หลังจากเย่เสวียนถิงก้าวเท้าพ้นประตู ภาพที่เขาเห็นคือซูชิงอู่คว้าข้อมือของเย่อวิ๋นถูอยู่และเย่อวิ๋นถูที่กำลังคุกเข่าต่อหน้านางเขาหยุดชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย มองดูเหตุการณ์ด้วยความสับสนเขารู้ดีว่าเย่อวิ๋นถูเป็นคนเช่นไร เขาจะคุกเข่าลงให้นางได้อย่างไร?แม้ว่าเขาจะเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่หากไม่ใช่งานประเพณีหรือบางโอกาสที่พิเศษ เขาก็ไม่จำเป็นที่ต้องคุกเข่าลงเช่นนี้เมื่อซูชิงอู่ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น นางก็หันกลับไปมองทันที จึงได้เห็นเย่เสวียนถิงยืนอยู่ ใบหน้าของนางไร้ซึ่งความกังวลใจ อีกทั้งยังคลี่ยิ้มหวานออกมาด้วยรอยยิ้มนั้นสดใสมากจนผู้คนไม่อาจละสายตาได้ซูชิงอู่ค่อย ๆ ปล่อยมือของนางแล้วก้าวถอยหลังอาการชาของเย่ออวื๋นถูหายไป เขาค่อย ๆ รู้สึกได้ถึงแขนขาของตนเองอีกครั้ง ก่อนจะบีบนวดที่ฝ่ามือและพยายามหยัดกายลุกขึ้นยืนเขามายังจวนซ่างซูอย่างลับ ๆ เพียงลำพัง เช่นนั้นแล้วในเวลานี้จึงไม่มีใครเข้ามารบกวนเขาได้ก่อนที่เย่เสวียนถิงจะทันได้เปิดปากพูด ซูชิงอู่ก็เข้ามาหาเขาอย่างร่าเริง นางเชิดคางขึ้น เอามือไพล่ไว้ด้านหลัง นางดูใสซื่อและไร้เดียงสาทันทีในสายตาของเขา“เสวียนถิง เหตุใดท
ดวงตาของเย่อวิ๋นถูดูดุร้าย ความไม่พอใจที่ปรากฏชัดในดวงตาของเขาคล้ายจะเอ่อล้นออกมาเมื่อถูกเปิดเผย เขาเย้ยหยันและพูดขึ้นว่า "ซูชิงอู่มีความรักอันลึกซึ้งต่อข้ามาตลอด ไม่มีทางที่นางจะชอบเจ้า ตราบใดที่ข้าไม่ยอมปล่อยนางไป นางก็จะกลับมาอยู่ข้าง ๆ ข้าคนนี้วันยันค่ำ!"เมื่อซูชิงอู่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ดวงตาก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน“ท้องฟ้าแจ่มใส ดวงอาทิตย์ก็สดใสเช่น ท่านมัวมาฝันกลางวันอะไรอยู่ องค์ชายสาม?”ในอดีตนางเป็นเพียงคนโง่เขลา นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงถูกคนเจ้าเล่ห์เหล่านี้หลอกลวง!เย่อวิ๋นถูไม่เคยเอ่ยปากว่าชอบนางเลยสักครั้ง แต่นางกลับเข้าใจผิดคิดไปเองว่านางกับเขารักกัน…เมื่อก่อนนางหลงเชื่ออีกฝ่ายอย่างสุดหัวใจเพียงเพราะการกระทำอันคลุมเครือและคำพูดให้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของอีกฝ่าย ครานั้นนางแทบจะมอบทั้งหมดของหัวใจให้กับเขาทว่าหากไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่ของนางถูกลอบสังหารระหว่างการเดินทางจนทำให้ได้รู้ว่าเย่อวิ๋นถูเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด นางคงจะยอมมอบตำรับยาเกือบทั้งหมดของตระกูลฝางให้เขาไปแล้ว…ซูชิงอู่ไม่ได้ปฏิเสธตัวตนที่โง่เขลาอย่างโงหัวไม่ขึ้นของนางแต่ตอนนี้หัวใจ
