แม้ว่านางจะสามารถคาดเดาอาการของเขาออก แต่ซูชิงอู่ก็ยังคงรู้สึกหวาดกลัวกับอาการของซูฉางเซิงประกายในดวงตาของนางลึกซึ้งยิ่งขึ้น ก่อนที่นางจะทันได้เอ่ยปาก ซูฉางเซิงก็จับมือของนางไว้เบา ๆ “น้องอู่”เสียงของเขาหนักแน่นมากขณะพูด หน้าอกของเขาก็กระเพื่อมเล็กน้อย เขาสูญเสียความสุขุมที่เขามีในตอนนี้ไปโดยสิ้นเชิงเดิมที เขาคอยสนับสนุนซูชิงอู่นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าบ่าวกลับมาบ้าน หากไม่มีใครในครอบครัวที่สนับสนุนซูชิงอู่นางก็จะถูกตระกูลสามีรังแกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในอนาคตยิ่งกว่านั้นตระกูลของสามีคนนี้ยังมีสถานะไม่ธรรมดา เขายังเป็นถึงองค์ชายอีกด้วย!ซูฉางเซิงกระแอมไอสองครั้ง ใบหน้าของเขาซีดราวกับกระดาษช่วงนี้สุขภาพของเขาแย่ลง เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นานหมอหลายคนบอกว่าเขาจะมีอายุไม่ถึงยี่สิบปี“ไม่ต้องห่วง นี่เป็นปัญหาเดิมของข้า แค่อาเจียนออกมาเป็นเลือดเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า เพื่อที่ซูชิงอู่จะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเขาซูฉางเซิงเป็นคนฉลาดมากเพียงแต่ว่าคนที่ฉลาดเกินวัยมักจะมาพร้อมเรื่องที่ไม่แน่นอนอยู่เสมอเขาได
“พูดอีกอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องที่ดีที่พิษนี้ติดตัวข้ามาแต่เกิด”ซูชิงอู่ขมวดคิ้ว "พี่ห้าพูดเช่นนั้นได้ยังไง?"ซู่ฉางเซิงยิ้มและพูดว่า "เมื่อเทียบกับการตายของท่านแม่ ข้ายอมทรมานตัวเองดีกว่า เพราะข้าไม่อยากเห็นท่านแม่ต้องทนทุกข์ทรมาน"ซูชิงอู่เงียบไปนางขยับนิ้วเล็กน้อยนางไม่อยากให้พี่ชายของนางต้องทนทุกข์ทรมานซูชิงอู่คิดสงสัยว่าผู้ที่วางยาพิษแม่ของนางนั้นน่าจะอยู่ในจวนอัครเสนาบดี แต่เวลาผ่านไปนานแล้ว จึงเป็นการยากมากที่จะสืบหาเบาะแสใด ๆ หากไม่ใช่เพราะในเวลานั้น หลิงซื่อยังไม่ได้พาซูเชียนหลิงเข้าจวน นางคงจะสงสัยไปว่าเป็นฝีมือของอีกฝ่ายด้วยซ้ำแต่ไม่ว่าจะเป็นใคร นางก็จะต้องค้นหาผู้บงการเบื้องหลังเรื่องนี้ แล้วฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็นดวงตาของซูชิงอู่เต็มไปด้วยความโกรธนางหลับตาและระงับอารมณ์รุนแรงที่พลุ่งพล่านซูชิงอู่หายใจเข้าลึก ๆ ดวงตาสีเข้ม "พี่ห้า นั่งลงก่อนเถอะ ข้าจะช่วยท่านกำจัดพิษก่อน"ซูฉางเซิงไม่รู้ว่าซูชิงอู่กำลังจะทำอะไรแต่เนื่องจากเขาไว้วางใจนางอย่างเต็มที่ เขาจึงโอนอ่อนโดยปราศจากการต่อต้านใด ๆ เมื่อซูชิงอู่พูด นางไม่ได้หลีกเลี่ยงเย่เสวียนถิงเลยนางเลิกคิ้วและยิ้
