หลังจากที่ซูเมิ่งลาออกจากที่ทำงานโดยไม่ได้บอกพ่อแม่แล้ว เธอเขียนร่างสิ่งของต่างๆ ที่ต้องใช้ในวันสิ้นโลก ซูเมิ่งไม่เคยลืมเลยว่าพี่ชายของพ่อเธอ หรือที่เธอเรียกว่าญาติ ได้ทำกับครอบครัวเธอไว้เจ็บปวดยังไง แค้นนี้จะต้องทวงคืนอย่างแน่นอน หลังจากที่นึกถึงช่วงเวลาที่เจ็บปวดและการตายของครอบครัวของซูเมิ่ง ก็ทำให้เธอต้องรอบคอบมากขึ้น เพราะเมื่อถึงวันสิ้นโลกจะไม่มีใครที่ไว้ใจได้เลย
ทุกคนก็เหมือนสัตว์ที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด เห็นแก่ตัวและฆ่าคนเพื่อทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดได้โดยไม่รู้สึกผิดอะไร หลังจากนึกถึงความทรงจำที่เลวร้าย ซูเมิ่งก็รีบเขียนสิ่งของที่ต้องใช้เอาไว้ในแผ่นกระดาษ เธอเปิดดูเงินในธนาคารของตัวเองดูว่ามีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่ พอซื้อสิ่งของอะไรได้บ้าง
เธอเห็นเงินในธนาคารของเธอมีอยู่ห้าแสนหยวน แต่เงินแค่นี้ก็ยังไม่พออยู่ดี เธอไม่คิดว่าวันสิ้นโลกจะมาถึงเร็ว! ถ้ารู้แบบนี้เธอน่าจะเก็บเงินไว้ให้เยอะกว่านี้เสียหน่อย เซียวซูเมิ่งบ่นกับตัวเองด้วยความท้อใจ เงินแค่นี้ไม่เพียงพอแน่นอน จะทำยังไงดีที่จะทำให้เธอมีเงินมากกว่านี้ หรือจะเอาเรื่องต่างๆ ไปบอกพ่อและแม่ดี ตอนนี้เธอยังมีเวลาเธอจึงเอาเงินที่มีอยู่เอาไปซื้อของที่จำเป็นมาเก็บไว้ก่อน คิดแล้วซูเมิ่งก็ขับรถไปร้านขายส่งเพื่อหาซื้อสิ่งของ เธอได้เข้ามาซื้อของที่ร้านขายส่งแห่งหนึ่ง เป็นร้านขนาดใหญ่ ที่มีของขายหลายอย่างตามที่เธอต้องการ
เธอเดินเข้าไปในร้าน และมองหาพนักงานของร้านขายส่งทันที เธอเห็นชายคนหนึ่งดูมีอายุ และกำลังสั่งงานกับลูกน้องอยู่
“ถ้าฉันต้องการสั่งของที่นี่ต้องติดต่อที่ใคร” เธอถามพนักงานที่อยู่แถวนั้น
“คุณลูกค้าต้องการของเยอะแค่ไหนคะ ถ้าซื้อของในจำนวนมาก ทางร้านของเรามีบริการส่งถึงที่”
ซูเมิ่งยื่นใบรายการสินค้าที่เธอเขียนไว้ส่งให้พนักงานดู
“ซื้อตามใบรายการนี้เลยคะ มีของตามใบรายการที่ฉันเขียนทั้งหมดเลยหรือเปล่า”
“ของตามใบรายการนี้ ทางร้านของเรามีทั้งหมด ลูกค้าซื้อของเยอะ เราจะมีบริการรถขนสินค้าไปส่งถึงบ้าน ลูกค้าต้องการให้ยกสินค้าขึ้นรถเลยหรือเปล่า”
“ยกของที่ฉันซื้อขนขึ้นรถเลยก็ได้ และไปส่งตามที่อยู่นี้ได้เลย”
เธอบอกที่อยู่ให้พนักงานของร้านขายส่ง ที่เธอให้ไปส่งนั้น เป็นห้องว่างที่ไม่ได้งาน เป็นของเพื่อนเธอ เธอโทรบอกกับเพื่อนว่าขอใช้ห้องนี้ก่อนชั่วคราว ห้องว่างที่เธอยืมเพื่อนมา เป็นห้องว่างที่เอาไว้สำหรับเก็บสินค้า
เมื่อทุกอย่างถูกจัดเตรียมและขนขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว เธอก็ขับรถตามหลังรถของทางร้านขายส่ง เพื่อที่จะนำของไปเก็บ
พนักงานที่มากับรถช่วยกันขนของลงเก็บไว้ในห้องว่าง เธอรอจนพนักงานขนของลงจนหมด
“ขนของลงหมดแล้วนะครับ ถ้าอย่างงั้นพวกผมกลับเลยนะครับ” พนักงานของร้านขายส่งบอกกับเธอ เมื่อพวกเขาทำหน้าที่เสร็จแล้ว
เธอตรวจเช็กสิงของอีกครั้ง เธอจะเก็บของพวกนี้ไว้ที่ไหนดี เธอคิดได้ว่ามีมิติอยู่ แต่เธอไม่รู้ว่ามิตินั้นสามารถเก็บของได้หรือไม่ เธอจึงลองเก็บของชิ้นเล็กเข้าไปดูก่อน
ครั้งแรกที่เธอเก็บของ เธอตั้งจิตเพ่งมองไปที่ของที่เธอต้องการเก็บเข้าไปในมิติ ของชิ้นนั้นก็หายเข้าไปทันที ในมิติเก็บของภายนอกได้ เธอจึงมองไปยังกองของที่เธอซื้อมา และทำแบบเดิมอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เธอเพ่งจิตมองไปที่ของที่วางอยู่ทั้งหมดในครั้งเดียว ของพวกเหล่านั้นก็หายไปจากตรงหน้าเธอทั้งหมด
เธออยากรู้ของที่เธอเก็บเข้าไปแล้ว ของเหล่านั้นจะไปอยู่ที่ไหน เธอจึงเข้าไปดูภายในมิติ ก็เห็นว่าของกองรวมอยู่ตรงพื้นที่ว่างๆ ในมิตินั่นเอง แบบนี้เธอก็ไม่ต้องให้รถขับมาส่งให้เสียเวลาแล้ว แถมยังทำให้เธอมีเวลาไปทำอย่างอื่นได้อีกด้วย