นี่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนสตรีที่อยู่ข้างหน้าเขายังคงเป็นซูชิงอู่ที่เขารู้จักแต่ทว่า บุคลิกของนางก็นับว่าเปลี่ยนไปจริง ๆ เช่น เมื่อก่อนนางเคยใจดีต่อผู้อื่นและไม่เคยทะเลาะกับผู้ใดเลยนางเชื่อฟังบิดามารดาและย่าของตนเป็นอย่างมาก รวมทั้งเชื่อฟังคำพูดของเย่อวิ๋นถูอีกด้วย…แต่ตอนนี้นางเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ และไม่ใช่ว่านางแสร้งทำเสียอีกต่างหากเย่เสวียนถิงยังคงไตร่ตรองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ราวกับว่ามีกำแพงกั้นอยู่เหนือเขา ทำให้เขามองไม่เห็นความจริง ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใดก็ตามทันทีที่นางกลับมาถึงจวนอ๋อง ซูชิงอู่ก็ผลักเย่เสวียนถิงเข้าไปในห้องของนางทันทีนางตรวจดูขาของเขาอย่างระมัดระวัง สีหน้าดูไม่พอใจ“ยังไม่ทันหายดีท่านก็ขี่ม้าวิ่งวุ่นไปทั่ว ท่านไม่คิดจะเอาขาไว้อีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่?”นางมุ่ยหน้าด้วยความโกรธเคืองเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองของนางกลมโตเป็นประกายสิ่งที่เย่เสวียนถิงรู้สึกได้คือความห่วงใยอันลึกซึ้งเสียงของเขาทุ้มต่ำและแหบเล็กน้อย "อาอู่ มานี่หน่อย"เมื่อซูชิงอู่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น นางก็มองเขาด้วยความสงสัยจากนั้นนางก็โน้มตัวเข้าไปใกล้เขาอย่างเชื่อฟัง ร่า
"ปัง!"ซูชิงอู่ตบโต๊ะหัวใจของอวิ๋นจื่อเต้นรัว เมื่อนางเห็นสีหน้าโกรธแค้นบนใบหน้าของซูชิงอู่ดวงตาสีดำสนิทเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยความโกรธเช่นกันโต๊ะที่นางเพิ่งตบก็ปรากฏรอยแยกตรงกลางอวิ๋นจื่อคล้ายจะเวียนศีรษะแต่ทว่ามีเพียงเท้าได้รูปราวกับหยกโผล่ออกมาจากม่าน ผมเส้นยาวและนุ่มสลวยของซูชิงอู่พาดลงบนไหล่ของนาง แม้ว่าจะไม่แต่งหน้า แต่พวงแก้มสีขาวอมชมพูก็ยังคงสวยงามอยู่นิ้วเรียวยาวดังลำเทียน ผิวขาวดุจหิมะ คอยาวราวกับหงส์ ฟันเรียงสวยราวกับเม็ดข้าวโพด…พระชายาสมควรได้รับถ้อยคำชมเชยทั้งหมดในโลกนี้เพื่อบรรยายถึงนางอวิ๋นจื่อรู้สึกเพียงว่าองค์ชายสามเย่อวิ๋นถูผู้นั้นตาบอด เขามองไม่เห็นความงามของซูชิงอู่เลยแม้แต่น้อยแน่นอนว่านางลืมข้อบกพร่องบางอย่างของบุรุษไป เช่นของที่ได้มาง่าย ๆ มักจะไม่ได้รับการยกย่องอวิ๋นจื่อก้มศีรษะลงแล้วกระซิบว่า “ทางฝั่งของอัครเสนาบดีซู ฮูหยินผู้เฒ่าและหลิงซื่อต่างก็ป่วยหนัก อัครเสนาบดีซูได้เชิญหมอหลวงมารักษาพวกนางแต่อาการก็ไม่ดีขึ้นเลย และด้วยความโกรธนายท่านซูก็พลั้งปากพูดออกไปว่าจะตัดสัมพันธ์พ่อลูกกับท่าน…”ซูชิงอู่ยิ้มทันทีหลังจากที่ได้ยินแม้ว่าอัครเสนาบดี
