ราชเลขาโจวซึ่งเดิมกำลังต้อนรับแขกอย่างอบอุ่น แสดงสีหน้าตกตะลึงเช่นกันเขาเหลือบมองเย่อวิ๋นถูด้วยความไม่เชื่อ จากนั้นจึงมองบุตรีของตัวเอง แข้งขาไร้เรี่ยวแรงในทันที ดูคล้ายจะเวียนศีรษะญาติฝั่งตระกูลโจวรีบเข้ามาพยุงเขาทันที ฮูหยินโจวถึงกับหลั่งน้ำตา“ใต้เท้า โปรดสงบสติอารมณ์ลงก่อน...”มุมปากของราชเลขาโจวสั่นเล็กน้อย ขณะชี้ไปยังโจวหรุ่ยลูกสาวของเขา แล้วพูดว่า "เจ้าเห็นไหม? เจ้าเห็นหรือไม่? ลูกสาวของข้าถูกสามีตบหน้าในวันอภิเษกของนางต่อหน้าแขกเหรื่อทุกคน จะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ใด?!”ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม และดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ "ข้าจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เดี๋ยวนี้ ข้าจะบอกพระองค์ว่าข้าจะลาออกจากตำแหน่ง ข้าไม่อาจแบกหน้าอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ได้ต่อไปแม้แต่วันเดียว การตบขององค์ชายสามครั้งนี้ไม่ใช่การตบหน้าลูกสาวข้าเลย แต่เป็นที่ใบหน้าของข้าแทน!”โจวหรุ่ยตกอยู่ในอาการมึนงง มีสาวใช้ที่คอยปกปิดใบหน้านางที่กำลังร้องไห้อยู่เย่อวิ๋นถูทำให้เรื่องใหญ่ขึ้นไปอีกขั้น เขาเองยังนึกตกตะลึงกับสิ่งที่เขาเพิ่งทำลงไปไม่น้อยเขาขาดสติไปชั่วขณะเพราะโทสะที่ก่อตัวขึ้นอย่างฉับพลัน จึงได้ลงไม้ลงมือกับโจวหรุ่
ในที่สุดความโกรธในดวงตาของใต้เท้าโจวก็สงบลง เขาพูดขึ้นว่า "เพื่อเห็นแก่หน้าอัครเสนาบดี ข้าไม่จะติดใจเอาความเรื่องพฤติกรรมของซูเชียนหลิงในวันนี้ เช่นนั้นแล้วก็ขอให้อัครเสนาบดีสั่งสอนบุตรสาวของท่านให้ดีขึ้นด้วย”อัครเสนาบดีซูมีสีหน้าตึงเครียด นิ้วของเขากดลงบนฝ่ามือเขาโกรธอยู่ในใจ แต่ภายนอกเขายังคงแสดงออกอย่างเรียบเฉย เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา "ใช่ ใช่ สิ่งที่ใต้เท้าโจวพูดถูกต้องแล้ว"เรื่องนี้ก็จะร้ายแรงเสียยิ่งกว่านี้ หากซูเชียนหลิงทำให้ตระกูลโจวและองค์ชายสามต้องแตกแยกและขัดขวางการอภิเษกในที่สุด เย่อวิ๋นถูยังรีบเอ่ยขึ้นด้วยว่า "ทั้งหมดเป็นเพราะลูกเขยยังเยาว์และควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดี ข้าจะกลับไปเกลี้ยกล่อมหรุ่ยเอ๋อร์ และจะพยายามเพื่อให้ได้รับการอภัยจากนางอภัยอย่างเต็มที่แน่นอน"ราชเลขาโจวมีสีหน้าอ่อนลงเมื่อเขามองเย่อวิ๋นถูเขาโบกแขนเสื้อแล้วพูดว่า "หรุ่ยเอ๋อร์ มานี่สิ!"โจวหรุ่ยถูกประคองมาตรงหน้าของราชเลขาโจว แก้มของนางยังคงบวมและดูน่าสงสาร“ท่านพ่อ ข้าเจ็บใบหน้ามาก แต่ในใจของข้าเจ็บเสียยิ่งกว่า...ฮือ...ฮือ..”เย่อวิ๋นถูก้าวไปข้างหน้าทันที เขาผลักคนรับใช้ทั้งหลายออกไปจากนั้นเ