ต่อไปที่เธอจะซื้อ เธอจะไปร้านขายส่งเนื้อสัตว์ ตอนนี้เธอเหลือเงินอยู่สี่แสนเจ็ดหมื่นหยวน ถ้าซื้อของกินของใช้ เงินเธอก็ยังพอซื้อของได้อีกเยอะ แต่ถ้าซื้อของชิ้นใหญ่ เธอกลัวว่าเงินจะไม่พอ
เซียวซูเมิ่งขับรถมาย่านการค้าเนื้อสัตว์ บริเวณโดยรอบมีคนหลายคน เดินเลือกซื้อของ ซูเมิ่งมองดูร้านที่มีเนื้อสดใหม่วางขายอยู่ดูน่าซื้อมาก เธอกำลังเลือกดูว่าจะเข้าไปซื้อของที่ร้านไหนดี เธอหันไปเห็นเหตุการณ์หนึ่งเข้าพอดี
“พ่อหนุ่มเนื้อนี่ราคาเท่าไหร่”
“ชั่งละยี่สิบหยวนครับป้า”
“แบ่งขายให้ป้าสักครึ่งชั่งได้ไหม ลดให้ป้าหน่อยป้าเหลือเงินอยู่แค่สิบหยวนเท่านั้น หลานป้าที่กำลังป่วยอยากกินเนื้อหมูมาก” เธอพูดออกมาด้วยความน่าสงสาร เพราะหลานชายอยากกินเนื้อเพื่อบำรุงร่างกายจริงๆ แต่เธอก็ไม่ได้มีเงินเหลือมากขนาดซื้อเนื้อหมูที่มากพอได้ แค่ซื้อกินให้พอหายอยากได้เท่านั้น
“ลดไม่ได้หรอกครับป้า แต่ผมแถมกระดูก และพวกใส้หมูไปให้ป้าแทนได้ไหมครับ” เขามองดูท่าทางของป้าแล้วคำพูดไม่น่าโกหก เพราะเขาเห็นป้าคนนี้ เดินวนอยู่แถวร้านขายเนื้อของเขาหลายรอบแล้ว ทุกครั้งที่ป้าเดินผ่าน ป้าก็จะทำหน้าเศร้าอยู่หลายครั้ง เพิ่งเห็นมีวันนี้ที่ป้าเดินเข้ามาซื้อของที่ร้านเขา ป้าคงจะไม่มีเงินอย่างที่บอก เขาก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไร ของพวกนี้ก็ไม่ได้มีราคาที่แพงมาก แถมให้ไปเขาก็ยังได้กำไรอยู่ดี
“ขอบคุณนะพ่อหนุ่ม ขอให้ขายดิบขายดี” เธอพูดด้วยความดีใจ รับของ และจ่ายเงิน ถึงเธอจะซื้อเนื้อหมูในราคาเต็ม แต่ได้ของแถมมาก็ถือว่าดีมาก กระดูกนี้เธอจะนำไปตุ๋นให้หลานชายของเธอได้กินอีกหลายมื้อเลย เธอคิดอย่างมีความสุขแล้วก็เดินสวนกับซูเมิ่งที่มองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอคิดว่าจะเข้าไปซื้อของที่ร้านนี้ พ่อค้าก็ดูจิตใจดี
เธอเดินเข้าไปในร้านขายเนื้อสัตว์ และเธอก็ถามซื้อของที่เธอต้องการ
“พ่อค้า มีเนื้ออะไรขายบ้าง” เธอไม่รู้ว่าภายในร้านมีเนื้ออะไรบ้าง
"มีเนื้อหมู เนื้อแกะ เนื้อเป็ดเนื้อไก่ เนื้อวัว อยากได้เนื้อแบบไหนล่ะ" พ่อค้าบอกกับซูเมิ่งแบบเป็นกันเอง
"แต่ละอย่างขายชั่งละเท่าไหร่"
"เนื้อหมูชั่งล่ะยี่สิบหยวน เนื้อไก่และเป็ดขายเป็นตัวนะตัวล่ะยี่สิบสองหยวน เนื้อวัวชั่งล่ะสี่สิบหยวน เนื้อแกะชั่งล่ะสามสิบห้าหยวน อยากได้เนื้อแบบไหนเอาเท่าไหร่"
“มีเนื้อขายหลายอย่างเลย ฉันต้องการเนื้อเยอะมาก พอดีที่บ้านมีงานเลี้ยงจำเป็นต้องใช้เนื้อมากเป็นพิเศษ”
“เอาเยอะแค่ไหนร้านเรามีพอให้คุณซื้อแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นเอาเป็ดกับไก่อย่างละหนึ่งร้อยตัว เนื้อหมูสองร้อยชั่ง เนื้อวัวหนึ่งร้อยชั่ง เนื้อแกะอีกหนึ่งร้อยชั่งค่ะ"
พ่อค้าได้ยินลูกค้ารายใหญ่สั่งของเยอะก็ดีใจรีบไปเตรียมของทันที
“ให้เอาเนื้อพวกนี้ไว้ที่รถของคุณเลยไหมครับ”
“เอาใส่ไวที่ท้ายรถของฉันเลยก็ได้” เธอเดินไปเปิดท้ายเพื่อให้เขา ขนเนื้อได้สะดวกขึ้น เธอจ่ายเงิน เธอมองซ้ายมองขวา ไม่เห็นใครอยู่แถวนั้น เธอก็เก็บเนื้อเอาเข้าไปเก็บไว้ในมิติ
หลังจากเก็บเนื้อ ที่ซื้อมาเอาไว้ในมิติแล้ว ซูเมิ่งก็ไปที่ห้างสรรพสินค้าต่อทันที เพื่อไปซื้อครีมและของใช้ส่วนตัว ซื้อเอาไว้เยอะเพราะไม่รู้อนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เธอยังอยากได้รถบ้านและรถไฟฟ้า แต่รถบ้านคงเงินไม่พอซื้อ เธอเอารถไฟฟ้าอย่างเดียวก่อนแล้วกัน เพราะรถไฟฟ้าจำเป็นมากในวิกฤติวันสิ้นโลกที่จะถึง ทุกที่จะร้อนมาก น้ำมันจะหายากที่สุดเลย รถไฟฟ้านี่ละเหมาะที่สุด แต่รถเติมน้ำมันแบบธรรมดาก็จำเป็นเหมือนกันเพราะเครื่องยนต์จะแรงกว่ามาก เธออยากได้หลายอย่างเลย
