คนทั้งตระกูลเกี่ยวข้องอันใดกับซูชิงอู่ด้วยเล่า? ส่วนพี่ชายของนางนั้น นางย่อมต้องมอบเงินทองให้อยู่แล้ว เดิมทีสินเดิมที่ฟางอี๋ซินนำเอามาจากตระกูลฟางก็สมควรจะเป็นของซูชิงอู่ อัครเสนาบดีซูพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน จากนั้นเขาก็เอ่ยเสียงทุ้มว่า "ชิงอู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ พ่อจะสั่งให้คนไปเรียกพี่ใหญ่กับพี่รองของเจ้าแล้วถามความคิดเห็นของพวกเขา อย่างไรเสียข้าวของของมารดาเจ้าก็เป็นของพวกเขาด้วยมิใช่หรือ?” ซูฉางเซิงเอ่ยขึ้นทันทีโดยมิได้ลังเลใจว่า "ส่วนของข้ายกให้เป็นของชิงอู่" ซูชิงอู่มองพี่ห้าของนาง แววตาของนางอ่อนลงโดยมิทันได้รู้ตัว ยิ่งไปกว่านั้น นางก็คิดถึงบรรดาพี่ชายของนางด้วย น่าเสียดายที่ระหว่างนี้ พี่สามกับพี่สี่ยังเล่าเรียนอยู่ข้างนอก คนหนึ่งฝากตัวเป็นศิษย์สำนักขงจื๊อ ส่วนอีกคนหนึ่งไปฝึกฝนวรยุทธ์ที่วัดเส้าหลินในเขาหยุนเหลียง... เมื่อชาติก่อน หลังจากเกิดเรื่องกับตระกูลซู พวกเขาทั้งสองคนก็รีบดั้นด้นกลับมาตลอดทาง ทว่าต่อมานางถึงได้ทราบจากซูเชียนหลิงว่าศีรษะของพวกเขาถูกแขวนเอาไว้บนกำแพงเมือง จากนั้นก็ตากแดดเอาไว้ร่วมครึ่งค่อนเดือน กระทั่งกระดูกผุพังไปจนสิ้น ซูเชียนหลิง
"บอกข้ามา ผู้ใดมันทำให้น้องหกของข้าต้องร้องไห้?" เสียงของพี่รองดังลั่น กลิ่นอายทั่วทั้งร่างประดุจดั่งดาบที่หลุดออกจากฝัก เขามีคิ้วหนาและแผ่รังสีอำมหิตอันมิอาจหลีกเร้นได้ของผู้เป็นนักรบ ประกอบกับร่างสูงแกร่งกำยำ ถึงแม้ว่าใบหน้าจะหล่อเหลาคมคาย ทว่าเขาก็ยังมีหน้าตาที่ออกจะดุดันอยู่บ้าง ท่ามกลางบรรดาพี่ชาย เขาเป็นผู้ที่รักใคร่ซูชิงอู่เป็นที่สุด ทั้งยังเอาอกเอาใจเสียจนเข้าขั้นไร้เหตุผล เป็นความชอบพอที่รุนแรงยิ่งกว่าความรักของบิดาที่มีต่อบุตรีเสียด้วยซ้ำไป... เมื่อซูชิงอู่เห็นเขา นางก็รู้สึกทั้งสุขและเศร้าในคราวเดียวกัน นางสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วขับไล่ภาพการตายอันน่าสลดใจของพี่ชายทั้งสองออกไปจากสมอง จากนั้นก็ค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมาว่า "พี่รอง เชิญนั่งลงก่อนเจ้าค่ะ" ยามที่ซูเชียนหมิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็ถึงกับกลั้นหายใจพลางถือดาบเอาไว้อีกครั้ง แล้วนั่งลงด้วยสีหน้าเย็นชา เขาจ้องมองเย่เสวียนถิงด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ราวกับว่าอีกฝ่ายติดหนี้เขานับแปดล้านตำลึงเงิน เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเขาเข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายเป็นตัวการ ถึงแม้ว่าเย่เสวียนถิงจะมิได้หวาดกลัวซูเชียนหมิงที่อยู่ตรงหน้า แต่เมื่อส
