ซูชิงอู่สบตากับเขาเย่เสวียนถิงหลบสายตาของนางโดยไม่รู้ตัวแต่ครู่ต่อมาซูชิงอู่ก็เพิกเฉยต่อหญิงชราโดยสิ้นเชิง แต่นางกลับเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าอ่อนโยนและนั่งยอง ๆ ต่อหน้าทุกคนโดยไม่สนใจนางใช้มือนวดขาของเขาเบา ๆ “ข้าบอกให้พักผ่อนไม่ใช่หรือไง รู้ไหมว่าขาท่านยืนนาน ๆ ไม่ได้”ริมฝีปากบางของเย่เสวียนถิงอ้าค้างด้วยความประหลาดใจดูเหมือนคอของเขาจะถูกอะไรบางอย่างปิดกั้น ทำให้เขาก็ไม่อาจส่งเสียงใด ๆ ออกมาได้น้ำเสียงของซูชิงอู่เร่งเร้าและดูเป็นทุกข์เป็นร้อน นิ้วของนางแตะจุดฝังเข็มบนตัวของเขา ทำให้เย่เสวียนถิงรู้สึกผ่อนคลาย และรู้สึกชาที่ขาของเขาด้วยความเจ็บปวดเริ่มแรกก็หายไปมากในทันทีความเจ็บปวดพุ่งเข้าหาหัวใจของเขาโดยตรง ทำให้เขามองดูเข็มของซูชิงอู่ที่อยู่ใกล้มือ เขาอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบผมบนศีรษะของนางซูชิงอู่รู้สึกถึงความอบอุ่นจากเขา และอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ จากนั้นจึงก้มศีรษะลง หูของนางแดงเล็กน้อย "อวิ๋นจื่อ รีบหาเก้าอี้มาให้ท่านอ๋องเร็วเข้า!""มาแล้วเจ้าค่ะ!"อวิ๋นจื่อรีบขยับเก้าอี้ไปอย่างรวดเร็ว ด้วยสายตาและมือที่ว่องไวซูชิงอู่ผลักเขาไปยังที่ที่เย
หลิงซื่อประคองฮูหยินผู้เฒ่าพลางค่อย ๆ ปลอบ "นังเด็กชิงอู่คนนี้คงจะถูกผู้มีเจตนาร้ายเสี้ยมสอนมาเป็นแน่ถึงไม่รู้จักมีความเคารพและอกตัญญูถึงเพียงนั้น แค่ตักเตือนสักสองสามคำก็ใช้ได้แล้ว" คำปลอบโยนรังแต่จะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าซูยิ่งมีโทสะมากขึ้นเรื่อย ๆ "ซูชิงอู่ บอกข้ามา ไฉนเจ้าต้องลงไม้ลงมือกับแม่นมของตนเองด้วย? เมื่อสักครู่มีคนเห็นเข้าพอดี เจ้าใช่เพียงทุบตีนางโดยไร้ซึ่งเหตุผลเท่านั้น แต่เจ้ายังขังนางเอาไว้ในห้องเก็บฟืน ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ เจ้าถึงขั้นตัดนิ้วมือของนางอีกด้วย!” ซูชิงอู่เลิกคิ้วพลางกล่าวว่า "เมื่อผู้ใดสักคนกระทำความผิด ก็สมควรถูกลงโทษแล้ว ในฐานะที่เป็นพระชายา การที่ข้าลงโทษบ่าวรับใช้มิใช่เรื่องปกติหรอกหรือเจ้าคะ?" ฮูหยินผู้เฒ่าซูโมโหจนพูดไม่ออก "แต่เท่าที่ข้าทราบมา เห็นได้ชัดว่าแม่นมหลินโดนใส่ความอยู่ นางหยิบยาตามที่เจ้าสั่ง เพื่อเห็นแก่ชื่อเสียงของตนเองแล้ว เจ้าโยนความผิดทั้งหมดให้นางได้อย่างไรกัน?" ซูชิงอู่ไม่คิดจะพูดเรื่องนี้กับผู้อื่น น้ำเสียงของนางจึงค่อย ๆ ทวีความเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ "ฮูหยินผู้เฒ่าเลอะเลือนถึงเพียงนั้นตั้งแต่เมื่อใดกัน ? ท่านเชื่อคำพูดของบ