องครักษ์ก้าวไปข้างหน้าทันทีและหยุดผู้คนที่อยู่ข้างนอกทั้งหมดการแสดงออกของนางหลิงน่าเกลียดมากเมื่อนางได้ยินรายงานของพ่อบ้านอวี๋ นางก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางจึงรีบไปที่ห้องบัญชีทันทีนางยังพาฮูหยินผู้เฒ่าซูมาเผื่อไว้ด้วยในขณะนี้ อัครเสนาบดีโกรธจัด นางไม่กล้าที่ยุ่มย่ามกับเขา คนเดียวในครอบครัวที่สามารถช่วยเหลือนางได้คือฮูหยินผู้เฒ่านางนี้ซูชิงอู่เคารพฮูยินผู้เฒ่าซูมาก นางไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะกล้าขัดต่อความต้องการของหญิงชราได้ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าซูอายุก็เกินหกสิบเข้าไปแล้วนางมีผมหงอก ใบหน้ามีริ้วรอยอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าจริงจัง ไร้รอยยิ้ม เป็นหญิงชราที่ค่อนข้างหัวโบราณดวงตาที่ขุ่นมัวของนางบ่งบอกถึงพลัง นางถือไม้เท้าในมือข้างหนึ่ง และแม่เฒ่าอูช่วยพยุงมืออีกข้างของนาง นางยืนอยู่นอกประตูเรือน“ข้าอยู่ที่จวนของตัวเอง และกำลังจะโดนคนอื่นขัดขวางเช่นนั้นหรือ?”เมื่อได้ยินนางพูด เย่เสวียนถิงก็ก้าวเข้ามาเสียงของเขาเย็นชา "ฮูหยินผู้เฒ่าซู"ฮูหยินผู้เฒ่าซูมองไปที่เย่เสวียนถิงและท่าทีของนางก็อ่อนลงเล็กน้อย "หม่อมฉันก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็ท่านอ๋องนี่เอง ไม่แปลกใจเลยที่คนรับใช้เหล่านี
สาวรับใช้ที่อยู่ด้านข้างรีบวิ่งไปพยุงหญิงชราทันทีและอุทานว่า "ท่านเป็นอะไรไปฮูหยินผู้เฒ่า?!"ทันใดนั้นดวงตาของนางหลิงก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ "ฮูหยินผู้เฒ่าซู โปรดอย่าให้อะไรเกิดขึ้นกับท่านเลย วันนี้เป็นวันที่พระชายากลับจวนนับเป็นเรื่องน่ายินดี หากเกิดอะไรขึ้นกับท่าน คนนอกจะพูดถึงพระชายาอย่างไร…? พวกเขาจะชี้ไปที่ใบหน้าของนางเรียกนางว่า ‘ดาวหายนะ’ อย่างแน่นอน... "การแสดงออกของนางล้วนแล้วแต่เป็นการสาปแช่งนอกจากนี้ยังเป็นการเตือนผู้คนในจวนด้วยว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหญิงชรา ต้นเหตุก็เป็นเพราะซูชิงอู่อย่างแน่นอนเย่เสวียนถิงไม่ได้โง่ เขาจะไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่นางหลิงพูดได้อย่างไร?ตอนนี้ซูชิงอู่ตัดสินใจตัดขาดกับอัครเสนาบดีแล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจอีกต่อไป“เจ้า นำป้ายชื่อของข้าไปที่พระราชวังเพื่อเชิญหมอหลวงซุนมาที่นี่”“ตามรับสั่งขอรับ!”องครักษ์รีบเร่งไปเชิญหมอหลวงทันทีแต่หญิงชรากลับยืนตัวตรงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า "ไม่ต้อง ข้าไม่เป็นไร เช่นนั้นข้าจะไม่รบกวนท่านอ๋อง"เย่เสวียนถิงพยักหน้า "เช่นนั้นก็ดี"จากนั้นเขาก็ยืนอยู่ที่ประตูและไม่พูดอะไรต่อให้ฮ่องเต้จ