หลิงซื่อหัวใจบีบรัด ยามนี้นางเป็นฮูหยินของประมุขตระกูล มีแต่นางเท่านั้นที่สามารถจัดการเรื่องเงินทองได้ ตอนนี้ซูชิงอู่คิดจะเอาไปทั้งหมด ก็มิต่างอันใดจากการแล่เนื้อเถือหนังของตน! หลิงซื่อลุกขึ้นพลางเอ่ยขึ้นมาว่า "ข้าไม่ยอม!" ทุกคนต่างทอดสายตามองหลิงซื่อ สีหน้าของหลิงซื่อเปลี่ยนเป็นซีดขาว เมื่อนางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็เห็นอัครเสนาบดีซูหลุบตาลงแล้วเอาแต่นิ่งเงียบ นางจึงรีบกระตุกแขนเสื้อของเขาทันที "นายท่าน บอกข้าทีเถิดเจ้าค่ะ ถ้านางเอาเงินไปหมดแล้ว บ่าวไพร่ของตระกูลใหญ่เช่นนี้จะอยู่กันอย่างไร? และ...ยิ่งไปกว่านั้น มารดาของท่านก็สุขภาพไม่ดี นางต้องพบท่านหมอและรับยาอยู่ทุกวันซึ่งใช้เงินไม่น้อยเลย มิหนำซ้ำยังต้องใช้โสมอายุร้อยปีชั้นยอดเพื่อบำรุงร่างกาย ต้นหนึ่งก็ตกสองร้อยตำลึงเข้าไปแล้ว..." สีหน้าของอัครเสนาบดีซูกลับยิ่งหม่นคล้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ ซูชิงอู่ยิ้มพลางกล่าวว่า "ในเมื่อพวกเราไม่มีเงินจ่ายให้พวกบ่าวรับใช้ก็ส่งพวกเขาออกไป ถ้าพวกเราไม่มีเงินซื้อโสมอายุร้อยปี เช่นนั้นก็ซื้อโสมธรรมดา ท่านพ่อของข้าเป็นถึงอัครเสนาบดีแห่งราชวงศ์ถังและมีเบี้ยหวัดรายปีมากโข ถ้าหากประหยัดสักหน่อย จ
การแนะนำให้รู้จักกันเช่นนั้นทำให้ดวงตาของเย่เสวียนถิงฉายแววประหลาดใจ เขากวาดสายตามองเสี้ยวหน้าของซูชิงอู่พลางเลิกคิ้วแล้วลดเสียงลง จากนั้นก็ออกแรงบีบมือที่อยู่ในฝ่ามือของตัวเองไว้แน่น "อาอู่ ข้า..." ซูชิงอู่ดึงตัวเขามาข้างหน้าพลางกล่าวว่า "นี่คือซูหัวจิ่นพี่ใหญ่ของข้าที่ยามนี้เป็นเจ้ากรมกิจการพลเรือน เขามาถึงตำแหน่งนี้ได้ด้วยความสามารถของตนเอง พี่ชายของข้าหาได้พึ่งพาเส้นสายของตระกูลแต่อย่างใดไม่..." ซูเชียนหมิงรีบเดินเข้ามาประสานมือคำนับเย่เสวียนถิง ยามนี้ดูเหมือนท่าทีแฝงเจตนาร้ายแลไม่เป็นมิตรเมื่อก่อนหน้านี้จะสลายหายไปจนสิ้น "กระหม่อมซูเชียนหมิงเป็นพี่รองของนาง ยามนี้กระหม่อมเป็นหัวหน้าราชองครักษ์คอยอารักขาข้างพระวรกายฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ ข้าชื่นชมในความน่าเกรงขามของท่านอ๋องมานานและนับถือท่านจากใจจริง นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คงต้องฝากน้องสาวของข้าไว้กับท่านเสียแล้ว ท่านอ๋อง" วาจาเหล่านี้ทำให้ซูชิงอู่รู้สึกอุ่นใจ นางยิ้มพลางมองเย่เสวียนถิง สีหน้าของนางพึงพอใจอยู่บ้าง นางเองก็มีผู้หนุนหลังเช่นกัน สีหน้าเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นกลับทำให้นางแลดูงดงามสดใส ดวงตาคู่งามเต็มเปี่ยมไปด