เธอเดินไปดูรถไฟฟ้าได้รถมาหนึ่งคันในราคาหนึ่งแสนหยวน ตอนนี้เธอเหลือเงินอยู่สามแสนหนึ่งหมื่นหยวน เธอมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ ก็เห็นว่าตอนนี้เย็นมากแล้ว ของใช้อย่างอื่นเธอค่อยมาซื้อในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน เธอขับรถไฟฟ้าไปแอบไว้ตรงถนนที่ไม่มีคน และได้เก็บรถไฟฟ้าของเธอเข้าไปในมิติ เธอเดินย้อนกลับมาเอารถของเธอที่จอดไว้อีกครั้ง
เธอรู้สึกว่าวันนี้ผ่านไปนานเหลือเกิน เธอทำอะไรตั้งหลายอย่างภายในวันเดียว ระหว่างที่เธอขับรถกลับบ้าน เธอก็คิดว่าจะเอาเรื่องที่เธอพบเจอไปบอกกับครอบครัวอย่างไรดี และเธอจะได้ชวนพ่อไปดูบ้านที่อยู่บนภูเขาทางเหนือด้วยกัน
เธอเดินออกมาเปิดประตูบ้าน และขับรถเข้าไปเก็บภายในโรงรถ บ้านของเธอเป็นบ้านจัดสรรสองชั้น มีสี่ห้องนอนและสามห้องน้ำ และมีโรงจอดรถได้สองคัน เธอเปิดประตูบ้านเข้ามาก็มองเห็นพ่อที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่“ทำไมวันนี้กลับเย็นจัง แล้วนี่กินข้าวมาหรือยังแม่อยู่ในครัวนะ ถ้าหิว ก็เข้าไปหาแม่ก่อนได้เลย” “ได้คะพ่อ อยากคุยกับแม่อยู่พอดีเลย” เธอเดินเข้ามาในครัว ได้กลิ่นอาหารที่แม่กำลังทำอยู่ กลิ่นหอมชวนให้เธอหิวข้าว“แม่ ทำอะไรอยู่ หอมน่าทานมากเลย ท้องหนูร้องเสียงดังไปหมดแล้วเนี่ย” “ปากหวานจริงๆ เรา แม่ทำกับข้าวที่ลูกชอบกินรีบมากินเร็ว” ซูเมิ่งมองหน้าแม่ แล้วก็เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ได้พูด“มีอะไรอยากคุยกับแม่หรือเปล่า เห็นมองแม่หลายครั้งแล้ว” “แม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ เรื่องที่มันไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น หรือคงเกิดเรื่องแบบนี้ แค่ในความฝันเท่านั้น” เธอไม่รู้จะเรียกเรื่องพวกนั้นว่าอย่างไรดี“จะบอกว่าเชื่อ แม่ก็ไม่ได้เชื่อเต็มร้อย แต่แม่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อไปหมดทุกอย่าง โลกนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เราไม่มีทางรู้หรอกว่ามีหลายสิ่ง หลายอย่างที่ซ่อนอยู่ในโลกของเราก็ได้ เพียงแต่เรายังไม่เคยเจอ
“ใคร เรียกข้า ใครกันปลุกข้าขึ้นมา มิติมีเจ้าของคนใหม่แล้วหรือ” “เจ้าถามใครละถ้าถามข้า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเพิ่งตื่นมาพร้อมเจ้านี่ละ” “ใครจะถามเจ้ากันเจ้าหมาโง่ ถ้าข้าหมาโง่เจ้าก็โง่เหมือนกันเพราะเราเป็นตัวเดียวกัน” “ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้วเสี่ยวปิง” “ข้าก็ไม่อยากคุยกับเจ้าเหมือนกันเสี่ยวเฟิง” เสียงที่ดังออกมาจากหนึ่งตัว สองหัว เป็นหมาจิ้งจอกสองหัวลำตัวสีขาวลายสีฟ้าที่เหมือนมีกระแสไฟฟ้าออกมาอยู่ตลอดเวลา และมีเก้าหาง“หรือมิติจะมีเจ้าของคนใหม่แล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราต้องไปตรวจดูแล้วว่ามิติ ได้พบเจอเจ้าของคนใหม่หรือไม่” พวกเขาที่ถูกปลุกขึ้นมาจากการหลับใหล ก็ได้เดินตรงไปที่บ้านที่อยู่ภายในมิติแห่งนี้ ซึ่งมีพวกเขาค่อยเฝ้าดูแลอยู่ พวกเขาทั้งสองหัวมีชื่อเรียกว่าเสี่ยวปิงและเสี่ยวเฟิง แต่ส่วนมากผู้คนจะเรียกพวกเขาว่าเทพจิ้งจอก“บรรยากาศภายในมิติยังเหมือนเดิมเลยสินะเสี่ยวปิง” ระหว่างที่เขาเดินออกมา เขาก็ชื่นชมกับบรรยากาศที่ดีที่มีอยู่ในมิติ ซึ่งทุกอย่างเป็นผลงานของพวกเขาเอง และเจ้าของมิติคนเก่าได้ทำเอาไว้“นั้นสิบรรยากาศแบบนี้ที่หาไม่ได้อีกแล้ว ที่ภายนอกมิติ บรรยากาศที่สดชื่น และมีพลังงานเต็ม