หลิงซื่อมุมปากกระตุกริก ๆ "เจ้ากำลังแว้งกัดข้า!" ซูชิงอู่ตอบว่า "ข้ามิกัดกับสุนัขหรอก" วาจาของนางที่บ่งบอกชัดแจ้งว่าหลิงซื่อเป็นสุนัข ทำให้หลิงซื่อรู้สึกเดือดดาลนัก คนกลุ่มหนึ่งพาฮูหยินผู้เฒ่ามาส่งห้องว่างติดกับห้องของนาง จากนั้นก็รีบเชิญท่านหมอเข้าไป ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่มากับเขาด้วยก็คืออัครเสนาบดีซู หลิงซื่อยืนร้องไห้อยู่ตรงประตูพลางเช็ดน้ำตา นางคร่ำครวญเสียงแผ่วเบากับอัครเสนาบดีซูด้วยความขมขื่นใจ เพื่อบอกว่าซูชิงอู่กระทำเกินกว่าเหตุจนทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหจนหมดสติไป นางยังเอ่ยถึงเรื่องที่อีกฝ่ายไม่เคารพผู้อาวุโส จนแทบจะกลับดำเป็นขาว! เย่เสวียนถิงเม้มปากเล็กน้อย สายตาที่ทอดมองลงบนแผ่นหลังของซูชิงอู่บ่งบอกอารมณ์ที่ออกจะลึกซึ้งอยู่บ้าง ทันใดนั้นเขาก็พลันรู้สึกว่ามิอาจเข้าใจสิ่งที่นางกพลังครุ่นคิดอยู่ในยามนี้ ซูซิงอู่ราวกับมีดวงตาติดอยู่บนแผ่นหลัง จู่ ๆ นางก็หันหลังกลับมาทันที แววเยียบเย็นในดวงตาของนางสลายไปจนสิ้น แทนที่ด้วยสายตาอ่อนโยนราวกับสายน้ำ "เสวียนถิง ใบหน้าของข้ามีอันใดติดอยู่กระนั้นหรือ? ไฉนท่านจึงเอาแต่จ้องหน้าข้าอยู่เล่า?" เย่เสวียนถิงอดมิได้ที่จะรู้สึกเ
ด้วยเหตุนี้เอง ต่อให้สุดท้ายอีกฝ่ายตายไป เขาก็หาได้เสียใจนัก "ซูฉางเซิง ถึงแม้ว่าข้าจะมิได้ใส่ใจเจ้านัก แต่ข้าก็เชิญอาจารย์มาอบรมสั่งสอนเจ้าอยู่ไม่น้อย ไยเจ้าถึงมุทะลุตามนางเช่นนี้เล่า?" ซูฉางเซิงต่างจากซูชิงอู่ อย่างไรเสีย ซูชิงอู่ก็เป็นบุตรีที่ออกเรือนแล้ว ยามนี้นางจึงถือเป็นคนนอกของจวนอัครเสนาบดี ทว่าเขาเป็นบุตรภรรยาเอกของอัครเสนาบดี ทำให้วาจาพอจะมีน้ำหนักอยู่บ้างในจวน นอกเหนือไปจากนั้น เขาก็มิใช่กบในบ่อ[1] ต่อให้เขามิเคยเดินทางไปที่ใดนัก แต่กลับเรียกได้ว่าแตกฉานในเรื่องตำรับตำรายิ่งนัก "น้องสาวของข้าเคยเป็นคนใจอ่อน แต่ท่านกลับปฏิบัติกับนางราวกับลูกพลับนิ่มและเอาเปรียบเสียจนนางรู้สึกเหลืออด ท่านกินของนาง หาเศษหาเลยจากนางและหลอกใช้นาง เอาแต่คิดว่าทุกอย่างล้วนเป็นของตนเอง เมื่อก่อนตัวนางอาจจะยินยอมพร้อมใจ ดังนั้นข้าจึงเอ่ยสิ่งใดมิได้ ทว่ายามนี้นางมิได้ยินยอมพร้อมใจ การที่นางทวงเอาของ ๆ ตนเองกลับคืนก็ผิดด้วยหรือ?” ทั้ง ๆ ที่น้ำเสียงของซูฉางเซิงเชื่องช้าและแผ่วเบา ทว่าสิ่งที่เขาเอ่ยกลับชัดเจนยิ่ง มิหนำซ้ำวาจาทุกคำก็ฟังดูสมเหตุสมผล หลังจากเขาพูดจบ อัครเสนาบดีซูก็พลันหน้าต
