ด้วยวัยเพียงยี่สิบสองปี เขากลับเป็นผู้ใหญ่และสุขุมมาก ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาแต่จริงจัง รวมทั้งคำพูดและรอยยิ้ม อีกทั้งรูปร่างหน้าตายังคล้ายคลึงกับฮ่องเต้มากเสียด้วย ขุนนางหลายคนบอกว่าเขาเป็นแบบจำลองของฮ่องเต้เมื่อครั้นยังทรงพระเยาว์ ชวนให้นึกถึงรูปลักษณ์ในอดีตของเขาและแม้แต่ความชอบบางอย่างของเขาก็ยังคล้ายกันกับฮ่องเต้ เช่นนั้นเขาจึงได้รับความโปรดปรานและชื่นชอบจากฮ่องเต้เป็นพิเศษเขายังเป็นคู่แข่งที่ทรงพลังที่สุดของเย่อวิ๋นถูในการเข้าครอบครองบัลลังก์อีกด้วยฮ่องเต้มองไปทางซ้ายและขวา และอดไม่ได้ที่จะถามว่า "เย่เสวียนถิงอยู่ที่ไหน?"ในที่สุด เย่อวิ๋นถูก็คว้าโอกาสนี้ไว้ เขาจงใจสร้างเรื่องยุ่งยากให้กับเย่เสวียนถิงเขาเย้ยหยัน และพูดด้วยความเคารพว่า "เมื่อครู่ ลูกเห็นพี่รองกำลังพาพระชายาเสวียนไปจับผีเสื้อที่เดียวกัน เขาหลงสตรีจนลืมแวะมาทักทายเสด็จพ่อ ช่างอกตัญญูจริง ๆ!"ซูเฟยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าเมื่อได้ยินคำพูดถากถางของเย่อวิ๋นถู ใบหน้าของนางซีดลง ก่อนจะอธิบายถึงเย่เสวียนถิงในแง่ดีทันที "ฮ่องเต้ โปรดอย่ากริ้วไปเลย อาจเป็นได้ว่าชายาเสวียนอยากเที่ยวชมดอกไม้ เช่นนั้นในฐานะสามีเขา
ท่าทีของฮ่องเต้ที่มีต่อซูชิงอูอ่อนลงมาก“เจ้าปากหวานขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ถึงกระนั้น เจ้าก็ไม่ควรทำอะไรที่อาจส่งผลกระทบต่อหน้าที่ของอ๋องเสวียน” ซูชิงอู่ก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า "หน้าที่ของท่านอ๋องในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อปกป้องเสด็จพ่อหรือเพคะ? ชิงอู่รู้ทักษะทางการแพทย์และบังเอิญไปเห็นสิ่งดี ๆ บนภูเขาลูกนี้ หม่อมฉันจึงขอให้ท่านอ๋องไปกับหม่อมฉันเพื่อเก็บรวบรวมสิ่งเหล่านี้มาถวายให้แก่เสด็จพ่อเพคะ”ฮ่องเต้หัวเราะเบา ๆ "เจ้ามีทักษะทางการแพทย์ด้วยหรือ?"เขาปิดริมฝีปากและไอ พยายามทำให้สีหน้าของตนดูเป็นธรรมชาติ เพื่อไม่ให้ทำร้ายจิตใจของซูชิงอู่มากเกินไปใครบ้างจะไม่รู้ว่าฟางอี๋ซิน แม่ของซูชิงอู่เป็นหมอเทวดาที่มีชื่อเสียงเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ และมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้รับผลประโยชน์จากนาง แต่ซูชิงอู่ไม่ได้ศึกษาตำราแพทย์เหล่านั้นมาหลายปีแล้วซูชิงอู่ไม่พอใจเล็กน้อย นางพูดขึ้นว่า "เสด็จพ่อ ดูดอกไม้นี้สิเพคะ มันมีชื่อว่าจื่อชุนหลาน กลิ่นของมันสามารถไล่ยุงได้ ตราบใดที่เสด็จพ่อวางมันไว้ข้างกาย ฝ่าบาทและเหล่าพระชายาจะไม่ถูกยุงและแมลงชนิดอื่น ๆ รบกวน"คำพูดเหล่านี้กระตุ้นความสนใจของฮ่อง