ซูชิงอู่พาคนไปยังที่เรือนที่หลิงซื่อพักอาศัยอยู่ องครักษ์หลายนายจากตำหนักอ๋องที่ยืนอยู่ตรงประตู ล้วนมีท่าทีอยากจะบุกเข้าไป เย่เสวียนถิงที่ยืนอยู่เคียงข้างซูชิงอู่หรี่ตา จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "ทำลายทิ้งซะ" "พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง!" คนพวกนั้นวิ่งเข้ามาพร้อมเครื่องไม้เครื่องมือ จากนั้นก็ขนย้ายข้าวของทุกอย่างที่พวกเขาจะสามารถเอาไปได้ แล้วทุบทำลายข้าวของที่ไม่สามารถขนย้ายได้ พวกเขาดูเหมือนหัวขโมยกลุ่มหนึ่งก็มิปาน ซูชิงอู่มิได้รู้สึกเสียใจ อย่างไรเสียถ้าหากขนย้ายไปมิได้แล้วต้องทิ้งเอาไว้ที่นี่ ก็รังแต่จะถูกผู้อื่นนำไปใช้เสียเปล่า ๆ มิสู้ทำลายทิ้งให้สิ้นซากเสียดีกว่า นางเดินเข้ามาในห้องพลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง ทันใดนั้นก็หยุดฝีเท้าอยู่ตรงแจกันใบหนึ่ง สายตาของเย่เสวียนถิงคอยตามติดนาง เมื่อเห็นนางหมุนฐานแจกันด้วยท่าทีคล่องแคล่ว ภาพเขียนที่แขวนอยู่บนผนังทางด้านหน้าก็ร่วงหล่นลงมา เผยให้เห็นห้องลับที่อยู่ข้างหลัง ซูชิงอู่ยิ้มพลางกล่าวว่า "อยู่ตรงนี้อย่างที่คาดคิดเอาไว้จริง ๆ เสียด้วย" เมื่อเย่เสวียนถิงเห็นนางก้าวเข้ามาก็รีบขวางนางเอาไว้ทันที น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและเค
ตรงหน้าของนางคือหีบหยกแถวหนึ่ง โดยที่หีบแต่ละใบมีสมุนไพรที่ได้รับการเก็บรักษาเป็นอย่างดี มีสมุนไพรอยู่ทุกชนิด นับเป็นสมบัติที่ยากจะพบได้ในตลาด ลำพังแค่ต้นเดียวก็มีมูลค่าถึงหลายพันตำลึงทองแล้ว! ซูชิงอู่พลันดวงตาแดงก่ำขึ้นมาทันที พอนางนึกได้ว่าสุดท้ายของพวกนี้ล้วนถูกหลิงซื่อแลกเปลี่ยนเป็นสินเดิมให้แก่ซูเชียนหลิง โทสะระลอกหนึ่งก็อดมิได้ที่จะปะทุขึ้นมา นางอยากจะสับทั้งสองคนนี้ให้เป็นชิ้น ๆ นัก แต่นางรู้สึกว่าให้พวกนางตายเช่นนั้นคงจะง่ายดายเกินไปจริง ๆ ถ้าหากนางมิได้ทรมานพวกนางให้มากพอ นางจะบรรเทาความเกลียดชังลงได้อย่างไรกัน? ซูชิงอู่ก้าวเข้ามาสัมผัสหีบหยก ข้าวของเหล่านี้ล้วนเป็นของฟางอี๋ซิน เช่นเดียวกับตำรับโอสถอันเป็นสมบัติที่ยากจะพบเจอในพิภพ นางจึงเอ่ยขึ้นมาว่า "เสวียนถิง ข้าอยากจะเอาของพวกนี้กลับไปด้วย" "ได้สิ" เย่เสวียนถิงสั่งให้องครักษ์ที่อยู่ข้างนอกเข้ามาขนย้ายข้าวของออกไป หีบใบแล้วใบเล่าถูกใส่ลงไปในลังไม้ เมื่อซูชิงอู่เห็นว่าในที่สุดพวกมันก็หวนคืนสู่เจ้าของที่แท้จริง นางก็มองด้วยสายตาพึงพอใจอย่างล้ำลึก จากนั้นนางก็เดินไปยังหีบอีกใบซึ่งมีอัญมณีล้ำค่านับไม่ถ้วน ก
