ซูชิงอู่พาคนไปยังที่เรือนที่หลิงซื่อพักอาศัยอยู่ องครักษ์หลายนายจากตำหนักอ๋องที่ยืนอยู่ตรงประตู ล้วนมีท่าทีอยากจะบุกเข้าไป เย่เสวียนถิงที่ยืนอยู่เคียงข้างซูชิงอู่หรี่ตา จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "ทำลายทิ้งซะ" "พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง!" คนพวกนั้นวิ่งเข้ามาพร้อมเครื่องไม้เครื่องมือ จากนั้นก็ขนย้ายข้าวของทุกอย่างที่พวกเขาจะสามารถเอาไปได้ แล้วทุบทำลายข้าวของที่ไม่สามารถขนย้ายได้ พวกเขาดูเหมือนหัวขโมยกลุ่มหนึ่งก็มิปาน ซูชิงอู่มิได้รู้สึกเสียใจ อย่างไรเสียถ้าหากขนย้ายไปมิได้แล้วต้องทิ้งเอาไว้ที่นี่ ก็รังแต่จะถูกผู้อื่นนำไปใช้เสียเปล่า ๆ มิสู้ทำลายทิ้งให้สิ้นซากเสียดีกว่า นางเดินเข้ามาในห้องพลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง ทันใดนั้นก็หยุดฝีเท้าอยู่ตรงแจกันใบหนึ่ง สายตาของเย่เสวียนถิงคอยตามติดนาง เมื่อเห็นนางหมุนฐานแจกันด้วยท่าทีคล่องแคล่ว ภาพเขียนที่แขวนอยู่บนผนังทางด้านหน้าก็ร่วงหล่นลงมา เผยให้เห็นห้องลับที่อยู่ข้างหลัง ซูชิงอู่ยิ้มพลางกล่าวว่า "อยู่ตรงนี้อย่างที่คาดคิดเอาไว้จริง ๆ เสียด้วย" เมื่อเย่เสวียนถิงเห็นนางก้าวเข้ามาก็รีบขวางนางเอาไว้ทันที น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและเค
ตรงหน้าของนางคือหีบหยกแถวหนึ่ง โดยที่หีบแต่ละใบมีสมุนไพรที่ได้รับการเก็บรักษาเป็นอย่างดี มีสมุนไพรอยู่ทุกชนิด นับเป็นสมบัติที่ยากจะพบได้ในตลาด ลำพังแค่ต้นเดียวก็มีมูลค่าถึงหลายพันตำลึงทองแล้ว! ซูชิงอู่พลันดวงตาแดงก่ำขึ้นมาทันที พอนางนึกได้ว่าสุดท้ายของพวกนี้ล้วนถูกหลิงซื่อแลกเปลี่ยนเป็นสินเดิมให้แก่ซูเชียนหลิง โทสะระลอกหนึ่งก็อดมิได้ที่จะปะทุขึ้นมา นางอยากจะสับทั้งสองคนนี้ให้เป็นชิ้น ๆ นัก แต่นางรู้สึกว่าให้พวกนางตายเช่นนั้นคงจะง่ายดายเกินไปจริง ๆ ถ้าหากนางมิได้ทรมานพวกนางให้มากพอ นางจะบรรเทาความเกลียดชังลงได้อย่างไรกัน? ซูชิงอู่ก้าวเข้ามาสัมผัสหีบหยก ข้าวของเหล่านี้ล้วนเป็นของฟางอี๋ซิน เช่นเดียวกับตำรับโอสถอันเป็นสมบัติที่ยากจะพบเจอในพิภพ นางจึงเอ่ยขึ้นมาว่า "เสวียนถิง ข้าอยากจะเอาของพวกนี้กลับไปด้วย" "ได้สิ" เย่เสวียนถิงสั่งให้องครักษ์ที่อยู่ข้างนอกเข้ามาขนย้ายข้าวของออกไป หีบใบแล้วใบเล่าถูกใส่ลงไปในลังไม้ เมื่อซูชิงอู่เห็นว่าในที่สุดพวกมันก็หวนคืนสู่เจ้าของที่แท้จริง นางก็มองด้วยสายตาพึงพอใจอย่างล้ำลึก จากนั้นนางก็เดินไปยังหีบอีกใบซึ่งมีอัญมณีล้ำค่านับไม่ถ้วน ก