เหล่าองครักษ์ที่ทางเข้าจวนขององค์ชายสาม มีสีหน้าตึงเครียดขึ้นทันที เมื่อสังเกตเห็นซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงอยู่หน้าประตูเขาหวังเพียงว่าหากเป็นไปได้ เขาอยากจะติดประกาศหน้าจวนว่าห้ามซูชิงอู่และสุนัขรับใช้ของนางเข้ามาข้างในแต่ทว่าเย่เสวียนถิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าประตูพร้อมกับรัศมีความแข็งแกร่ง ดวงตาหงส์ของเขาจ้องมองเหล่าองค์รักษ์ด้วยแววตาเยือกเย็นแววตานั้นทำให้หลายคนกลัวจนขาแข้งอ่อนในทันที“กรุณารอสักครู่ กระหม่อมจะไปรายงาน... เดี๋ยวนี้!”ไม่นานหลังจากนั้น ก็ปรากฏร่าง ๆ หนึ่งเดินออกมาจากข้างในด้วยความรีบร้อนเย่อวิ๋นถูซึ่งสวมชุดแต่งงานสีแดง มองดูคนทั้งสองที่ยืนอยู่นอกประตูด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว“ดูเหมือนว่าองค์ชายสามจะไม่ได้ส่งเทียบเชิญถึงท่านทั้งสอง!”ซูชิงอู่ยิ้มระรื่น นางไม่สนใจสายตาเย็นชาของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย“เทียบเชิญจะสำคัญอะไร เขาคือเสด็จพี่ของท่านและหม่อมฉันก็ไม่ใช่คนนอก ยิ่งกว่านั้น ทุกคนในเมืองหลวงก็ดูเหมือนจะรู้ว่าหม่อมฉันเป็นแม่สื่อแม่ชักให้กับองค์ชายสามกับแม่นางโจวไม่ใช่หรือ? หากหม่อมฉันไม่ได้เข้าร่วมอวยพรให้ท่านทั้งสองในงานอภิเษก เช่นนี้แล้วจะไม่แปลกไปหน่อยหรื
เมื่อองค์ชายสามมีงานรื่นเริง แม้ว่าจะเป็นงานเล็ก ๆ แต่ขุนนางส่วนใหญ่ในเมืองหลวงก็ย่อมต้องมารวมตัวกัน อัครเสนาบดีซูจึงอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นไปโดยปริยายรวมถึงซูเชียนหลิงด้วย นางนั่งอยู่ในที่นั่งฝั่งญาติเจ้าสาวเหมือนกันบุตรสาวของขุนนางข้างกายซูเชียนหลิงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า "นั่นชายาเสวียนอ๋องไม่ใช่หรือ?!"“พี่หญิงเชียนหลิง นางไม่อาจเป็นน้องสาวของท่านได้แล้วใช่หรือไม่? นางทำให้ท่านแม่และท่านย่าของท่านป่วย อีกทั้งยังจงใจใส่ร้ายท่านด้วย…”ซูเชียนหลิงพยักหน้าน้อย ๆ เมื่อนางได้ยินสิ่งนี้นางกัดริมฝีปากด้วยสีหน้าขุ่นเคือง“ข้าเองก็ไม่คิดเลยว่าจะเจอนางที่นี่เช่นกัน”“ตระกูลซูของท่านมีสตรีเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นสตรีที่เมื่อออกเรือนไปแล้ว อกตัญญูทันทีเฉกเช่นนาง”“ข้าได้ยินมาว่าอัครเสนาบดีซูตัดความสัมพันธ์บิดาบุตรกับนางโดยตรง ข้าเกรงว่าในอนาคตแม้แต่บ้านเดิมนางก็ไม่อาจจะกลับไปได้เสียด้วยซ้ำ...”“ถ้าท่านอ๋องเสวียนไม่พอใจนางและหย่ากับนางขึ้นมา นางจะไม่กลายเป็นพวกเร่ร่อนหรือ?”“ท่านอ๋องเสวียนมีสถานะสูงส่ง เขาจะมีเพียงนางผู้เดียวได้อย่างไร? ตอนนี้นางอาศัยว่าได