"โอ๊ย เจ็บเหลือเกิน หยุดนะ!" หลิงซื่อกรีดร้อง ทว่านางมิใช่คู่ประมือของซูชิงอู่ ต่อให้นางรับใช้ข้างกายทั้งสองคนคิดจะเข้ามาช่วย แต่พวกนางก็มิอาจขวางเอาไว้ได้ ซูชิงอู่ดึงปิ่นปักผมทองคำหลายเล่มที่อยู่บนศีรษะของอีกฝ่ายเอาไว้ในมือ เส้นผมบางส่วนของหลิงซื่อยังพันอยู่รอบปิ่นปักผม ผมของนางยุ่งเป็นกระเซิงแล้วล้มลงกับพื้น สิ้นสภาพราวกับขอทานผู้หนึ่ง ซูชิงอู่เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชาพร้อมแววยิ้มเยาะที่ผุดขึ้นมาจากมุมปากของนาง จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า "ท่านอ๋อง ไปกันเถอะ" "ซูชิงอู่!" เสียงตะโกนของหลิงซื่อดังสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทว่ากลับหามีผู้ใดสนใจนาง ราวกับว่าทั่วทั้งจวนอัครเสนาบดีถูกรื้อค้น และหลงเหลือเอาไว้เพียงของไร้ค่า ซูหัวจิ่นแต่งงานออกเรือนและย้ายออกจากจวนอัครเสนาบดีไปแล้ว ฉะนั้นเขาย่อมไม่สนใจว่าจวนอัครเสนาบดีจะลงเอยเช่นใด เขาจะพาซูฉางเซิงไปอยู่ด้วยเป็นการชั่วคราว ส่วนซูเชียนหมิง เขาลำพังตัวคนเดียวทั้งยังประจำการอยู่ในวังหลวงตลอดทั้งปี เขากลับมาเพียงเดือนละครั้งไม่ก็สองครั้งเท่านั้นซึ่งแน่นอนว่าย่อมมิได้ส่งผลกับเขา เมื่อซูชิงอู่เห็นหีบใบใหญ่หลายสิบใ
เมื่อมีกุญแจดอกนี้ ซูชิงอู่ก็สามารถใช้เงินได้ตามใจ เงินประจำเดือนของบ่าวรับใช้ในตำหนักก็ต้องให้นางอนุมัติจึงจะเบิกถอนได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ยามนี้ซูชิงอู่กุมอำนาจของพระชายาเอาไว้หมดแล้ว หลังจากกลับมาที่เรือนหลัก ซูชิงอู่ก็ตั้งป้ายวิญญาณของมารดาตนเองเอาไว้อีกห้อง จากนั้นก็ตระเตรียมทุกอย่างเพื่อจะได้จุดธูปเซ่นไหว้ทุกวัน จากนั้นนางก็พาตัวแม่นมหลินกลับมาแล้วขังนางเอาไว้ในห้องเก็บฟืนต่อไป เพราะนางรู้สึกว่าอีกฝ่ายคงจะมีความลับซุกซ่อนอยู่ มิหนำซ้ำยังเป็นความลับที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าถึงขนาดขอร้องแทนอีกฝ่าย... มิฉะนั้นเมื่อพิจารณาจากอุปนิสัยของฮูหยินผู้เฒ่า นางคงจัดการกับแม่เฒ่าอูที่มาถึงจวนเพื่อวิงวอนขอความเมตตาไปแล้ว ทว่าเรื่องกลับดำเนินมาถึงขั้นที่นางต้องสอดมือเข้ามายุ่งด้วยตนเอง ชะรอยเรื่องนี้คงจะมีเหตุผลอยู่เป็นแน่ ทันทีที่งานวิวาห์สิ้นสุดลง หลังจากกลับถึงตำหนัก วันรุ่งขึ้นเย่เสวียนถิงก็ต้องเดินทางมาเข้าเฝ้าถวายรายงาน จากนั้นข่าวเรื่องที่เมื่อวานนี้จวนอัครเสนาบดีถูกรื้อค้นก็แพร่สะพัดราวกับไฟลามทุ่งโดยมิทราบสาเหตุ ยิ่งไปกว่านั้น สตรีทุกนางของตระกูลซูต่างก็ล้มหมอนนอนเสื่อใน
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้