ซูชิงอู่สบตากับเขาเย่เสวียนถิงหลบสายตาของนางโดยไม่รู้ตัวแต่ครู่ต่อมาซูชิงอู่ก็เพิกเฉยต่อหญิงชราโดยสิ้นเชิง แต่นางกลับเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าอ่อนโยนและนั่งยอง ๆ ต่อหน้าทุกคนโดยไม่สนใจนางใช้มือนวดขาของเขาเบา ๆ “ข้าบอกให้พักผ่อนไม่ใช่หรือไง รู้ไหมว่าขาท่านยืนนาน ๆ ไม่ได้”ริมฝีปากบางของเย่เสวียนถิงอ้าค้างด้วยความประหลาดใจดูเหมือนคอของเขาจะถูกอะไรบางอย่างปิดกั้น ทำให้เขาก็ไม่อาจส่งเสียงใด ๆ ออกมาได้น้ำเสียงของซูชิงอู่เร่งเร้าและดูเป็นทุกข์เป็นร้อน นิ้วของนางแตะจุดฝังเข็มบนตัวของเขา ทำให้เย่เสวียนถิงรู้สึกผ่อนคลาย และรู้สึกชาที่ขาของเขาด้วยความเจ็บปวดเริ่มแรกก็หายไปมากในทันทีความเจ็บปวดพุ่งเข้าหาหัวใจของเขาโดยตรง ทำให้เขามองดูเข็มของซูชิงอู่ที่อยู่ใกล้มือ เขาอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบผมบนศีรษะของนางซูชิงอู่รู้สึกถึงความอบอุ่นจากเขา และอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ จากนั้นจึงก้มศีรษะลง หูของนางแดงเล็กน้อย "อวิ๋นจื่อ รีบหาเก้าอี้มาให้ท่านอ๋องเร็วเข้า!""มาแล้วเจ้าค่ะ!"อวิ๋นจื่อรีบขยับเก้าอี้ไปอย่างรวดเร็ว ด้วยสายตาและมือที่ว่องไวซูชิงอู่ผลักเขาไปยังที่ที่เย
หลิงซื่อประคองฮูหยินผู้เฒ่าพลางค่อย ๆ ปลอบ "นังเด็กชิงอู่คนนี้คงจะถูกผู้มีเจตนาร้ายเสี้ยมสอนมาเป็นแน่ถึงไม่รู้จักมีความเคารพและอกตัญญูถึงเพียงนั้น แค่ตักเตือนสักสองสามคำก็ใช้ได้แล้ว" คำปลอบโยนรังแต่จะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซูยิ่งมีโทสะมากขึ้นเรื่อย ๆ "ซูชิงอู่ บอกข้ามา ไฉนเจ้าต้องลงไม้ลงมือกับแม่นมของตนเองด้วย? เมื่อสักครู่มีคนเห็นเข้าพอดี เจ้าใช่เพียงทุบตีนางโดยไร้ซึ่งเหตุผลเท่านั้น แต่เจ้ายังขังนางเอาไว้ในห้องเก็บฟืน ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ เจ้าถึงขั้นตัดนิ้วมือของนางอีกด้วย!” ซูชิงอู่เลิกคิ้วพลางกล่าวว่า "เมื่อผู้ใดสักคนกระทำความผิด ก็สมควรถูกลงโทษแล้ว ในฐานะที่เป็นพระชายา การที่ข้าลงโทษบ่าวรับใช้มิใช่เรื่องปกติหรอกหรือเจ้าคะ?" ฮูหยินผู้เฒ่าซูโมโหจนพูดไม่ออก "แต่เท่าที่ข้าทราบมา เห็นได้ชัดว่าแม่นมหลินโดนใส่ความอยู่ นางหยิบยาตามที่เจ้าสั่ง เพื่อเห็นแก่ชื่อเสียงของตนเองแล้ว เจ้าโยนความผิดทั้งหมดให้นางได้อย่างไรกัน?" ซูชิงอู่ไม่คิดจะพูดเรื่องนี้กับผู้อื่น น้ำเสียงของนางจึงค่อย ๆ ทวีความเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ "ฮูหยินผู้เฒ่าเลอะเลือนถึงเพียงนั้นตั้งแต่เมื่อใดกัน ? ท่านเชื่อคำพูดของบ
หลิงซื่อมุมปากกระตุกริก ๆ "เจ้ากำลังแว้งกัดข้า!" ซูชิงอู่ตอบว่า "ข้ามิกัดกับสุนัขหรอก" วาจาของนางที่บ่งบอกชัดแจ้งว่าหลิงซื่อเป็นสุนัข ทำให้หลิงซื่อรู้สึกเดือดดาลนัก คนกลุ่มหนึ่งพาฮูหยินผู้เฒ่ามาส่งห้องว่างติดกับห้องของนาง จากนั้นก็รีบเชิญท่านหมอเข้าไป ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่มากับเขาด้วยก็คืออัครเสนาบดีซู หลิงซื่อยืนร้องไห้อยู่ตรงประตูพลางเช็ดน้ำตา