นางเคยเห็นคนผู้นี้ในความทรงจำอันเลือนรางของนางองครักษ์เงาลำดับสิบเจ็ดที่เสียชีวิตเพราะปกป้องเย่เสวียนถิงจากลูกธนูลอบสังหารเมื่อนานมาแล้วเขาเป็นหนึ่งในหน่วยองครักษ์ที่ภักดีต่อเย่เสวียนถิงตลอดมาซูชิงอู่ครุ่นคิดอย่างรอบคอบ ม่านหมอกแห่งความทรงจำเจ็ดปีก็สูญสลายหายไป ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เฉียบคมทันทีเนื่องจากการลอบสังหารครั้งนั้นจะเกิดขึ้นในสามวันต่อจากนี้ ระหว่างการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงของวันที่ ยี่สิบเจ็ดเดือนสิบนางไม่ได้ติดตามเขาไปในชีวิตครั้งก่อน แต่เพียงได้รู้เรื่องราวเหล่านี้จากขุนนางบางคน เมื่อเย่เสวียนถิงกลับมาหลังจากที่เย่เสวียนถิงกลับมาจากการล่าสัตว์ เขาก็ขังตัวเองอยู่ในห้องเป็นเวลาถึงครึ่งเดือนในเวลานั้น ซูชิงอู่ต้องการให้เย่เสวียนถิงจากไปไกล ๆ จึงไม่ได้แยแสความรู้สึกของเขาในขณะนั้นเลย ไม่นานหลังจากนั้นนางจึงได้รู้เรื่องการตายขององครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดเมื่อมองย้อนกลับไปจากตอนนี้แล้ว ก็รู้สึกใจสั่นในทันทีทันใดนั้น ซูชิงอู่ก็มองไปที่เย่เสวียนถิง "อีกสามวันข้างหน้า ฮ่องเต้จะออกล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงใช่หรือไม่?"เย่เสวียนถิงผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นหรี่ตาลงแล้วพ
จู่ ๆ เย่เสวียนถิงก็รู้สึกถึงกระแสอันอบอุ่นที่พลุ่งพล่านภายในใจของเขาทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าทุกสิ่งที่เขาทำมาตลอด ตอนนี้คุ้มค่าแล้วเขาลดสายตาลง "โชคดีที่ข้าจับพวกมันได้ทั้งหมด"องครักษ์เงาดึงผ้าคลุมศีรษะของหัวหน้าโจรออกจากนั้นเขาก็กดดาบยาวในมือไว้ที่ลำคอของชายผู้นั้น“บอกข้ามาตามตรง ใครสั่งให้เจ้าทำร้ายบุตรสาวของอัครเสนาบดีซู?”ชายผู้นั้นตกใจกลัว น้ำเสียงของเขาสั่นเครือ "ข้า... ข้าไม่รู้ มีคนมอบถุงเงินให้ข้า แล้วบอกว่าให้รอที่สี่แยกแล้วจับสตรีผู้งดงามนางนั้นไป ข้าไม่รู้อะไรเลย และก็ไม่ได้ทำอะไรนางด้วย นางวิ่งหนีหายไปเอง...”“คนที่ให้เงินเจ้าเป็นบุรุษหรือสตรี แก่หรืออายุน้อย? มีรอยตำหนิบนร่างกายเป็นพิเศษหรือไม่?”หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดด้วยความตื่นตระหนกว่า "น่าจะเป็น... เสียงของหญิงสาว นางสวมหมวกคลุมใบหน้าและไม่สูงเท่าไรนัก หากท่านพาสตรีนางนั้นเข้ามา แล้วข้าได้ยินเสียงนาง ข้าอาจบอกท่านได้ว่าเป็นนางหรือไม่!”เขาพยายามทำให้ตัวมีประโยชน์มากที่สุดองค์รักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดเหลือบมองไปข้างหลัง ก่อนมองไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่น ๆ คนเหล่านั้นจัดการกลุ่มโจรที่เห