"โอ๊ย เจ็บเหลือเกิน หยุดนะ!" หลิงซื่อกรีดร้อง ทว่านางมิใช่คู่ประมือของซูชิงอู่ ต่อให้นางรับใช้ข้างกายทั้งสองคนคิดจะเข้ามาช่วย แต่พวกนางก็มิอาจขวางเอาไว้ได้ ซูชิงอู่ดึงปิ่นปักผมทองคำหลายเล่มที่อยู่บนศีรษะของอีกฝ่ายเอาไว้ในมือ เส้นผมบางส่วนของหลิงซื่อยังพันอยู่รอบปิ่นปักผม ผมของนางยุ่งเป็นกระเซิงแล้วล้มลงกับพื้น สิ้นสภาพราวกับขอทานผู้หนึ่ง ซูชิงอู่เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชาพร้อมแววยิ้มเยาะที่ผุดขึ้นมาจากมุมปากของนาง จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า "ท่านอ๋อง ไปกันเถอะ" "ซูชิงอู่!" เสียงตะโกนของหลิงซื่อดังสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทว่ากลับหามีผู้ใดสนใจนาง ราวกับว่าทั่วทั้งจวนอัครเสนาบดีถูกรื้อค้น และหลงเหลือเอาไว้เพียงของไร้ค่า ซูหัวจิ่นแต่งงานออกเรือนและย้ายออกจากจวนอัครเสนาบดีไปแล้ว ฉะนั้นเขาย่อมไม่สนใจว่าจวนอัครเสนาบดีจะลงเอยเช่นใด เขาจะพาซูฉางเซิงไปอยู่ด้วยเป็นการชั่วคราว ส่วนซูเชียนหมิง เขาลำพังตัวคนเดียวทั้งยังประจำการอยู่ในวังหลวงตลอดทั้งปี เขากลับมาเพียงเดือนละครั้งไม่ก็สองครั้งเท่านั้นซึ่งแน่นอนว่าย่อมมิได้ส่งผลกับเขา เมื่อซูชิงอู่เห็นหีบใบใหญ่หลายสิบใ
เมื่อมีกุญแจดอกนี้ ซูชิงอู่ก็สามารถใช้เงินได้ตามใจ เงินประจำเดือนของบ่าวรับใช้ในตำหนักก็ต้องให้นางอนุมัติจึงจะเบิกถอนได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ยามนี้ซูชิงอู่กุมอำนาจของพระชายาเอาไว้หมดแล้ว หลังจากกลับมาที่เรือนหลัก ซูชิงอู่ก็ตั้งป้ายวิญญาณของมารดาตนเองเอาไว้อีกห้อง จากนั้นก็ตระเตรียมทุกอย่างเพื่อจะได้จุดธูปเซ่นไหว้ทุกวัน จากนั้นนางก็พาตัวแม่นมหลินกลับมาแล้วขังนางเอาไว้ในห้องเก็บฟืนต่อไป เพราะนางรู้สึกว่าอีกฝ่ายคงจะมีความลับซุกซ่อนอยู่ มิหนำซ้ำยังเป็นความลับที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าถึงขนาดขอร้องแทนอีกฝ่าย... มิฉะนั้นเมื่อพิจารณาจากอุปนิสัยของฮูหยินผู้เฒ่า นางคงจัดการกับแม่เฒ่าอูที่มาถึงจวนเพื่อวิงวอนขอความเมตตาไปแล้ว ทว่าเรื่องกลับดำเนินมาถึงขั้นที่นางต้องสอดมือเข้ามายุ่งด้วยตนเอง ชะรอยเรื่องนี้คงจะมีเหตุผลอยู่เป็นแน่ ทันทีที่งานวิวาห์สิ้นสุดลง หลังจากกลับถึงตำหนัก วันรุ่งขึ้นเย่เสวียนถิงก็ต้องเดินทางมาเข้าเฝ้าถวายรายงาน จากนั้นข่าวเรื่องที่เมื่อวานนี้จวนอัครเสนาบดีถูกรื้อค้นก็แพร่สะพัดราวกับไฟลามทุ่งโดยมิทราบสาเหตุ ยิ่งไปกว่านั้น สตรีทุกนางของตระกูลซูต่างก็ล้มหมอนนอนเสื่อใน
