ดวงตาของเย่อวิ๋นถูดูดุร้าย ความไม่พอใจที่ปรากฏชัดในดวงตาของเขาคล้ายจะเอ่อล้นออกมาเมื่อถูกเปิดเผย เขาเย้ยหยันและพูดขึ้นว่า "ซูชิงอู่มีความรักอันลึกซึ้งต่อข้ามาตลอด ไม่มีทางที่นางจะชอบเจ้า ตราบใดที่ข้าไม่ยอมปล่อยนางไป นางก็จะกลับมาอยู่ข้าง ๆ ข้าคนนี้วันยันค่ำ!"เมื่อซูชิงอู่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ดวงตาก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน“ท้องฟ้าแจ่มใส ดวงอาทิตย์ก็สดใสเช่น ท่านมัวมาฝันกลางวันอะไรอยู่ องค์ชายสาม?”ในอดีตนางเป็นเพียงคนโง่เขลา นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงถูกคนเจ้าเล่ห์เหล่านี้หลอกลวง!เย่อวิ๋นถูไม่เคยเอ่ยปากว่าชอบนางเลยสักครั้ง แต่นางกลับเข้าใจผิดคิดไปเองว่านางกับเขารักกัน…เมื่อก่อนนางหลงเชื่ออีกฝ่ายอย่างสุดหัวใจเพียงเพราะการกระทำอันคลุมเครือและคำพูดให้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของอีกฝ่าย ครานั้นนางแทบจะมอบทั้งหมดของหัวใจให้กับเขาทว่าหากไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่ของนางถูกลอบสังหารระหว่างการเดินทางจนทำให้ได้รู้ว่าเย่อวิ๋นถูเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด นางคงจะยอมมอบตำรับยาเกือบทั้งหมดของตระกูลฝางให้เขาไปแล้ว…ซูชิงอู่ไม่ได้ปฏิเสธตัวตนที่โง่เขลาอย่างโงหัวไม่ขึ้นของนางแต่ตอนนี้หัวใจ
นี่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนสตรีที่อยู่ข้างหน้าเขายังคงเป็นซูชิงอู่ที่เขารู้จักแต่ทว่า บุคลิกของนางก็นับว่าเปลี่ยนไปจริง ๆ เช่น เมื่อก่อนนางเคยใจดีต่อผู้อื่นและไม่เคยทะเลาะกับผู้ใดเลยนางเชื่อฟังบิดามารดาและย่าของตนเป็นอย่างมาก รวมทั้งเชื่อฟังคำพูดของเย่อวิ๋นถูอีกด้วย…แต่ตอนนี้นางเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ และไม่ใช่ว่านางแสร้งทำเสียอีกต่างหากเย่เสวียนถิงยังคงไตร่ตรองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ราวกับว่ามีกำแพงกั้นอยู่เหนือเขา ทำให้เขามองไม่เห็นความจริง ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใดก็ตามทันทีที่นางกลับมาถึงจวนอ๋อง ซูชิงอู่ก็ผลักเย่เสวียนถิงเข้าไปในห้องของนางทันทีนางตรวจดูขาของเขาอย่างระมัดระวัง สีหน้าดูไม่พอใจ“ยังไม่ทันหายดีท่านก็ขี่ม้าวิ่งวุ่นไปทั่ว ท่านไม่คิดจะเอาขาไว้อีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่?”นางมุ่ยหน้าด้วยความโกรธเคืองเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองของนางกลมโตเป็นประกายสิ่งที่เย่เสวียนถิงรู้สึกได้คือความห่วงใยอันลึกซึ้งเสียงของเขาทุ้มต่ำและแหบเล็กน้อย "อาอู่ มานี่หน่อย"เมื่อซูชิงอู่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น นางก็มองเขาด้วยความสงสัยจากนั้นนางก็โน้มตัวเข้าไปใกล้เขาอย่างเชื่อฟัง ร่า