ซูชิงอู่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย อย่างมีแผนอยู่ในใจแล้วทันใดนั้นนางก็เลิกม่านขึ้นอีก ส่งยิ้มให้เย่เสวียนถิงซึ่งอยู่ข้างนอกรถม้าได้หยุดลงแล้ว ทุกคนลงจากรถอย่างเป็นระเบียบและเข้าสู่พื้นที่ล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ร่วงทันทีซูชิงอู่กระดิกนิ้วเรียกให้เย่เสวียนถิงเข้าใกล้นางมากยิ่งขึ้น“ท่านอ๋อง ข้าเองก็อยากล่าสัตว์เหมือนกัน ท่านช่วยพาข้าไปสำรวจป่าแห่งนี้สักพักได้หรือไม่?”เย่เสวียนถิงไม่คาดคิดว่าซูชิงอู่จะร้องขอเช่นนี้เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าความสามารถของเขานั้นมากพอที่จะปกป้องซูชิงอู่ได้ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์ดุร้ายขนาดใหญ่ในภูเขาอวิ๋นหลานก็ถูกไล่ออกไปนานแล้ว ตราบใดที่พวกเขาไม่เข้าไปในส่วนลึกของป่าจนเกินไป ก็จะไม่มีอันตรายใดเกิดขึ้น"ตกลง"ซูชิงอู่ยื่นมือออกมาตรง ๆ แล้วพูดว่า "ข้าอยากขี่ม้า”เมื่อมองดูฝ่ามือที่อ่อนนุ่มขาวสะอาดของนาง ผิวบาง ๆ ด้านนอกก็ถูกห่อหุ้มไปด้วยเส้นเลือดสีฟ้า และปลายนิ้วของนางเจือไปด้วยผงแป้งบาง ๆนางคือซูชิงอู่ สตรีผู้เพียบพร้อมจากตระกูลร่ำรวย เรียวนิ้วของนางไม่เคยได้สัมผัสกับความลำบากนิ้วมือแสนงดงาม ปราศจากผิวหนังที่ด้านหนา เป็นความงามอันเปราะบางที่
ด้วยวัยเพียงยี่สิบสองปี เขากลับเป็นผู้ใหญ่และสุขุมมาก ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาแต่จริงจัง รวมทั้งคำพูดและรอยยิ้ม อีกทั้งรูปร่างหน้าตายังคล้ายคลึงกับฮ่องเต้มากเสียด้วย ขุนนางหลายคนบอกว่าเขาเป็นแบบจำลองของฮ่องเต้เมื่อครั้นยังทรงพระเยาว์ ชวนให้นึกถึงรูปลักษณ์ในอดีตของเขาและแม้แต่ความชอบบางอย่างของเขาก็ยังคล้ายกันกับฮ่องเต้ เช่นนั้นเขาจึงได้รับความโปรดปรานและชื่นชอบจากฮ่องเต้เป็นพิเศษเขายังเป็นคู่แข่งที่ทรงพลังที่สุดของเย่อวิ๋นถูในการเข้าครอบครองบัลลังก์อีกด้วยฮ่องเต้มองไปทางซ้ายและขวา และอดไม่ได้ที่จะถามว่า "เย่เสวียนถิงอยู่ที่ไหน?"ในที่สุด เย่อวิ๋นถูก็คว้าโอกาสนี้ไว้ เขาจงใจสร้างเรื่องยุ่งยากให้กับเย่เสวียนถิงเขาเย้ยหยัน และพูดด้วยความเคารพว่า "เมื่อครู่ ลูกเห็นพี่รองกำลังพาพระชายาเสวียนไปจับผีเสื้อที่เดียวกัน เขาหลงสตรีจนลืมแวะมาทักทายเสด็จพ่อ ช่างอกตัญญูจริง ๆ!"ซูเฟยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าเมื่อได้ยินคำพูดถากถางของเย่อวิ๋นถู ใบหน้าของนางซีดลง ก่อนจะอธิบายถึงเย่เสวียนถิงในแง่ดีทันที "ฮ่องเต้ โปรดอย่ากริ้วไปเลย อาจเป็นได้ว่าชายาเสวียนอยากเที่ยวชมดอกไม้ เช่นนั้นในฐานะสามีเขา