ถึงแม้ว่าซูชิงอู่จะรู้ว่าโจวหรุ่ยมิได้เชิญนางเข้ามาด้วยเจตนาดี แต่ยามที่นางเห็นเย่อวิ๋นถูก็ยังตะลึงงันไปชั่วขณะ ทันใดนั้นนางก็รีบทำสีหน้าตื่นตกใจแล้วหันหลังวิ่งออกไปข้างนอก "ช่วยด้วย มีมือสังหารเจ้าค่ะ!" ทั้งสองคนในห้องต่างตกตะลึงกับท่าทางที่จู่ ๆ ก็เปลี่ยนไปของซูชิงอู่ ต่อให้เย่อวิ๋นถูนึกถึงฉากที่ได้พบซูชิงอู่มานับไม่ถ้วน เขาก็มิคาดว่าเหตุการณ์จะพลิกผันเช่นนี้ อย่างไรเสียนี่ก็คือจวนเสนาบดีกรมพระคลัง หลังจากได้ยินเสียงตะโกนของซูชิงอู่ บ่าวรับใช้นับไม่ถ้วนก็วิ่งเข้ามาทันที องครักษ์ในจวนเองก็มาถึงประตูเรือนเช่นกัน บรรดาบ่าวรับใช้กับนางรับใช้ที่ซูชิงอู่พามาด้วยต่างรีบเข้ามาล้อมนางเอาไว้ "พระชายา เกิดอันใดขึ้นกระนั้นหรือ!" ซูชิงอู่มีสีหน้าตื่นตระหนก จากนั้นนางก็ชี้มาที่ห้องของโจวหรุ่ยด้วยมือไม้อันสั่นเทาพร้อมสีหน้าซีดเผือด "มะ... เมื่อสักครู่ตอนที่ข้าเดินเข้าห้องมาพร้อมกับคุณหนูโจว จู่ ๆ ข้าก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งอยู่ข้างใน อย่างไรเสียแม่นางโจวก็ยังเป็นสตรีที่ยังมิได้ออกเรือน เช่นนั้นจะมีคนแปลกหน้าอยู่ในห้องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ดังนั้นข้าจึงรู้สึกหวาดกลัวเหลือเกิน..." ทันท
ซูชิงอู่ใช่นิ้วหัวแม่มือถูข้อนิ้วเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มที่กดลึกขึ้นเรื่อย ๆ สีหน้าของโจวหรุ่ยพลันแปรเปลี่ยน ยิ่งนางได้ฟังกลับยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก บุรุษร่างสูงเพรียวที่มีสีหน้าเย็นชาผู้หนึ่งก้าวเดินออกมาจากข้างใน ตอนนี้ทุกคนต่างตื่นตกใจแล้วสายตาของพวกเขาก็จับจ้องมาที่เขา ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งตระกูลโจวรีบแสดงคำนับด้วยท่าทีตื่นตระหนก "ถวายบังคมองค์ชายสามเพคะ!" ฮูหยินโจวเองก็รู้สึกตกตะลึง นางจ้องมองบุรุษที่เดินออกมาจากห้องของบุตรีด้วยสีหน้าตื่นตะลึง นางรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นจวนจะล้มลงกับพื้นอยู่รอมร่อ "อะ...องค์ชายสามเสด็จ ขออภัยที่พวกหม่อมฉันมิได้ต้อนรับให้ดีเพคะ..." โจวหรุ่ยกัดริมฝีปากและสีหน้าซีดเผือด ยามนี้ทุกคนในเรือนต่างก็เห็นองค์ชายสามออกมาจากห้องของนาง ซูชิงอู่มิได้ใส่ใจอารมณ์ของทุกคนรอบตัวพลางเอ่ยเสียงดังลั่นขึ้นมาว่า "ที่แท้ก็เป็นองค์ชายสามนี่เอง ข้าก็นึกว่าเป็นมือสังหารหรือโจรเด็ดบุปผาคนใดที่เข้ามาเสียอีก กลางวันแสก ๆ อยู่แท้ ๆ องค์ชายสามก็ลอบเข้ามาในห้องของสตรี ใช่กำลังจะกระทำเรื่องน่าอับอายในหอห้องหรือไม่?" ดวงตาของโจวหร