"ปัง!"ซูชิงอู่ตบโต๊ะหัวใจของอวิ๋นจื่อเต้นรัว เมื่อนางเห็นสีหน้าโกรธแค้นบนใบหน้าของซูชิงอู่ดวงตาสีดำสนิทเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยความโกรธเช่นกันโต๊ะที่นางเพิ่งตบก็ปรากฏรอยแยกตรงกลางอวิ๋นจื่อคล้ายจะเวียนศีรษะแต่ทว่ามีเพียงเท้าได้รูปราวกับหยกโผล่ออกมาจากม่าน ผมเส้นยาวและนุ่มสลวยของซูชิงอู่พาดลงบนไหล่ของนาง แม้ว่าจะไม่แต่งหน้า แต่พวงแก้มสีขาวอมชมพูก็ยังคงสวยงามอยู่นิ้วเรียวยาวดังลำเทียน ผิวขาวดุจหิมะ คอยาวราวกับหงส์ ฟันเรียงสวยราวกับเม็ดข้าวโพด…พระชายาสมควรได้รับถ้อยคำชมเชยทั้งหมดในโลกนี้เพื่อบรรยายถึงนางอวิ๋นจื่อรู้สึกเพียงว่าองค์ชายสามเย่อวิ๋นถูผู้นั้นตาบอด เขามองไม่เห็นความงามของซูชิงอู่เลยแม้แต่น้อยแน่นอนว่านางลืมข้อบกพร่องบางอย่างของบุรุษไป เช่นของที่ได้มาง่าย ๆ มักจะไม่ได้รับการยกย่องอวิ๋นจื่อก้มศีรษะลงแล้วกระซิบว่า “ทางฝั่งของอัครเสนาบดีซู ฮูหยินผู้เฒ่าและหลิงซื่อต่างก็ป่วยหนัก อัครเสนาบดีซูได้เชิญหมอหลวงมารักษาพวกนางแต่อาการก็ไม่ดีขึ้นเลย และด้วยความโกรธนายท่านซูก็พลั้งปากพูดออกไปว่าจะตัดสัมพันธ์พ่อลูกกับท่าน…”ซูชิงอู่ยิ้มทันทีหลังจากที่ได้ยินแม้ว่าอัครเสนาบดี
เหล่าองครักษ์ที่ทางเข้าจวนขององค์ชายสาม มีสีหน้าตึงเครียดขึ้นทันที เมื่อสังเกตเห็นซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงอยู่หน้าประตูเขาหวังเพียงว่าหากเป็นไปได้ เขาอยากจะติดประกาศหน้าจวนว่าห้ามซูชิงอู่และสุนัขรับใช้ของนางเข้ามาข้างในแต่ทว่าเย่เสวียนถิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าประตูพร้อมกับรัศมีความแข็งแกร่ง ดวงตาหงส์ของเขาจ้องมองเหล่าองค์รักษ์ด้วยแววตาเยือกเย็นแววตานั้นทำให้หลายคนกลัวจนขาแข้งอ่อนในทันที“กรุณารอสักครู่ กระหม่อมจะไปรายงาน... เดี๋ยวนี้!”ไม่นานหลังจากนั้น ก็ปรากฏร่าง ๆ หนึ่งเดินออกมาจากข้างในด้วยความรีบร้อนเย่อวิ๋นถูซึ่งสวมชุดแต่งงานสีแดง มองดูคนทั้งสองที่ยืนอยู่นอกประตูด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว“ดูเหมือนว่าองค์ชายสามจะไม่ได้ส่งเทียบเชิญถึงท่านทั้งสอง!”ซูชิงอู่ยิ้มระรื่น นางไม่สนใจสายตาเย็นชาของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย“เทียบเชิญจะสำคัญอะไร เขาคือเสด็จพี่ของท่านและหม่อมฉันก็ไม่ใช่คนนอก ยิ่งกว่านั้น ทุกคนในเมืองหลวงก็ดูเหมือนจะรู้ว่าหม่อมฉันเป็นแม่สื่อแม่ชักให้กับองค์ชายสามกับแม่นางโจวไม่ใช่หรือ? หากหม่อมฉันไม่ได้เข้าร่วมอวยพรให้ท่านทั้งสองในงานอภิเษก เช่นนี้แล้วจะไม่แปลกไปหน่อยหรื