นางคร่ำครวญเสียงแผ่วเบากับอัครเสนาบดีซูด้วยความขมขื่นใจ เพื่อบอกว่าซูชิงอู่กระทำเกินกว่าเหตุจนทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหจนหมดสติไป นางยังเอ่ยถึงเรื่องที่อีกฝ่ายไม่เคารพผู้อาวุโส จนแทบจะกลับดำเป็นขาว! เย่เสวียนถิงเม้มปากเล็กน้อย สายตาที่ทอดมองลงบนแผ่นหลังของซูชิงอู่บ่งบอกอารมณ์ที่ออกจะลึกซึ้งอยู่บ้าง ทันใดนั้นเขาก็พลันรู้สึกว่ามิอาจเข้าใจสิ่งที่นางกพลังครุ่นคิดอยู่ในยามนี้ ซูซิงอู่ราวกับมีดวงตาติดอยู่บนแผ่นหลัง จู่ ๆ นางก็หันหลังกลับมาทันที แววเยียบเย็นในดวงตาของนางสลายไปจนสิ้น แทนที่ด้วยสายตาอ่อนโยนราวกับสายน้ำ "เสวียนถิง ใบหน้าของข้ามีอันใดติดอยู่กระนั้นหรือ? ไฉนท่านจึงเอาแต่จ้องหน้าข้าอยู่เล่า?" เย่เสวียนถิงอดมิได้ที่จะรู้สึกเ
ด้วยเหตุนี้เอง ต่อให้สุดท้ายอีกฝ่ายตายไป เขาก็หาได้เสียใจนัก "ซูฉางเซิง ถึงแม้ว่าข้าจะมิได้ใส่ใจเจ้านัก แต่ข้าก็เชิญอาจารย์มาอบรมสั่งสอนเจ้าอยู่ไม่น้อย ไยเจ้าถึงมุทะลุตามนางเช่นนี้เล่า?" ซูฉางเซิงต่างจากซูชิงอู่ อย่างไรเสีย ซูชิงอู่ก็เป็นบุตรีที่ออกเรือนแล้ว ยามนี้นางจึงถือเป็นคนนอกของจวนอัครเสนาบดี ทว่าเขาเป็นบุตรภรรยาเอกของอัครเสนาบดี ทำให้วาจาพอจะมีน้ำหนักอยู่บ้างในจวน นอกเหนือไปจากนั้น เขาก็มิใช่กบในบ่อ[1] ต่อให้เขามิเคยเดินทางไปที่ใดนัก แต่กลับเรียกได้ว่าแตกฉานในเรื่องตำรับตำรายิ่งนัก "น้องสาวของข้าเคยเป็นคนใจอ่อน แต่ท่านกลับปฏิบัติกับนางราวกับลูกพลับนิ่มและเอาเปรียบเสียจนนางรู้สึกเหลืออด ท่านกินของนาง หาเศษหาเลยจากนางและหลอกใช้นาง เอาแต่คิดว่าทุกอย่างล้วนเป็นของตนเอง เมื่อก่อนตัวนางอาจจะยินยอมพร้อมใจ ดังนั้นข้าจึงเอ่ยสิ่งใดมิได้ ทว่ายามนี้นางมิได้ยินยอมพร้อมใจ การที่นางทวงเอาของ ๆ ตนเองกลับคืนก็ผิดด้วยหรือ?” ทั้ง ๆ ที่น้ำเสียงของซูฉางเซิงเชื่องช้าและแผ่วเบา ทว่าสิ่งที่เขาเอ่ยกลับชัดเจนยิ่ง มิหนำซ้ำวาจาทุกคำก็ฟังดูสมเหตุสมผล หลังจากเขาพูดจบ อัครเสนาบดีซูก็พลันหน้าต
เย่เสวียนถิงออกบ้านมานานถึงเพียงนี้ ทำได้แค่คอยไปแอบมองเด็ก ๆ ลับหลังเท่านั้น และไม่เคยแม้แต่จะเข้าไปอยู่ใกล้เด็ก ๆ เลยคราวนี้เขาถอดหน้ากากออกเพื่อเปิดเผยตัวตน ซึ่งทำให้หลายคนในห้องตกใจอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงก้าวไปมองเย่เสวียนถิงด้วยสีหน้าตกใจซูชิงอู่เห็นเขายืนอยู่ข้างเตียงด้วยความระมัดระวัง และเห็นสายตาท่าทางของเขาที่กำลังจับจ้องไปเด็ก ๆ นางจึงยื่นตัวเจ้าหนูคนเล็กส่งให้อีกฝ่าย“มาสิ อุ้มลูกสาวท่านหน่อย”เด็กหญิงตัวเล็กผู้มีพี่ชายสองคนที่เกิดในเดือนเดียวกันหลังจากการเปลี่ยนแปลงภายในไม่กี่เดือน จากรูปร่างที่เล็กและบอบบางในตอนแรก