไม่พบกับท่านผู้นำแน่เฟยหรงเขาก็
“ เจ้ามีเรื่องอะไรจะคุยกับข้ากัน” เฟยฉีดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อสิ่งที่เขาเฝ้ารอมาตลอด เขาได้พบเจอเสียที “ผมน่าจะเคยรู้จักท่านเทพมาก่อนครับ ผมได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานมากแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ผมได้เป็นเด็ก ท่านเทพใช่คนเดียวกันกับ คนที่เอาเด็กน้อยและบันทึกตระกูลมาวางไว้ที่หน้าบ้านผม เมื่อครั้งนั้นใช่ไหมครับ ““เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเป็นพวกข้า” “ผมแค่รู้สึกได้ เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยที่ออกมาจากตัวเด็กที่ท่านได้วางไว้เมื่อครั้งนั้น” ใช่แล้ว วันนั้นเป็นเศษเสี้ยวดวงจิตของพวกเขาเอง ที่ได้ทิ้งไว้ส่วนหนึ่งก่อนที่จะจำศีล เพื่อที่จะทำตามคำขอของเจ้านายคนเก่า ให้เอาเด็กน้อยไปวางไว้ที่หน้าบ้านของเขาคนนี้ ตามคำสั่งของเจ้าของมิติคนก่อน“ใช่แล้ว เป็นพวกข้าเองที่นำเด็กไปวางไว้ เจ้าของมิติคนเก่าของข้าได้ช่วยเหลือเด็กคนหนึ่งไว้ พวกข้าก็แค่ส่งคืนญาติของเด็กที่น่าสงสารเท่านั้นเอง” “เจ้าของมิติคนเก่าของท่านก็ฝันเห็นนิมิตเหมือนกันใช่ไหมครับ ผมเคยได้ยินว่าถ้าฝึกเวทผ่านไปจนถึงขั้นสูงสุดจะฝันเห็นนิมิตได้” “สิ่งนั้นก็เป็นเรื่องจริง เจ้าของมิติคนเก่าของข้า แค่บอกว่า โชคชะตาจะนำพาให้พานพบกันอีกครั้ง ทุกสิ่งที่เกิด