ซูเมิ่งเปิดตำรา ข้างในตำราเป็นกระดาษเปล่าทั้งหมด ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่นา แล้วถ้าในตำราเล่มนี้ไม่มีอะไร ทำไมท่านเทพจิ้งจอกถึงทิ้งไว้ให้เธอล่ะ แปลกจริง มันน่าจะต้องทำอะไรได้บ้าง รอท่านจิ้งจอกตื่นจากจำศีลก่อนแล้วกันเธอค่อยเอาไปถาม ซูเมิ่งเลิกสนใจตำราเล่มนั้นและหันไปสนใจบ้านที่อยู่ในมิติแทนเธอเข้าไปดูในบ้าน บ้านหลังนี้ที่อยู่ในมิติ เป็นจุดศูนย์กลางที่ทำให้เราเข้ามา และออกจากมิติได้ ซูเมิ่งเปิดประตูเข้าไปในบ้าน เธอเจอของบางส่วนที่เธอซื้อไว้วางอยู่กลางบ้าน บ้านหลังนี้ถือว่าเป็นบ้านชั้นเดียว ปูบ้านด้วยอิฐแดงทั้งหมด ห้องต่างๆ ดูทันสมัยกว่าที่เห็นด้านนอกมาก ซูเมิ่งลองเดินสำรวจจนทั่วแล้ว มีห้องครัวหนึ่งห้องซึ่งมีอุปกรณ์ทำครัวครบครัน มีห้องน้ำที่ทันสมัยเหมือนที่เธอใช้อยู่เป็นประจำ มีห้องนอนทั้งหมดห้าห้อง บ้านหลังนี้เหมือนเตรียมมาเพื่อครอบครัวของเธอเลยแต่ไม่รู้ว่ามิติสามารถนำคนที่อยู่ภายนอก เข้ามาภายอยู่ในมิตินี้ได้หรือเปล่า หลังจากที่เธอเข้ามาสำรวจภายในมิติเป็นเวลานาน ทำให้เธอเริ่มง่วงนอน เธอคิดว่าควรออกไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ยังมีอะไรที่เธอต้องทำอีกเยอะเธอออกมาด้าน
“อ้าวพี่ตงหยางเองเหรอ ฉันนึกว่าเป็นพ่อและแม่เสียอีก” “แล้วพ่อกับแม่ไปไหนล่ะ พี่ไม่เห็นรถของท่านจอดอยู่เลย” “แม่บอกว่าจะไปซื้อของเตรียมไว้วันสิ้นโลก แล้วพี่กลับบ้านมามีธุระอะไรหรือเปล่า” “ก็แม่เราบอกว่าจะไปดูบ้านที่อยู่ทางเหนือ ให้พี่กลับมาจะได้ไปดูพร้อมกัน พี่ก็ลางานเรียบร้อยแล้ว และก็รีบขับรถกลับมาบ้าน อีกอย่างพี่ก็จะมาดูว่าเรามีมิติอย่างที่แม่ได้พูดให้ฟังไหม” “แน่นอนว่าฉันก็ต้องมีอยู่แล้วสิ แล้วก็มีนี่ด้วยนะ” ซูเมิ่งแบมือและเค้นพลังเวทออกมาโชว์ให้พี่ชายของเธอได้ดู///////หลังจากที่ตงหยางได้เห็นว่าที่มือของซูเมิ่งมีแสงออกมา เขาก็ดูตกใจและคิดว่ามันคืออะไรและทำสิ่งใดได้บ้าง“มันคืออะไร และสิ่งนี้ทำอะไรได้บ้าง” นี่มันเกิดเรื่องอะไรกับน้องเขากันแน่ซูเมิ่งยิ้มและยืดอกนิดหน่อยด้วยความรู้สึกภูมิใจ“สิ่งนี้มันคือพลังเวทยังไงละพี่ตงหยาง” “พลังเวทเหรอ? แค่มีมิติพี่ก็ว่าเหลือเชื่อแล้ว นี่เราถึงกลับมีพลังเวทด้วย แล้วพลังเวทของเรามันทำอะไรได้บ้าง” “พลังเวทของฉันตอนนี้มีสองสี มีสีน้ำตาลและสีเขียวอ่อน ฉันลองใช้ทั้งสองอย่างแล้วนะ สีน้ำตาลใช้พรวนดินในการปลูกผักผลไม้สีนี้น่าจะเรียกว
“แม่เรานี่เก่งจริงๆ เลย” เสียงของซีซวนประจบแม่“เด็กช่างประจบจริงๆ เลย” เธอมองซีซวนโดยทำหน้าตาล้อเลียน“แม่ดูพี่สิแกล้งผมอีกแล้ว” “เลิกทะเลาะกันได้แล้วรีบกินข้าว” ลูกของเธอไม่รู้จักโตกันเสียที“พ่อแม่รู้หรือยังว่าเรามีพลังเวทด้วย” อยู่ดีๆ พี่ชายของเธอก็ได้พูดออกมา“อ้าว! นี่ลูกไม่เห็นจะเล่าให้แม่ฟังเลย” แม่เธอบ่นออกมาด้วยเสียงน้อยใจนิดหน่อย“ก็หนูเห็นช่วงนี้พ่อกับแม่ยุ่งๆ หนูเลยลืม” หลังจากนั้นเธอก็ได้เล่าเรื่องที่เคยเล่าให้พี่ชายฟัง และได้เล่าเรื่องให้พ่อกับแม่และซีซวนฟังซ้ำอีกรอบ“เมื่อคืนหนูลองเข้าไปในมิติแล้วนะคะ ผักและผลไม้โตเร็วมากๆ แต่ตอนนี้หนูยังไม่ได้เข้าไปดูอีกเลย หนูว่าจะเข้าไปดูวันนี้แต่ยังไม่มีเวลาเลยค่ะ“ถ้าอย่างนั้นเธอก็เข้าไปดูสิว่ามันออกลูกหรือยัง” ตงหยางถามน้องสาวออกไป เขาก็อยากรู้เหมือนกัน“ถ้าแบบนั้นหนูขอเข้าไปดูก่อนนะคะ ถ้าผลไม้และผักโตแล้วจะได้เก็บมาทำอาหารกินในวันพรุ่งนี้ เธอหายเข้ามาไปในมิติ ซึ่งทุกคนก็ไม่ได้ตกใจเท่าไหร่ เพราะเริ่มชินกับการที่เธอหายเข้าไปในมิติ และออกมาจากมิติ เป็นปกตินั่นเอง“ซูเมิ่งเดินเข้ามาดูผักและผลไม้ที่เธอได้ปลูกเอาไว้ ซึ้