นางก็กลายเป็นตุ๊กตากระเบื้องที่แกะสลักด้วยหยกสีชมพูลักษณะหน้าตาของนางเหมือนซูชิงอู่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัดดวงตาที่คล้ายองุ่นสีดำคู่นั้นงดงามราวกับอัญมณีที่บริสุทธิ์ที่สุดในใต้หล้าเย่เสวียนถิงรู้ดีอยู่แล้วเกี่ยวกับสถานการณ์ของเจ้าหนูคนเล็ก และใจของเขาก็ห่อเหี่ยวทันทีเมื่อเขานึกถึงการที่ซูชิงอู่เกือบจะประสบเหตุตอนที่นางให้กำเนิดเด็กคนนี้เขาแตะปลายจมูกของเจ้าหนูคนเล็กอย่างระมัดระวังสัมผัสที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อนทำให้หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่น“ฮัดชิ่ว
เย่เสวียนถิงไม่ได้อธิบายอะไรมาก แต่ยังไว้ซึ่งท่าทีเคารพนอบน้อม “เสด็จแม่ทรงไม่ต้องกังวลพ่ะย่ะค่ะ”“แม่จะไม่กังวลได้อย่างไร”ซูไทเฮาตอบกลับ แต่นางก็รู้เช่นกันว่านางทำอะไรไม่ได้ “ตอนนี้เจ้ากลับมาเช่นนี้ หลายคนก็น่าจะเห็นแล้ว เจ้าไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นหากทางชายแดนได้รับข่าวหรือ?”เย่เสวียนถิงพยักหน้าเบา ๆ "กลับมาคราวนี้ ประการแรกก็เพื่อความปลอดภัยของอาอู่ และประการที่สอง เพื่อล่องูออกจากรูและจู่โจมโดยไม่ให้ตั้งตัว ไม่สำคัญว่ากระหม่อมจะอยู่ที่ชายแดนหรือไม่ ขอเพียงกระหม่อมปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะสมก็พอพ่ะย่ะค่ะ”ซูไทเฮาตกตะลึง “ช่างเถอะ ข้าก็ค่อยไม่เข้าใจกลยุทธ์ในสนามรบของพวกเจ้านัก ขอเพียงพวกเจ้าทุกคนปลอดภัย ก็ดียิ่งกว่าสิ่งอื่นใดแล้ว"ซูไทเฮายังไม่รู้ว่าเจียวกุ้ยเฟยทำอะไรลงไป เมื่อซูชิงอู่ตามเข้าไปข้างใน นางก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนและหลังให้ซูไทเฮาฟังเมื่อซูไทเฮาได้ยินว่าเจียวกุ้ยเฟยแอบพาสตรีนางหนึ่งที่กำลังตั้งครรภ์ออกจากพระราชวัง และซ่อนนางไว้ในสำนักสงฆ์ฮุ่ยชิง ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด“หรือที่ตระกูลเจียวทำเช่นนี้เพราะต้องการก่อกบฏ?”ซู
ทหารม้าของตระกูลหลิ่วและเมืองฉีต่างหิวโหย พวกเขาเร่งฝีเท้าตามมาทันที เพื่อเตรียมหาสถานที่พักฟื้นเมื่อเย่ชิวหมิงเห็นภาพนี้ นิ้วมือของเขาที่ปล่อยอยู่ข้างลำตัวก็กระชับขึ้นเล็กน้อยเขามองลงไปที่พื้น “ศพทั้งหมดในสำนักสงฆ์ฮุ่ยชิงถูกกำจัดไปแล้วหรือยัง?"“ทูลฝ่าบาท จัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทุกศพถูกรวมไว้ด้วยกันและให้คนนำไปฝังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”คนที่ส่งข่าวหยุดชะงักและถามว่า “มีอยู่หนึ่งศพที่กระหม่อมและคนอื่น ๆ ไม่สามารถตัดสินใจได้ ขอฝ่าบาทโปรดทรงช่วยตัดสินใจด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ศพหนึ่งถูกลากมาศพมีเลือดออกจากทุกช่องทวาร และมีคราบเลือดทั่วร่างกายขุนนางชันสูตรศพผู้หนึ่งก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบศพแล้วจึงรายงานด้วยเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท สตรีนางนี้ตั้งครรภ์ได้เกือบสามเดือนแล้ว และนางก็สวมหน้ากากหนังมนุษย์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ขณะที่ขุนนางชันสูตรพูด เขาก็ถอดหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าของอีกฝ่ายออกอย่างระมัดระวัง และเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางนางเป็นสตรีที่มีรูปร่างหน้าตาค่อนข้างงดงามเพียงแต่ว่าสภาพการตายของนางในเวลานี้ช่างน่าสังเวชอย่างยิ่ง สีหน้าของนางบิดเบี้ยว ริมฝีปากสีแดงของนางกลายเป็นสีดำ แ
ความรู้สึกนี้ว่างเปล่าเล็กน้อย และซูชิงอู่ก็รีบเดินออกจากประตูบ้านทันทีและมองออกไปข้างนอกเมื่อมองที่นี่ในเวลากลางวัน ทิวทัศน์ก็งดงามเป็นพิเศษไม่ง่ายเลยที่จะหาสถานที่เช่นนี้ในเขตชานเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงได้นางรีบวิ่งออกไป ไม่ไกลนัก นางเห็นเย่เสวียนถิงนำม้ามาที่นี่ เขาเร่งฝีเท้าเข้ามาหานาง พลางยื่นมืออุ้มนางขึ้นหลังม้า“เสวียนถิง ไปเอาม้ามาจากไหน?”เย่เสวียนถิงพูดข้างหูของนาง “เย่ชิวหมิงให้คนส่งมาให้”เมื่อได้ยินชื่อนี้ ซูชิงอู่ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เขาน่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับสำนักชีฮุ่ยชิงอันแล้ว ไปหาเขากันเถอะ"เย่เสวียนถิงไม่ได้สวมหน้ากาก และใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างยิ่งของเขาก็ถูกเปิดเผยต่อหน้าทุกคนอย่างน่าประทับใจกองทัพเมืองฉีรู้ตัวตนของท่านอ๋องมานานแล้ว ดังนั้นสีหน้าท่าทางของพวกเขาจึงเป็นธรรมชาติมาก ทว่าเหล่าแม่ทัพและรองแม่ทัพที่ยืนอยู่ด้านหลังเย่ชิวหมิงต่างก็เบิกตากว้าง“ทะ...ท่านอ๋องเสวียน!”“เหตุใดเขาถึงอยู่ที่นี่ล่ะ?”"หากอ๋องเสวียนอยู่ในเมืองหลวง แล้วที่ชาย..."ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างด้วยความเหลือเชื่อมีเพียงเย่ชิวหมิงเท่านั้นที่พอจะคาดเดาความจริงได้แล้
ซูชิงอู่คว้าเสื้อคลุมที่เขาสวมบนตัวนางแล้วถามอย่างไม่สบายใจว่า “แล้วท่านล่ะ?"เย่เสวียนถิงหลุบสายตาลงเล็กน้อย มีแสงจันทร์สะท้อนในดวงตาของเขา "บนภูเขาไม่ปลอดภัย ข้าจะเฝ้าอยู่ข้างนอก"ซูชิงอู่ไม่ถามอะไรอีก นางเดินไปที่บ่อน้ำและถอดเสื้อผ้าของนางออกหากเย่เสวียนถิงไม่อยู่ที่นี่ นางคงไม่สามารถอาบน้ำในป่าได้ง่าย ๆเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้ ๆ ซูชิงอู่จึงรู้สึกค่อนข้างปลอดภัยหลังจากอาบน้ำเสร็จก็เห็นเสื้อผ้าวางอยู่บนฝั่งขนาดกำลังพอดีสำหรับนาง ราวกับมันถูกเตรียมไว้เพื่อนางโดยเฉพาะหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ตั้งอยู่บนไหล่เขาขนาดไม่ใหญ่นัก นอกจากบ่อน้ำพุร้อนที่อยู่ในบริเวณบ้านพักแล้ว ก็มีบ้านเพียงห้าหลังเท่านั้นบ้านที่อยู่ตรงกลางคือหลังที่ใหญ่ที่สุด