จมูกของซูเชียนหลิงแทบจะบิดเบี้ยวจากคำพูดยั่วยุของซูชิงอู่ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยอารมณ์โกรธ ไม่อาจปริปากพูดอะไรออกมาได้ เหล่าสตรีที่อยู่ใกล้ ๆ นาง อีกทั้งยังเป็นเพื่อนกับนางด้วย เกิดทนดูไม่ไหวอีกต่อไปและกำลังจะพุ่งเข้ามาแต่ทว่า เสียงเย็นเยียบของเย่เสวียนถิงก็ดังก้องอยู่ในหูของใครหลายคน "เจ้ากล้าหยาบคายต่อพระชายาเช่นนั้นหรือ? ไปเอาความกล้าเช่นนี้มาจากที่ใดกัน?"เขาเดินไปหยุดอยู่ที่ด้านข้างของซูชิงอู่ร่างสูงของเขามีรัศมีที่แข็งแกร่งและท่วมท้นอย่างมากใบหน้าที่เย็นชาและหล่อเหลานั้นเต็มไปด้วยรัศมีอันเยือกเย็นและความชั่วร้ายที่อาจทำให้ขาอ่อนแรงได้อย่างง่ายดายเขาเดินไปหาซูชิงอู่ รอบ ๆ กายปรากฏรัศมีอันรุนแรงท่วมท้นใบหน้าของเขาทั้งงดงาม เยือกเย็น และแฝงไปด้วยเจตนาสังหาร เหล่าสตรีที่ไม่เคยพบเห็น ต่างขวัญเสีย พากันรีบถอยหลังไปสองก้าวอย่างหวาดหวั่นทันทีหลายคนที่เดิมทีเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง และต้องการต่อล้อต่อเถียงกับซูชิงอู่ต่างก็ก้มหน้าลงเช่นกันดวงตาของซูเชียนหลิงแดงก่ำด้วยความโกรธ เมื่อนางเห็นว่าน้องสาวตัวน้อยของนางทำให้เรื่องราวใหญ่โตนางแสดงออกราวกับทุกคนในโลกนี้ทรยศต่อนางทั
มุมปากของซูเชียนหลิงกระตุก ความขับข้องใจทำให้นางหายใจไม่ออกและการถูกดูหมิ่นเหยียดหยามทำให้น้ำตาของนางรินไหลมากยิ่งขึ้นเย่อวิ๋นถูตบหลังนางเบา ๆ ด้วยความห่วงใยจากนั้นเขาจึงจ้องมองไปที่เย่เสวียนถิงและพูดว่า "องค์ชายรอง เหมาะสมแล้วหรือที่เจ้าจะกล่าวกับสตรีเช่นนี้?"เย่เสวียนถิงเชิดคางขึ้นอย่างไม่แยแส "หากสตรีนางนั้นเป็นคนร้าย ต้องฆ่านางทิ้งเสีย!"ซูเชียนหลิงตัวสั่นเมื่อนางได้ยินสิ่งนี้ทุกคนรวมตัวกันอยู่ด้านหลังเย่อวิ๋นถูเย่อวิ๋นถูคิดไม่ถึงว่าเย่เสวียนถิงจะพูดเช่นนั้น เขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า "แม่นางซูทำให้ชายาเสวียนขุ่นเคืองเมื่อใด? หากนางไม่สามารถบอกต้นสายปลายเหตุได้ นางก็ควรก้มหัวขอโทษและยอมรับผิด ที่ดูหมิ่นและเหยียดหยามเชียนหลิง!”ซูชิงอู่มองไปยังร่างของซูเชียนหลิงที่เกือบจะแนบชิดกับร่างของเย่อวิ๋นถู มุมปากของนางก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยทุกคนจ้องมองไปยังพวกเขา ไม่กล้าเข้าไปแทรกแซงความขัดแย้งระหว่างองค์ชายทั้งสอง แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งมาจากข้างหลังพวกเขาทุกคนหันไปมอง เห็นร่าง ๆ หนึ่งสวมชุดอภิเษกสีแดงปรากฏขึ้นตรงหน้าผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวของโจวหรุ่ย
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้