หลังจากที่ทุกคนทำสิ่งต่างๆ เสร็จแล้ว พ่อของเธอบอกว่าจะมีช่างเข้ามาติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ แม่ก็เลยคิดว่าจะเตรียมอาหารให้ช่างที่จะมาติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในวันนี้กริ้งๆ กริ้งๆ เสียงคนกดออดที่หน้าบ้าน“ใครมา ช่างมาติดตั้งหรือเปล่าไปดูหน่อยซีซวน” “ช่างมาแล้วแม่จะให้เขาติดตั้งตรงไหน” “สวัสดีครับ พวกผมเป็นทีมงานติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ครับ ที่คุณเซียวกังได้ติดต่อไว้” “พ่อๆ มาดูช่างหน่อยว่าจะให้เขาติดตั้งตรงไหน” “เดียวให้ติดตั้งตรงหลังคาทั้งหมดเลยนะครับ ว่าแต่ทางคุณรับงานแค่ที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์อย่างเดียวเหรอ หรือมีรับงานอย่างอื่นด้วย” “ทางบริษัทของเรามีรับทำ เรือนกระจกและทำกำแพงบ้านด้วยครับ” “ผมอยากทำกำแพงบ้านที่มีอยู่ให้แข็งแรงทนทานกว่านี้ พอจะมีแบบให้ดูไหมครับ” “มีครับเป็นแบบอิฐ และที่ทนทานสุดๆ ก็มีแบบอะลูมิเนียมและแบบเหล็กครับ แต่บ้านส่วนมากก็จะทำเป็นแบบอิฐนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเซียวกังสนใจแบบไหนครับ” “ผมอยากได้เป็นแบบเหล็ก พอจะติดตั้งได้เมื่อไหร่” “เดียวผมโทรถามทางบริษัทก่อนนะครับ” หลังจากช่างคุยกับพ่อของเธอเสร็จแล้ว ก็แยกย้ายกันไปติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ส่วนหัวหน้าช่างก็
นี่มันภาษาอะไรกัน แต่เธอทำไมอ่านออกแล้วเข้าใจล่ะ เธอยังไม่หายสงสัย ในหัวของเธอก็เกิดเป็นภาพของท่านเทพจิ้งจอกขึ้นมา“ท่านเทพจิ้งจอกสิ่งนี้คืออะไร ตัวหนังสือพวกนี้ทำไม่ท่านถึงทิ้งไว้ให้ข้า แล้วมันคือตำราเกี่ยวกับอะไรกัน” เธอถามคำถามที่คาใจกับท่านเทพจิ้งจอกออกไป“ใจเย็น ค่อยๆ ถาม ที่ข้ามาอยู่ตรงนี้ก็เพื่อจะบอกเจ้านี่ไง ว่าสิ่งนี้มันคืออะไร และทำอะไรได้บ้าง ถ้าตอนนี้เจ้าเห็นข้าแสดงว่าเจ้าได้ครอบครองตำราเล่มนี้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ตัวหนังสือที่เจ้าได้รับสืบทอดไปเรียกว่า ตำราอักขระ ที่ได้สืบทอดสำหรับผู้สร้างเท่านั้น ถึงจะครอบครองมันได้ ตอนนั้นที่ข้าไม่ได้บอกเจ้าเพราะข้า มีพลังไม่มากพอที่จะได้บอกเจ้า พวกข้าเลยทิ้งจิตส่วนหนึ่งเอาไว้ใน ตำราเล่มนี้” “แล้วสิ่งนี้มันทำอะไรได้บางท่านเทพ” “เจ้าก็ลองอ่านสิ่งที่เจ้าได้ไปสิ แล้วเจ้าจะเข้าใจมันเอง ข้าไปล่ะแล้วเจอกัน อีกไม่นานพวกข้าจะออกมาพบเจ้าอีก” “เดียวท่านเทพจิ้งจอก “ทิ้งข้าไปอีกแล้ว ทำให้ข้าสับสนแล้วท่านก็จากไปทุกทีเลย แต่น่าจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อเราแน่นอนหลังจากที่เธอได้พูดคุยกับท่านเทพจิ้งจอกไปแล้ว เธอก็ได้ตั้งจิต เข้าไปตรวจสอบอักขระ
และการที่เธอเลื่อนระดับในครั้งนี้ ทำให้เธอรู้ความลับ ของผลเวทสีรุ้งนี้ สิ่งนั้นก็คือ ถ้าเธอเพิ่มพลังเวทในร่างกายให้เป็นสามขั้น ของทุกเวท เธอจะสามารถขอพรอะไรก็ได้หนึ่งอย่าง เธอคิดออกแล้วว่าสิ่งที่จะขอนั้นคืออะไร แต่ตอนนี้ สิ่งที่ยากกว่า เธอจะทำอย่างไรให้พลังเวททั้งสี่เวทในร่างของเธอ เลื่อนระดับไปถึงสามระดับได้ทั้งหมดกันเธอนึกออกแล้ว เธอมีตัวช่วยนิ มิตินี่ไง คือตัวช่วยที่ดีที่สุดของเธอ ทรัพยากรต่างๆ ที่ใช้ในการเลื่อนพลัง ก็อยู่ในนี้ทั้งหมดแล้ว หลังจากที่ซูเมิ่งเพิ่งเลื่อนพลังไป เธอก็ไม่หยุดอยู่แค่นี้ เธอต้องทำให้เวทอีกสามเวทเป็นขั้นที่หนึ่งครบทุกเวทเสียก่อน เธอปรับเวลาในมิติ ให้เวลาข้างในเร็วกว่าข้างนอก ข้างในมิติผ่านไปหนึ่งเดือนข้างนอกจะผ่านไปหนึ่งวันหลังจากที่เธอมุ่งมั่นอยู่กับการเลื่อนระดับพลัง เวลาก็ผ่านไปหลายเดือนในมิติ แต่ด้านนอกผ่านไปแค่สิบกว่าวันเท่านั้น เธอก็สามารถเลื่อนพลังทั้งสี่เป็นขั้นที่หนึ่งได้สำเร็จในที่สุดเราก็ทำสำเร็จแล้ว เราเลื่อนระดับหนึ่งทั้งสี่เวทได้สำเร็จแล้ว เธอดีใจเป็นอย่างมาก ตอนนี้ ทั้งพลังเวทดิน น้ำ พฤกษา และเวทไฟ เธอใช้อย่างชำนาญทั้งหมดแล้ว เธอทั้งฝึกพ