เมื่อองค์ชายสามมีงานรื่นเริง แม้ว่าจะเป็นงานเล็ก ๆ แต่ขุนนางส่วนใหญ่ในเมืองหลวงก็ย่อมต้องมารวมตัวกัน อัครเสนาบดีซูจึงอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นไปโดยปริยายรวมถึงซูเชียนหลิงด้วย นางนั่งอยู่ในที่นั่งฝั่งญาติเจ้าสาวเหมือนกันบุตรสาวของขุนนางข้างกายซูเชียนหลิงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า "นั่นชายาเสวียนอ๋องไม่ใช่หรือ?!"“พี่หญิงเชียนหลิง นางไม่อาจเป็นน้องสาวของท่านได้แล้วใช่หรือไม่? นางทำให้ท่านแม่และท่านย่าของท่านป่วย อีกทั้งยังจงใจใส่ร้ายท่านด้วย…”ซูเชียนหลิงพยักหน้าน้อย ๆ เมื่อนางได้ยินสิ่งนี้นางกัดริมฝีปากด้วยสีหน้าขุ่นเคือง“ข้าเองก็ไม่คิดเลยว่าจะเจอนางที่นี่เช่นกัน”“ตระกูลซูของท่านมีสตรีเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นสตรีที่เมื่อออกเรือนไปแล้ว อกตัญญูทันทีเฉกเช่นนาง”“ข้าได้ยินมาว่าอัครเสนาบดีซูตัดความสัมพันธ์บิดาบุตรกับนางโดยตรง ข้าเกรงว่าในอนาคตแม้แต่บ้านเดิมนางก็ไม่อาจจะกลับไปได้เสียด้วยซ้ำ...”“ถ้าท่านอ๋องเสวียนไม่พอใจนางและหย่ากับนางขึ้นมา นางจะไม่กลายเป็นพวกเร่ร่อนหรือ?”“ท่านอ๋องเสวียนมีสถานะสูงส่ง เขาจะมีเพียงนางผู้เดียวได้อย่างไร? ตอนนี้นางอาศัยว่าได
จมูกของซูเชียนหลิงแทบจะบิดเบี้ยวจากคำพูดยั่วยุของซูชิงอู่ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยอารมณ์โกรธ ไม่อาจปริปากพูดอะไรออกมาได้ เหล่าสตรีที่อยู่ใกล้ ๆ นาง อีกทั้งยังเป็นเพื่อนกับนางด้วย เกิดทนดูไม่ไหวอีกต่อไปและกำลังจะพุ่งเข้ามาแต่ทว่า เสียงเย็นเยียบของเย่เสวียนถิงก็ดังก้องอยู่ในหูของใครหลายคน "เจ้ากล้าหยาบคายต่อพระชายาเช่นนั้นหรือ? ไปเอาความกล้าเช่นนี้มาจากที่ใดกัน?"เขาเดินไปหยุดอยู่ที่ด้านข้างของซูชิงอู่ร่างสูงของเขามีรัศมีที่แข็งแกร่งและท่วมท้นอย่างมากใบหน้าที่เย็นชาและหล่อเหลานั้นเต็มไปด้วยรัศมีอันเยือกเย็นและความชั่วร้ายที่อาจทำให้ขาอ่อนแรงได้อย่างง่ายดายเขาเดินไปหาซูชิงอู่ รอบ ๆ กายปรากฏรัศมีอันรุนแรงท่วมท้นใบหน้าของเขาทั้งงดงาม เยือกเย็น และแฝงไปด้วยเจตนาสังหาร เหล่าสตรีที่ไม่เคยพบเห็น ต่างขวัญเสีย พากันรีบถอยหลังไปสองก้าวอย่างหวาดหวั่นทันทีหลายคนที่เดิมทีเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง และต้องการต่อล้อต่อเถียงกับซูชิงอู่ต่างก็ก้มหน้าลงเช่นกันดวงตาของซูเชียนหลิงแดงก่ำด้วยความโกรธ เมื่อนางเห็นว่าน้องสาวตัวน้อยของนางทำให้เรื่องราวใหญ่โตนางแสดงออกราวกับทุกคนในโลกนี้ทรยศต่อนางทั