ซูชิงอู่เดินเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็พบว่าข้างในบ้านตกแต่งเรียบง่ายและสะอาดสะอ้านเดินเข้าไปข้างในก็คือบ้านที่ใช้อยู่อาศัย มีเตียงขนาดใหญ่วางอยู่ตรงกลาง นอกจากตรงจุดนี้ที่ได้รับการทำความสะอาดแล้ว ส่วนอื่น ๆ ก็ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาเป็นชั้น เห็นได้ชัดว่าเย่เสวียนถิงเข้ามาทำความสะอาดให้เมื่อครู่ซูชิงอู่รู้สึกอบอุ่นใจทว่านางไม่ได้ออกปาก
ทันใดนั้นก็มีเสื้อคลุมอีกตัวหนึ่งคลุมตัวของนางไว้ความหนาวเย็นบนร่างกายของนางถูกขจัดออกไปในทันที และจู่ ๆ เย่เสวียนถิง ก็โน้มตัวลงมาและดึงนางให้ลุกขึ้นยืน“อาอู่ มากับข้าสิ”ซูชิงอู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยืนขึ้นต่อหน้าทุกคน กองไฟตรงหน้านางยังคงปะทุอยู่ และผู้คนที่นั่งรอกันอย่างเบื่อหน่ายก็มองตรงไปยังทิศทางที่พวกเขาทั้งสองจากไปทุกคนยังคงหิวอยู่ ตอนนี้ดึกมากแล้ว แม้กระทั่งการกินข้าวจึงกลายเป็นปัญหา หลินอิงย่างกระต่ายป่าที่นางเพิ่งจับได้และมอบให้นายน้อยของนางอย่างระมัดระวัง“นายน้อย ทานสิเจ้าคะ”หลิ่วจ้งอิ๋นเหลือบมองหลินอิง เดิมทีเขาต้องการทิ้งเด็กคนนี้ไว้ที่บ้านเพื่อดูแลคนชรา แต่นางไม่ยอม จึงกลายเป็นว่ามีสตรีติดตามเขาไปทุกที่เขารับกระต่ายขึ้นมาแล้วมองสายตาของเด็กน้อยที่แอบมองเขา แต่ก็ลังเลที่จะพูด จากนั้นเขาก็ยื่นขากระต่ายทั้งสองข้างให้นางแม้หลินอิงจะไม่ได้พูดตลอดการเดินทาง แต่ในระหว่างการต่อสู้ไม่นานมานี้ นางซึ่งเป็นสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมดาบในมือ สิ่งนี้ทำให้เขาดูเป็นคนใจร้าย และนั่นก็ค่อนข้างน่าสะเทือนใจในฐานะนายน้อยตระกูลหลิ่ว เขามีชีวิตที่ราบรื่นและได
“เสวียนถิง ท่านมองข้าสิ”ม่านตาของเย่เสวียนถิงสั่นไหวเล็กน้อย เขาคว้าข้อมือของซูชิงอู่ไว้ดาบในมือของเขาหล่นลงกับพื้นทั้งที่ยังคงเปื้อนเลือด“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทิ้งท่านไปไหนอีก”ซูชิงอู่ตอบอย่างจริงจัง น้ำเสียงของนางมั่นคงหนักแน่นนางจะไม่ทำให้ตัวเองต้องเสียใจทีหลังอีก“ดูสิ ตอนนี้ข้าสามารถปกป้องตัวเองได้แล้ว ท่านกลับจากชายแดนเมื่อไร ช่วยสอนวรยุทธให้ข้าได้หรือไม่?”นางปลอบประโลมอารมณ์ในดวงตาของเย่เสวียนถิงได้เขาใช้นิ้วลูบหลังมือของนางเบา ๆ“เอาล่ะ อาอู่ หนอนกู่พวกนั้นก็อันตรายมากเช่นกัน จากนี้เจ้าไม่…”ซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ พลางก้มหน้า “กู่เหล่านั้นเป็นวิธีที่ข้าใช้ปกป้องตัวเอง อีกทั้งท่านอ๋องก็ไม่สามารถอยู่เคียงข้างข้าได้ตลอด หากข้าไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ท่านจะเป็นห่วงข้ามากกว่าเดิมหรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่เสวียนถิงก็เลิกคิ้วและพยักหน้าเขารู้สึกไม่ชอบใจที่ตัวเขาไร้ประโยชน์ทั้งยังทำให้อาอู่ตกอยู่ในอันตรายหากเขาอยู่เคียงข้างนาง เขายังสามารถจับตาดูนางได้ แต่เมื่อเขาต้องจากที่นี่ไปยังสนามรบชายแดน ถึงตอนนั้น…เย่เสวียนถิงไม่กล้านึกถึงความฝันที่เขาพูดถึงเหตุผลท