“เสียวเหมา เราออกไปสำรวจด้านนอกกันเถอะ ฉันอยากหาพื้นที่ ที่จะใช้สร้างเมือง ตอนที่นายไปสำรวจ เจอพื้นที่ตรงไหนที่มีสารพิษไม่เยอะบ้างไหม” “ได้ครับเจ้านาย เสียวเหมาอยากให้ลองไปดูเมืองตงไห ทางเหนือครับ ตอนที่ได้คำสั่งให้ไปตรวจ เสียวเหมาเห็นว่าแถวนั้นน่าจะยังพอใช้ได้ เพราะหินอุกกาบาตแถวนั้นเป็นหินก้อนเล็กๆ ครับ เลยไม่มีสารพิษที่รุนแรงมากนัก” “ถ้าอย่างนั้น เราก็ไปกันเลย” เธอใช้เวทอักขระเคลื่อนย้ายไปตามพื้นที่ ที่เสียวเหมาได้ไปเจอมา พอเธอได้มาเห็นด้วยตา มีพื้นที่แบบนี้อยู่ทางเหนือด้วยเหรอ เธอไม่เคยเห็นที่แห่งนี้เลยสักครั้ง เป็นพื้นที่กว้างมาก มีแม่น้ำอยู่ตรงกลาง รอบๆ แม่น้ำเป็นเนินราบสูงแต่เป็นพื้นที่ราบ และรอบข้างของพื้นที่ราบ ล้อมรอบไปด้วยหุบเขาที่ไม่สูงเท่าไหร่ ถ้าตอนที่ยังมีหญ้าหรือดอกไม้ขึ้นอยู่พื้นที่นี้ คงจะสวยมากเลยจริงๆ ที่ตรงนี้เป็นที่เดียวที่ไม่มีบ้านคนและไม่มีหินอุกกาบาตตกลงมาใส่ แต่อากาศและน้ำก็ยังใช้ไม่ได้ เพราะมีสารพิษ แต่ไม่เยอะเท่าพื้นที่เมืองด้านนอก เธอจะเอาที่นี่ เป็นที่ตั้งเมืองแห่งใหม่ของเธอเธอเข้ามาในมิติ และเรียกทุกคนออกมาด้านนอก เพื่อให้ทุกคนใช้พลังเวทในการชำระสา
”นายคิดถูกแล้ว ผมจะให้พวกคุณ วิจัยเกี่ยวกับสภาพอากาศและหินอุกกาบาตที่ตกลงมา เราจะได้คิดค้นยาและวิธีที่พวกเราจะสามารถอยู่บนพื้นดินได้ ก่อนที่ทุกคนจะทำงานผมอยากให้ทุกคน มาสแกนหน้าเพื่อเข้าพักที่คอนโดแห่งนี้เสียก่อน คุณเฟยหรง คุณสแกนหน้าก่อนเลย” ท่านผู้นำไปยืนตรงหน้าเครื่องสแกน เพื่อกดอนุญาตให้คนอื่นเข้าพักที่คอนโดแห่งนี้ ร้านค้าวิเศษหลังจากที่ขายคอนโดให้พวกเขาแล้ว ก็ให้ตัวเขาที่เป็นผู้นำเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์ เขาจะให้ใครเข้าพักก็ได้ หรือจะให้ใครออกจากห้องพักก็ได้อีกเหมือนกัน“ได้ครับท่าน” เฟยหรงที่โดนเรียกชื่อ เขาได้เดินไปทางหน้าประตูคอนโด กดปุ่มสแกนหน้าขึ้นมา เครื่องสแกนหน้าก็เริ่มทำงานทันที หลังจากที่เขาสแกนหน้าเสร็จแล้ว จะมีหน้าจอขึ้นมาให้เขากดเลือกห้องพัก เขากดเลือกห้องที่อยู่สูงที่สุด เพราะเขาจะได้ระวังภัยได้ง่ายขึ้น เขากดชื่อลงไป และระบบของคอนโดก็มีเสียงแจ้งเตือนซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง“ผู้เข้าพักห้อง ห้าหนึ่งห้าชื่อเฟยหรงทำรายการสำเร็จแล้ว” หลังจากที่เขาสแกนหน้าสำเร็จแล้ว เขาก็หลีกทางให้คนอื่นๆ สแกนหน้าต่อ คอนโดนี้มีทั้งหมดสิบห้อง ชั้นละสามห้องเท่านั้น มีทั้งหมด หกชั้น ชั้นที่อยู่บนสุ
“แม่ค่ะ ทำไมเราต้องมาอยู่ในที่ ที่มันแคบเท่ารูหนูนี่ด้วย หนูอยากกลับบ้าน เมื่อไหร่ด้านนอกจะสงบสักที” เสียงที่ดังโวยวายขึ้นมา เป็นเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่มองดูภายนอกแล้ว เป็นคนที่หน้าตาดี น่าจะเป็นครอบครัวของคนที่ร่ำรวยอย่างมาก“เฟยหยา อย่าเสียงดัง อยู่เงียบๆ กันหน่อย คิดว่าไม่มีใครอยากที่จะออกไปหรือไง ไม่ได้ยินที่เขาแจ้งเตือนเหรอ หรือลูกอยากออกไปเป็นศพอย่างภาพนั้น ที่เราได้ดูกัน” “แต่พวกมันอาจโกหกก็ได้นี่ค่ะ มันคงไม่อยากให้เราออกไปกันน่ะสิ มันถึงเอาข่าวปลอมๆ มาหลอกพวกเราก็ได้” เสียงเฟยถิง ผู้เป็นน้องสาวของเฟยหยา พูดเถียงออกมา เธอไม่เชื่อหรอกว่าข่าวนั้นจะเป็นเรื่องจริง“นั่นสิคุณ ฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกัน เราลองออกไปดูกันไหม” “ถ้าคุณอยากออกไปตาย ก็ออกไปคนเดียวไม่ต้องพาลูกๆ ออกไปด้วย แต่ถ้าออกไปแล้วร่างกายติดสารพิษเข้ามา ถึงพวกเรามีเงินมากมายแค่ไหน ก็ไม่สามารถช่วยคุณกับลูกได้หรอกนะ ตอนนี้ท่านผู้นำยังไม่มีข่าวประกาศออกมาเลย อย่าใจร้อนกันนักเลย” เขาเบื่อที่พวกลูกของเขาและภรรยา ช่างเอาแต่ใจกันขนาดนี้ ต้องโทษเขาที่ตามใจมากเกินไปเฟยฮวา และลูกๆ ทั้งสอง ได้ฟังพ่อของเธอดุเป็นครั้งแรก ก็รู