มุมปากของซูเชียนหลิงกระตุก ความขับข้องใจทำให้นางหายใจไม่ออกและการถูกดูหมิ่นเหยียดหยามทำให้น้ำตาของนางรินไหลมากยิ่งขึ้นเย่อวิ๋นถูตบหลังนางเบา ๆ ด้วยความห่วงใยจากนั้นเขาจึงจ้องมองไปที่เย่เสวียนถิงและพูดว่า "องค์ชายรอง เหมาะสมแล้วหรือที่เจ้าจะกล่าวกับสตรีเช่นนี้?"เย่เสวียนถิงเชิดคางขึ้นอย่างไม่แยแส "หากสตรีนางนั้นเป็นคนร้าย ต้องฆ่านางทิ้งเสีย!"ซูเชียนหลิงตัวสั่นเมื่อนางได้ยินสิ่งนี้ทุกคนรวมตัวกันอยู่ด้านหลังเย่อวิ๋นถูเย่อวิ๋นถูคิดไม่ถึงว่าเย่เสวียนถิงจะพูดเช่นนั้น เขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า "แม่นางซูทำให้ชายาเสวียนขุ่นเคืองเมื่อใด? หากนางไม่สามารถบอกต้นสายปลายเหตุได้ นางก็ควรก้มหัวขอโทษและยอมรับผิด ที่ดูหมิ่นและเหยียดหยามเชียนหลิง!”ซูชิงอู่มองไปยังร่างของซูเชียนหลิงที่เกือบจะแนบชิดกับร่างของเย่อวิ๋นถู มุมปากของนางก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยทุกคนจ้องมองไปยังพวกเขา ไม่กล้าเข้าไปแทรกแซงความขัดแย้งระหว่างองค์ชายทั้งสอง แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งมาจากข้างหลังพวกเขาทุกคนหันไปมอง เห็นร่าง ๆ หนึ่งสวมชุดอภิเษกสีแดงปรากฏขึ้นตรงหน้าผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวของโจวหรุ่ย
ราชเลขาโจวซึ่งเดิมกำลังต้อนรับแขกอย่างอบอุ่น แสดงสีหน้าตกตะลึงเช่นกันเขาเหลือบมองเย่อวิ๋นถูด้วยความไม่เชื่อ จากนั้นจึงมองบุตรีของตัวเอง แข้งขาไร้เรี่ยวแรงในทันที ดูคล้ายจะเวียนศีรษะญาติฝั่งตระกูลโจวรีบเข้ามาพยุงเขาทันที ฮูหยินโจวถึงกับหลั่งน้ำตา“ใต้เท้า โปรดสงบสติอารมณ์ลงก่อน...”มุมปากของราชเลขาโจวสั่นเล็กน้อย ขณะชี้ไปยังโจวหรุ่ยลูกสาวของเขา แล้วพูดว่า "เจ้าเห็นไหม? เจ้าเห็นหรือไม่? ลูกสาวของข้าถูกสามีตบหน้าในวันอภิเษกของนางต่อหน้าแขกเหรื่อทุกคน จะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ใด?!”ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม และดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ "ข้าจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เดี๋ยวนี้ ข้าจะบอกพระองค์ว่าข้าจะลาออกจากตำแหน่ง ข้าไม่อาจแบกหน้าอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ได้ต่อไปแม้แต่วันเดียว การตบขององค์ชายสามครั้งนี้ไม่ใช่การตบหน้าลูกสาวข้าเลย แต่เป็นที่ใบหน้าของข้าแทน!”โจวหรุ่ยตกอยู่ในอาการมึนงง มีสาวใช้ที่คอยปกปิดใบหน้านางที่กำลังร้องไห้อยู่เย่อวิ๋นถูทำให้เรื่องใหญ่ขึ้นไปอีกขั้น เขาเองยังนึกตกตะลึงกับสิ่งที่เขาเพิ่งทำลงไปไม่น้อยเขาขาดสติไปชั่วขณะเพราะโทสะที่ก่อตัวขึ้นอย่างฉับพลัน จึงได้ลงไม้ลงมือกับโจวหรุ่