ท่าทีของฮ่องเต้ที่มีต่อซูชิงอูอ่อนลงมาก“เจ้าปากหวานขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ถึงกระนั้น เจ้าก็ไม่ควรทำอะไรที่อาจส่งผลกระทบต่อหน้าที่ของอ๋องเสวียน” ซูชิงอู่ก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า "หน้าที่ของท่านอ๋องในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อปกป้องเสด็จพ่อหรือเพคะ? ชิงอู่รู้ทักษะทางการแพทย์และบังเอิญไปเห็นสิ่งดี ๆ บนภูเขาลูกนี้ หม่อมฉันจึงขอให้ท่านอ๋องไปกับหม่อมฉันเพื่อเก็บรวบรวมสิ่งเหล่านี้มาถวายให้แก่เสด็จพ่อเพคะ”ฮ่องเต้หัวเราะเบา ๆ "เจ้ามีทักษะทางการแพทย์ด้วยหรือ?"เขาปิดริมฝีปากและไอ พยายามทำให้สีหน้าของตนดูเป็นธรรมชาติ เพื่อไม่ให้ทำร้ายจิตใจของซูชิงอู่มากเกินไปใครบ้างจะไม่รู้ว่าฟางอี๋ซิน แม่ของซูชิงอู่เป็นหมอเทวดาที่มีชื่อเสียงเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ และมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้รับผลประโยชน์จากนาง แต่ซูชิงอู่ไม่ได้ศึกษาตำราแพทย์เหล่านั้นมาหลายปีแล้วซูชิงอู่ไม่พอใจเล็กน้อย นางพูดขึ้นว่า "เสด็จพ่อ ดูดอกไม้นี้สิเพคะ มันมีชื่อว่าจื่อชุนหลาน กลิ่นของมันสามารถไล่ยุงได้ ตราบใดที่เสด็จพ่อวางมันไว้ข้างกาย ฝ่าบาทและเหล่าพระชายาจะไม่ถูกยุงและแมลงชนิดอื่น ๆ รบกวน"คำพูดเหล่านี้กระตุ้นความสนใจของฮ่อง
เย่อวิ๋นถูพลันทอดสายตามองมาที่ขาของเย่เสวียนถิง รอยยิ้มเยาะผุดขึ้นตรงมุมปาก จากนั้นเขาก็ประสานมือพลางกล่าวว่า "เสด็จพ่อ หาได้ยากนักที่พวกกระหม่อมสามพี่น้องจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ไฉนมิให้พวกกระหม่อมสำแดงทักษะการขี่ม้ายิงธนูให้พระองค์ดูเล่าพ่ะย่ะค่ะ?" ฮ่องเต้ชราพยักหน้าเบา ๆ "ยามนี้ก็สายไม่น้อยแล้ว เช่นนั้นก็ให้ข้าได้เห็นความสามารถของพวกเจ้าสามพี่น้องสักหน่อยเถิด เผื่อจะได้เป็นเยี่ยงอย่างแก่อนุชนในเมืองหลวง" เย่อวิ๋นถูเหลือบมองเย่เสวียนถิงด้วยสายตายั่วยุ นับตั้งแต่ขาของเย่เสวียนถิงได้รับบาดเจ็บ เขาก็แทบจะมิได้ขี่ม้ายิงธนูและแทบจะมิได้มาที่ลานฝึกเสียด้วยซ้ำไป การที่เขาต้องเดินโขยกเขยกช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่งนัก วันนี้เขาจะให้ทุกคนในเมืองหลวงได้เห็นสภาพน่าสมเพชของเทพสงครามผู้นี้ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ยกย่องของขุนนางบุ๋นและบู๊ เย่เสวียนถิงยังคงนิ่งเงียบ ยามที่เขาเดินเหิน เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ายังขยับขาและเท้าได้ลำบาก เนื่องจากขายังคงเจ็บอยู่ เขายังคงสีหน้าไร้อารมณ์และมิได้ใส่ใจสายตาของผู้อื่น จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้คนของตนจูงม้าเข้ามา เย่ชิวหมิงมิยอม