ผ่านไปแล้วอีกหนึ่งวัน หลังจากที่เกิดเหตุอุกกาบาตตกทั่วเมือง ไม่มีที่ไหน ที่อุกกาบาตจะไม่ตกเลย เธอให้หน้าจอแต่ละหมายเลข ถ่ายวิดีโอจากภาพด้านนอกมิติ ให้ทั่วทุกที่ เธอคิดว่าหน้าจอแค่ห้าอัน คงไม่พอ เธอเลยซื้อเพิ่มไปอีกห้าตัว และก็ตั้งชื่อเรียงกันเหมือนเดิม ไฟที่เกิดจากอุกกาบาตตกลงมานั้น ได้ดับลงแล้วในบางพื้นที่ แต่บนเขาที่อุกกาบาตตกลงมา เสียหายเป็นจำนวนมาก ไฟที่ลามเข้ามาเผาไหม้ในบ้านเมือง บางเมืองแทบมองไม่ออกว่าเมื่อก่อนเคยเป็นแบบไหนมาก่อนเธอเข้าไปในระบบ เปิดร้านค้าขั้นที่สอง กดซื้อของเป็นหน้ากากกันสารพิษและมีออกซิเจนในตัวมาหนึ่งเครื่อง เธอจะลองขึ้นไปด้านนอกดู เธอใส่หน้ากากกันสารพิษ เตรียมพร้อมจะออกไปดูด้านนอกมิติ“เสียวเหมา เดี๋ยวนายออกไปด้านนอกกับฉันหน่อยนะ” “ได้ครับเจ้านาย” เธอและเสียวเหมา ออกมาจากหินมิติ สิ่งแรกที่เห็นก็ไม่ต่างจากที่เธอได้ดูถ่ายทอดสดเท่าไหร่“เสียวเหมา นายลองสแกนอากาศที่อยู่รอบๆ ตัวฉันได้หรือเปล่า ลองสแกนพื้นดินและตรงนั้น ตรงที่อุกกาบาตตกลงมาด้วย” “เสียวเหมาทำได้” เสียวเหมาเริ่มสแกนทุกสิ่งรอบตัว และดินบริเวณที่หินอุกกาบาตได้ตกลงมาด้วย“เป็นยังไงบ้าง นายเจออะไ
“คุณ ช่วยกันคิดสิ เราจะทำยังไงกันดี ฉันยังไม่อยากตาย ฮื่อ!ๆ ” เสียงร้องของครอบครัวเซียวเอิน ดังไปทั่วบริเวณที่เขาอยู่ ไม่มีใครที่ได้ยินเสียงพวกเขาอีก นอกจากตัวของพวกเขาเอง เซียวเอินมองดูไปรอบๆ ตัว ไฟเริ่มลามเข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้นไปทุกที นี่พวกเขาทำอะไรผิด สวรรค์ถึงได้ลงโทษพวกเขาแบบนี้ ต้องเป็นเพราะเจ้าเซียวกังแน่ๆ ที่มันเอาหินปลอมมาหลอกพวกเขา“เราวิ่งฝ่าไฟกันออกไปเถอะ อยู่แบบนี้ ก็มีแต่จะตายกันเปล่าๆ ” ทั้งสามคนจับมือกันเพื่อจะวิ่งฝ่าวงล้อมของไฟออกไป ตอนที่พวกเขากำลังจะก้าวผ่านไปนั้น ก็มีหินอุกกาบาตตกลงมาใส่บ้าน ที่พวกเขาอยู่ แหลกลงไปพร้อมกับร่างพวกเขาทั้งครอบครัวจบกันสักที ลุงจะมาโทษฉันไม่ได้ ถ้าลุงไม่ทำร้ายครอบครัวฉันก่อน ถ้าลุงไม่คิดร้ายกับพวกฉัน จุดจบมันคงจะไม่เป็นแบบนี้หรอก ซูเมิ่งที่มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เธออโหสิให้ก็แล้วกัน เพราะลุง ก็ได้ชดใช้ให้กับครอบครัวของเธอแล้ว เธอนั่งดูหน้าจอออนไลน์ ที่จอห้าได้ไปถ่ายทอดสดมาให้เธอได้ดู เรื่องนี้เธอไม่ได้บอกใครสักคน ให้ทุกอย่างมันจบแค่เธอก็พอ“จอห้า ไม่ต้องถ่ายตรงนี้แล้ว นายไปถ่ายจุดต่อไปบนแผนที่เลย” เธอส่งกระแสจิตไปบอกเธอเดินออกไ
“ใครยังมีหินมิติเหลืออีกบ้าง ใครมีหลายก้อน ผมขอแลกกับอาหารได้ไหมครับ ครอบครัวผมมีกันห้าคน พวกผมหาไม่ทันจริงๆ” “เขาประกาศข่าวก่อนตั้งเกือบเดือน ทำไมพวกแกไม่เตรียมความพร้อมกันให้ดี มาขอตอนนี้ใครจะให้พวกแกกัน” “ฉันก็อยากช่วยนะ แต่ครอบครัวฉันก็มีแค่อันเดียว ฉันไม่มีให้หรอก” ขณะที่ครอบครัว ของชายหนุ่มกำลังสิ้นหวัง ก็มีชายคนหนึ่งส่งหินมิติให้เขาไปหนึ่งก้อน “เอาไปสิ ลูกพี่ของเราให้เอามาให้” ครอบครัวของชายคนนั้นมองไปตาม ปลายนิ้วมือที่ชี้ให้เขาดู ก็มองเห็นชายคนหนึ่ง หน้าตาหล่อเหล่า คมเข้ม น่าจะสูงสักหนึ่งร้อยเก้าสิบได้ มองมาทางพวกเขา ครอบครัวของพวกเขาก็ก้มหัวขอบคุณ ผู้มีพระคุณ พวกเขาจะไม่มีวันลืมเลยหลายๆ คนเห็นชายคนนั้น เอาหินมิติให้ครอบครัวหนึ่ง ก็เกิดความโลภที่อยากจะได้บ้าง มีบางคนที่ใจกล้า เดินเข้าไปขอก็ถูกไล่ออกมา“พี่เฟยหรง พวกชาวบ้านพวกนี้ มีแต่พวกโลภมากทั้งนั้น ไม่น่าช่วยเหลือเลยสักคน พวกเราเข้าไปในมิติกันดีกว่า” เฟยหรงมองดูพวกชาวบ้าน ที่ยังไม่เกิดอุกกาบาตชนโลก ก็เริ่มเห็นแก่ตัวกันหมดแล้ว เขาได้เข้ามาในมิติกับเพื่อนที่อยู่ในหน่วยลับเดียวกัน ด้านในนี้มีหน้าจอถ่ายทอดสดให้ดู ไม่