คนทั้งตระกูลเกี่ยวข้องอันใดกับซูชิงอู่ด้วยเล่า? ส่วนพี่ชายของนางนั้น นางย่อมต้องมอบเงินทองให้อยู่แล้ว เดิมทีสินเดิมที่ฟางอี๋ซินนำเอามาจากตระกูลฟางก็สมควรจะเป็นของซูชิงอู่ อัครเสนาบดีซูพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน จากนั้นเขาก็เอ่ยเสียงทุ้มว่า "ชิงอู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ พ่อจะสั่งให้คนไปเรียกพี่ใหญ่กับพี่รองของเจ้าแล้วถามความคิดเห็นของพวกเขา อย่างไรเสียข้าวของของมารดาเจ้าก็เป็นของพวกเขาด้วยมิใช่หรือ?” ซูฉางเซิงเอ่ยขึ้นทันทีโดยมิได้ลังเลใจว่า "ส่วนของข้ายกให้เป็นของชิงอู่" ซูชิงอู่มองพี่ห้าของนาง แววตาของนางอ่อนลงโดยมิทันได้รู้ตัว ยิ่งไปกว่านั้น นางก็คิดถึงบรรดาพี่ชายของนางด้วย น่าเสียดายที่ระหว่างนี้ พี่สามกับพี่สี่ยังเล่าเรียนอยู่ข้างนอก คนหนึ่งฝากตัวเป็นศิษย์สำนักขงจื๊อ ส่วนอีกคนหนึ่งไปฝึกฝนวรยุทธ์ที่วัดเส้าหลินในเขาหยุนเหลียง... เมื่อชาติก่อน หลังจากเกิดเรื่องกับตระกูลซู พวกเขาทั้งสองคนก็รีบดั้นด้นกลับมาตลอดทาง ทว่าต่อมานางถึงได้ทราบจากซูเชียนหลิงว่าศีรษะของพวกเขาถูกแขวนเอาไว้บนกำแพงเมือง จากนั้นก็ตากแดดเอาไว้ร่วมครึ่งค่อนเดือน กระทั่งกระดูกผุพังไปจนสิ้น ซูเชียนหลิง
"บอกข้ามา ผู้ใดมันทำให้น้องหกของข้าต้องร้องไห้?" เสียงของพี่รองดังลั่น กลิ่นอายทั่วทั้งร่างประดุจดั่งดาบที่หลุดออกจากฝัก เขามีคิ้วหนาและแผ่รังสีอำมหิตอันมิอาจหลีกเร้นได้ของผู้เป็นนักรบ ประกอบกับร่างสูงแกร่งกำยำ ถึงแม้ว่าใบหน้าจะหล่อเหลาคมคาย ทว่าเขาก็ยังมีหน้าตาที่ออกจะดุดันอยู่บ้าง ท่ามกลางบรรดาพี่ชาย เขาเป็นผู้ที่รักใคร่ซูชิงอู่เป็นที่สุด ทั้งยังเอาอกเอาใจเสียจนเข้าขั้นไร้เหตุผล เป็นความชอบพอที่รุนแรงยิ่งกว่าความรักของบิดาที่มีต่อบุตรีเสียด้วยซ้ำไป... เมื่อซูชิงอู่เห็นเขา นางก็รู้สึกทั้งสุขและเศร้าในคราวเดียวกัน นางสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วขับไล่ภาพการตายอันน่าสลดใจของพี่ชายทั้งสองออกไปจากสมอง จากนั้นก็ค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมาว่า "พี่รอง เชิญนั่งลงก่อนเจ้าค่ะ" ยามที่ซูเชียนหมิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็ถึงกับกลั้นหายใจพลางถือดาบเอาไว้อีกครั้ง แล้วนั่งลงด้วยสีหน้าเย็นชา เขาจ้องมองเย่เสวียนถิงด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ราวกับว่าอีกฝ่ายติดหนี้เขานับแปดล้านตำลึงเงิน เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเขาเข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายเป็นตัวการ ถึงแม้ว่าเย่เสวียนถิงจะมิได้หวาดกลัวซูเชียนหมิงที่อยู่ตรงหน้า แต่เมื่อส