คนมากกว่าหนึ่งพันคนก็กลายเป็นม่านดำหนาทึบ แม้พวกเขาจะพบกับสถานการณ์ที่วุ่นวาย แต่พวกเขาก็มีเวลาจัดการเหลือเฟือทว่าในขณะที่เย่เสวียนถิงโยนลูกปัดอสนีบาตเข้าไปในฝูงชน และผู้คนยังคงถูกโจมตีอย่างโหดร้าย ทหารของตระกูลเจียวที่เดิมต้องการเร่งรุดไปข้างหน้าก็เริ่มถอยหนีอย่างรวดเร็วเย่เสวียนถิงสามารถบังคับให้คนเหล่านั้นล่าถอยไปได้ด้วยความแข็งแกร่งของเขาไม่มีใครอยากตายโดยไม่รู้ตัว เพราะอาวุธที่ซูชิงอู่หยิบออกมานั้นเกินความคาดหมายของทุกคน“มีอันตราย ถอยออกไปเร็ว!”ใครบางคนในฝูงชนตะโกนเสียงดัง และรูปขบวนทั้งหมดก็หยุดชะงักหลิ่วจ้งอิ๋นและคนอื่น ๆ รู้สึกว่าบรรยากาศภายนอกเปลี่ยนไป พวกเขาจึงเอื้อมมือออกไปและเปิดประตูด้านหน้าออก “ทุกคน ออกไปฆ่ามัน!”ตอนนี้เป็นโอกาสของพวกเขาที่จะลงมือนี่คือโอกาสที่ท่านอ๋องและพระชายาสร้างขึ้นเพื่อทำการตอบโต้!แม้คนเหล่านี้จะมีความสามารถไม่มากนัก แต่ตอนนี้พวกเขาเกือบตายในอารามนี้แล้ว และทุกคนก็เก็บความหวาดหวั่นไว้ในใจเพื่อเป็นพลังเสียงตะโกนแห่งการสังหารยังคงดำเนินต่อไป และคนของตระกูลเจียวเหล่านั้นต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส ประกอบกับการจู่โจมที่น่าเกรงขามของหลิ่วจ
ความมืดทำให้พวกเขามีที่กำบังที่ดีแม้บางคนจะสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นหนอนกู่ตัวเล็ก ๆ เช่นนี้ได้เย่เสวียนถิงคว้าดาบมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ พลางโอบซูชิงอู่ไว้ในมือข้างหนึ่ง และอีกมือหนึ่งก็สกัดกั้นลูกธนูที่พุ่งเข้ามาหลังจากที่ซูชิงอู่ขว้างขวดไป เขาก็พานางไปที่กำแพงอีกฝั่งหนึ่งที่ค่อนข้างปกปิดได้ดี และต่อต้านการโจมตีของนักธนูที่อยู่ด้านบนไปด้วยขณะนี้ ทหารของในตระกูลเจียวที่บุกเข้ามาจากประตูวัดรู้สึกปั่นปวนและไม่สบายใจเพราะแมงมุมม่ายสวรรค์ซูชิงอู่เลิกคิ้วเล็กน้อย มองผู้คนเหล่านั้นที่วิ่งหนีไปราวกับพวกเขาเห็นผี นางก็ยิ้มมุมปากโดยอัตโนมัติทว่าคนที่อยู่ตรงนั้นก็มีปฏิกิริยาเช่นกัน และคนที่เป็นผู้นำก็ตะโกนเสียงดังทันที “จดจ่อกับการป้องกันและสังหารคนสองคนที่ออกมาเมื่อครู่นี้เสีย!”ผู้ที่ไม่ได้ถูกแมงมุมม่ายสวรรค์กัดตายก็เข้ามาหาทันทีโชคดีที่ขึ้นไปบนภูเขาได้ทันท่วงที และเส้นทางแคบจึงมีคนไม่มากนักที่จะขึ้นมาได้ในคราวเดียวเย่เสวียนถิงยืนขวางทางอยู่เพียงคนเดียวคู่กับดาบหนึ่งเล่ม เหมือนกับบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าศัตรูนับหมื่น一夫当关万夫莫开的架势บรรดาผู้ที่ร