ผู้มีพลังที่ยังหลงเหลือ : ตกลงมีหินพลังเวท ที่ผมต้องการหรือเปล่าครับร้านค้าวิเศษ : คนที่ต้องการใช้หินพลังเวท มีพลังธาตุอะไรผู้มีพลังที่ยังหลงเหลือ : เป็นผู้ฝึกพลังธาตุน้ำครับร้านค้าพิเศษ : ทางเรามีหินธาตุน้ำอยู่หนึ่งก้อน ท่านต้องการหรือไม่ผู้มีพลังที่ยังหลงเหลือ : ผมต้องการครับ ขอบคุณมากครับเจ้าของร้านร้านค้าพิเศษ : สำหรับหินพลังเวท ทางเราขายก้อนละยี่สิบล้านหยวน ถ้าท่านต้องการ กรุณาชำระเงินและกรอกที่อยู่ได้เลยผู้มีพลังที่ยังหลงเหลือ : ได้ครับ ทางร้านค้าพิเศษ ยังมีหินพลังเวทเหลืออยู่อีกไหมครับร้านค้าพิเศษ : มีหรือไม่มี ขึ้นอยู่แต่อารมณ์ของผู้ขายผู้มีพลังที่ยังหลงเหลือ : ครับ ชำระเงินแล้วนะครับ'เจ้าของร้านวิเศษเป็นคนที่กวนเหมือนกัน เราต้องทำดีกับเจ้าของร้านค้านี้เข้าไว้’เธอเลือกความเสี่ยง ที่ขายของออกไป นี่ร้านของเธอ ร้านค้าวิเศษ ของที่ขายก็ต้องเป็นของวิเศษไม่ใช่เหรอ ที่เธอตั้งชื่อร้านนี้ขึ้นมา ก็เพื่อบอกให้คนอื่นรู้ว่า ของในร้านเธอมันไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไปอยู่แล้วเวลาผ่านไปเรื่อยๆ วันพรุ่งนี้ก็เป็นวันที่ อุกกาบาตชนโลก เธอเตรียมความพร้อมสำหรับครอบครัวเธอหมดแล้ว เธอม
ตอนเช้าวันต่อมา “พี่เซียวเอิน พวกผมจะออกไปหาซื้อของกินแล้วไปธุระหน่อยนะพี่ ฝากทั้งสองคนดูแลบ้านด้วยนะครับ พี่สะใภ้ไม่ต้องทำกับข้าวหรอก พี่ยิ่งแพ้ท้องอยู่ด้วย” “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่จะดูแลบ้านให้แกเอง ไปทำธุระให้สบายใจเถอะ” “นั่นสิ น้องเซียวกังไม่ต้องเป็นห่วงพี่สะใภ้ ตอนนี้ ไม่ค่อยแพ้ท้องเท่าไหร่แล้ว อย่าลืมซื้อของกินมาเยอะๆ และฝากซื้อ บ๊วยดองมาด้วย” ฝากบ้านเสร็จแล้วครอบครัวเซียวกังก็ขึ้นรถ แล้วก็ขับรถออกไป “น้องจะให้พี่ขับรถไปจอดไว้ตรงไหน” พี่ตงหยางถามเธอ“เอาไว้ใกล้ๆ นี่ล่ะ แล้วเราเข้าไปในมิติกันเถอะ จะได้ดูว่าพวกนั้นทำอะไรกันบ้าง” เมื่อวานหลังจากที่ตกลงกันทำตามแผน เธอก็ได้ให้เสียวเหมา เอาจอที่ถ่ายทอดสด เอามาติดตั้งในห้องพ่อเธอ และตามห้องต่างๆ ในบ้านและเธอร่ายเวท อักขระปิดบังเอาไว้ ดีที่เธอไปค้นในระบบพบว่ามีจอแบบนี้ขายอยู่พอดี เธอเลยซื้อมาเพิ่มอีกห้าจอ ในราคาตัวละแค่หนึ่งหมื่นทอง เธอไม่ค่อยได้ใช้เงินกับระบบเท่าไหร่“เป็นยังไงซีซวน มีการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง” เธอให้น้องคอยดูกล้องอยู่ตลอด“ยังปกติดีพี่ ผมว่าอีกไม่นานหรอก” ทางด้านของครอบครัวลุง “คุณพวกมันไปกันแล้ว ตอนนี้ทางสะ
‘ทำไมข้อความนี้ ส่งมาหาเธอเยอะจัง หรือจะมีเรื่องด่วนอะไร’ เธอกดตอบรับ ร้านค้าวิเศษ: สวัสดีค่ะ ร้านค้าวิเศษยินดีให้บริการค่ะสายลับ: คุณเป็นเจ้าของร้านใช่ไหมร้านค้าวิเศษ: ใช้แล้ว คุณต้องการสิ่งใดสายลับ: ผมติดต่อมาจากหน่วยลับพิเศษ ทางเราต้องการหินมิติจากคุณในจำนวนมากร้านค้าวิเศษ: คุณต้องการหินมิติเท่าไหร่สายลับ: ผมต้องการห้าแสนก้อน เพื่อใช้ในหน่วยลับและกองทหารทั่วประเทศร้านค้าวิเศษ: ทางเรามีของให้คุณ กรุณากดสั่งซื้อได้เลย ภายในครึ่งชั่วโมง ของจะส่งถึงที่อยู่ของคุณที่จริงเธอมีของอยู่ห้าล้านก้อนเลยล่ะ แต่เธอจะเก็บไว้ขายให้ประชาชนที่พอซื้อได้ก่อน เดี๋ยวอีกวันเธอค่อยส่งให้ทางรัฐบาลแล้วกัน พวกเธอจัดการของทุกอย่างเรียบร้อย ภายในเวลาหนึ่งเดือนในมิติ และหนึ่งวันด้านนอก ไม่รู้ด้านนอกจะเป็นยังไงบ้าง ลุงของเธอคงจะโวยวายน่าดูไอเจ้าเซียวกังมันหายไปไหนของมัน ข้าวปลาก็ไม่ทำไว้ให้กิน บ้านก็เงียบ อยู่ดีๆ พวกมันหายไปไหนกันหมด เขาบ่นไม่ทันไร ก็เห็นซูเมิ่งเดินเข้ามาพอดี “ไปไหนกันมา” เสียงแรกที่เธอได้ยิน ก็คือเสียงลุงของเธอเอง “ไปหาเพื่อนมาค่า” “ฉันไม่เชื่อหรอก พวกแกเล่นหายกันไปหมดบ้าน