ยิ่งฟัง เย่อวิ๋นถูก็ยิ่งโกรธจัด เมื่อก่อนซูชิงอู่มักจะนอบน้อมเอาใจใส่และรอบคอบต่อเขาเสมอมา เขาสั่งให้นางไปทิศตะวันออก นางก็ไม่มีทางไปทิศตะวันตก... ทว่ายามนี้ ดูเหมือนว่านางจะกลายเป็นเม่นที่มีหนามรอบตัว เขาแค่เข้าใกล้นิดเดียว ใบหน้าก็ถูกทิ่มแทงจนได้เลือดเสียแล้ว! เย่อวิ๋นถูเคยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เขาชะงักฝีเท้าพลางข่มกลั้นโทสะที่กำลังปะทุขึ้นมา "ชิงอู่ มาละวางอดีตอันมิน่าอภิรมย์แล้วมาคุยกันดี ๆ เถอะ!" ซูชิงอู่ยิ้มเยาะเย็นชา "ท่านกับข้าหามีสิ่งใดต้องพูดคุยกันอีกไม่" สีหน้าของเย่อวิ๋นถูแสดงความเจ็บปวดออกมา ราวกับซูชิงอู่เป็นสตรีไร้หัวจิตหัวใจที่ทอดทิ้งเขาไป! "อย่างไรเสียหลายปีมานี้พวกเราก็เติบโตขึ้นมาด้วยกัน เจ้าไร้หัวจิตหัวใจถึงขนาดนั้นได้เชียวหรือ?" ซูชิงอู่เลิกคิ้ว "ข้าหามีความรู้สึกให้ท่านไม่ เช่นนั้นจะบอกว่าข้าไร้หัวจิตหัวใจได้อย่างไรกัน?" เย่อวิ๋นถูโกรธจัด "เจ้าสงบสติอารมณ์แล้วพูดคุยกับข้าดี ๆ มิได้หรือ?" ซูชิงอู่ยักไหล่ด้วยท่าทีไม่นำพาใส่ใจ "ข้าใช่ว่าจะมีเวลามาเสวนากับสุนัขให้มากนักหรอกนะ" เมื่อได้ยินวาจาจาบจ้วงของซูชิงอู่ เย่อวิ๋นถ
นางยกมือข้างหนึ่งปิดปากตนเอง สีหน้าเผยแววประหลาดใจอยู่บ้าง จากนั้นนางก็หลุบตาลงเล็กน้อยพลางเอ่ยถามต่อหน้าทุกคนว่า "อ้อ ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นพี่สะใภ้ของท่าน องค์ชายสามก็มิจำเป็นต้องมอบของขวัญชิ้นใหญ่เช่นนี้ก็ได้ นี่มิใช่วันปีใหม่หรือวันเทศกาลเลย ข้าไม่ตกรางวัลให้ท่านหรอกนะ..." "อันใดนะ ท่านมิอยากลุกขึ้นกระนั้นหรือ? ท่านกำลังขอโทษที่เมื่อสักครู่ล่วงเกินข้าใช่หรือไม่? องค์ชายสามช่างเกรงใจเกินไปแล้วจริง ๆ..." เย่อวิ๋นถูโมโหจนตัวสั่น ทว่าริมฝีปากและฟันกลับชาหนึบจนเขาส่งเสียงไม่ออก หามีผู้ใดทราบไม่ว่ามีเข็มเงินเล่มเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ในเล็บมือของซูชิงอู่ เมื่อชีวิตตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้อื่น เย่อวิ๋นถูก็ราวกับเนื้อปลาบนเขียงที่พร้อมจะถูกแล่ได้ทุกเมื่อ เจตนาสังหารพลันปะทุขึ้นในใจ นับเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เย่อวิ๋นถูคิดจะทรมานคนให้ถึงตาย ซูชิงอู่...ซูชิงอู่! ! เสียงตะโกนของบ่าวรับใช้ที่เคาะหม้อไหอยู่นอกประตูแพร่สะพัดออกไป ดึงดูดความสนใจของผู้สัญจรไปมาให้หยุดมองพลางชี้ไม้ชี้มือมาที่จวนเสนาบดีกรมพระคลัง โจวหรุ่ยร้องไห้หนักเสียจนหายใจแทบไม่ออก ท่าทีแสร้งเป็นมิตรก่อนหน้านี้ที่มีต่อซูชิงอู่