หลิงซื่อหัวใจบีบรัด ยามนี้นางเป็นฮูหยินของประมุขตระกูล มีแต่นางเท่านั้นที่สามารถจัดการเรื่องเงินทองได้ ตอนนี้ซูชิงอู่คิดจะเอาไปทั้งหมด ก็มิต่างอันใดจากการแล่เนื้อเถือหนังของตน! หลิงซื่อลุกขึ้นพลางเอ่ยขึ้นมาว่า "ข้าไม่ยอม!" ทุกคนต่างทอดสายตามองหลิงซื่อ สีหน้าของหลิงซื่อเปลี่ยนเป็นซีดขาว เมื่อนางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็เห็นอัครเสนาบดีซูหลุบตาลงแล้วเอาแต่นิ่งเงียบ นางจึงรีบกระตุกแขนเสื้อของเขาทันที "นายท่าน บอกข้าทีเถิดเจ้าค่ะ ถ้านางเอาเงินไปหมดแล้ว บ่าวไพร่ของตระกูลใหญ่เช่นนี้จะอยู่กันอย่างไร? และ...ยิ่งไปกว่านั้น มารดาของท่านก็สุขภาพไม่ดี นางต้องพบท่านหมอและรับยาอยู่ทุกวันซึ่งใช้เงินไม่น้อยเลย มิหนำซ้ำยังต้องใช้โสมอายุร้อยปีชั้นยอดเพื่อบำรุงร่างกาย ต้นหนึ่งก็ตกสองร้อยตำลึงเข้าไปแล้ว..." สีหน้าของอัครเสนาบดีซูกลับยิ่งหม่นคล้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ ซูชิงอู่ยิ้มพลางกล่าวว่า "ในเมื่อพวกเราไม่มีเงินจ่ายให้พวกบ่าวรับใช้ก็ส่งพวกเขาออกไป ถ้าพวกเราไม่มีเงินซื้อโสมอายุร้อยปี เช่นนั้นก็ซื้อโสมธรรมดา ท่านพ่อของข้าเป็นถึงอัครเสนาบดีแห่งราชวงศ์ถังและมีเบี้ยหวัดรายปีมากโข ถ้าหากประหยัดสักหน่อย จ
การแนะนำให้รู้จักกันเช่นนั้นทำให้ดวงตาของเย่เสวียนถิงฉายแววประหลาดใจ เขากวาดสายตามองเสี้ยวหน้าของซูชิงอู่พลางเลิกคิ้วแล้วลดเสียงลง จากนั้นก็ออกแรงบีบมือที่อยู่ในฝ่ามือของตัวเองไว้แน่น "อาอู่ ข้า..." ซูชิงอู่ดึงตัวเขามาข้างหน้าพลางกล่าวว่า "นี่คือซูหัวจิ่นพี่ใหญ่ของข้าที่ยามนี้เป็นเจ้ากรมกิจการพลเรือน เขามาถึงตำแหน่งนี้ได้ด้วยความสามารถของตนเอง พี่ชายของข้าหาได้พึ่งพาเส้นสายของตระกูลแต่อย่างใดไม่..." ซูเชียนหมิงรีบเดินเข้ามาประสานมือคำนับเย่เสวียนถิง ยามนี้ดูเหมือนท่าทีแฝงเจตนาร้ายแลไม่เป็นมิตรเมื่อก่อนหน้านี้จะสลายหายไปจนสิ้น "กระหม่อมซูเชียนหมิงเป็นพี่รองของนาง ยามนี้กระหม่อมเป็นหัวหน้าราชองครักษ์คอยอารักขาข้างพระวรกายฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ ข้าชื่นชมในความน่าเกรงขามของท่านอ๋องมานานและนับถือท่านจากใจจริง นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คงต้องฝากน้องสาวของข้าไว้กับท่านเสียแล้ว ท่านอ๋อง" วาจาเหล่านี้ทำให้ซูชิงอู่รู้สึกอุ่นใจ นางยิ้มพลางมองเย่เสวียนถิง สีหน้าของนางพึงพอใจอยู่บ้าง นางเองก็มีผู้หนุนหลังเช่นกัน สีหน้าเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นกลับทำให้นางแลดูงดงามสดใส ดวงตาคู่งามเต็มเปี่ยมไปด