เย่อวิ๋นถูพลันทอดสายตามองมาที่ขาของเย่เสวียนถิง รอยยิ้มเยาะผุดขึ้นตรงมุมปาก จากนั้นเขาก็ประสานมือพลางกล่าวว่า "เสด็จพ่อ หาได้ยากนักที่พวกกระหม่อมสามพี่น้องจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ไฉนมิให้พวกกระหม่อมสำแดงทักษะการขี่ม้ายิงธนูให้พระองค์ดูเล่าพ่ะย่ะค่ะ?" ฮ่องเต้ชราพยักหน้าเบา ๆ "ยามนี้ก็สายไม่น้อยแล้ว เช่นนั้นก็ให้ข้าได้เห็นความสามารถของพวกเจ้าสามพี่น้องสักหน่อยเถิด เผื่อจะได้เป็นเยี่ยงอย่างแก่อนุชนในเมืองหลวง" เย่อวิ๋นถูเหลือบมองเย่เสวียนถิงด้วยสายตายั่วยุ นับตั้งแต่ขาของเย่เสวียนถิงได้รับบาดเจ็บ เขาก็แทบจะมิได้ขี่ม้ายิงธนูและแทบจะมิได้มาที่ลานฝึกเสียด้วยซ้ำไป การที่เขาต้องเดินโขยกเขยกช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่งนัก วันนี้เขาจะให้ทุกคนในเมืองหลวงได้เห็นสภาพน่าสมเพชของเทพสงครามผู้นี้ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ยกย่องของขุนนางบุ๋นและบู๊ เย่เสวียนถิงยังคงนิ่งเงียบ ยามที่เขาเดินเหิน เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ายังขยับขาและเท้าได้ลำบาก เนื่องจากขายังคงเจ็บอยู่ เขายังคงสีหน้าไร้อารมณ์และมิได้ใส่ใจสายตาของผู้อื่น จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้คนของตนจูงม้าเข้ามา เย่ชิวหมิงมิยอม
ซูชิงอู่ที่เฝ้ามองดูการแข่งขันครั้งนี้อยู่ตลอดพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน นางวิ่งออกมาโดยมิได้ลังเลใจแต่อย่างใด นางมิได้ว่องไวนัก ทว่ากลับมีสีหน้าเป็นกังวล อาชาที่อยู่ใต้อานของเย่เสวียนถิงพุ่งทะยานไปทิศทางเดียวราวกับคลุ้มคลั่งเสียแล้ว ท่าทางคลุ้มคลั่งของมันประดุจดั่งจะเหวี่ยงคนขี่ให้ร่วงลงมาได้ทุกเมื่อ! เย่เสวียนถิงคลายมือออก จากนั้นปล่อยเกาทัณฑ์และคันธนูที่เบนออกจากตำแหน่งก่อนหน้านี้ ทว่ายามนี้หามีผู้ใดสนใจว่าเกาทัณฑ์จะเข้าเป้าหรือไม่ เย่เสวียนถิงใช้มือทั้งสองข้างกำสายบังเหียนเอาไว้แน่น แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าแนบหลังอาชาเพื่อลดแรงต้านทานลม แต่อาชาไร้สติโดยสิ้นเชิงแล้ววิ่งตรงไปสุดลานฝึก ราวกับว่ากำลังจะชนเข้ากับกำแพง เย่เสวียนถิงออกแรงแขนเพื่อบังคับอาชาให้ยกกีบเท้าหน้าขึ้น เมื่ออาชาเสียหลักก็ล้มลงกับพื้นอย่างแรงพร้อมกับเย่เสวียนถิง ทุกคนต่างเบิกตามองด้วยความตกตะลึง ในขณะเดียวกันเย่อวิ๋นถูกับเย่ชิวหมิงที่หยุดอาชาอยู่กับที่ ต่างก็มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาเย็นชา ระหว่างที่เย่อวิ๋นถูชมดูการแสดงก็ยิ้มเยาะออกมา "ม้าตัวนี้คลุ้มคลั่งไปเสียแล้ว ถ้าเป็นเย่เสวียนถิงเมื่อคร
เย่อวิ๋นถูรู้สึกตื่นตกใจกับการเคลื่อนไหวอันกะทันหันของอาชาจึงคว้าสายบังเหียนเอาไว้โดยมิรู้ตัว จากนั้นทุกคนก็เห็นว่าองค์ชายอีกสองพระองค์ก็กำลังห้อตะบึงอยู่บนลานฝึกอย่างเป็นบ้าเป็นหลังเช่นกัน ซูชิงอู่ทำหน้าตาสับสนงุนงงแล้วยืนนิ่งงันด้วยสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใด ราวกับว่านางรู้สึกหวาดกลัวเสียจนพูดไม่ออก เหล่าราชองครักษ์ต่างรีบวิ่งเข้ามาด้วยหมายจะช่วยเหลือองค์ชายทั้งสองพระองค์ที่รู้สึกตื่นตระหนกบนหลังอาชาให้พ้นภัย แต่ความเร็วของอาชาทั่วไปจะเทียบกับอาชาเหงื่อโลหิตได้อย่างไรกันเล่า ทั้งยังเป็นอาชาเหงื่อโลหิตที่คลุ้มคลั่งอีกต่างหาก! เหตุการณ์กลับโกลาหลไปสักพัก อาชาของเย่ชิวหมิงกับเย่อวิ๋นถูกำลังห้อตะบึงมาข้างหน้า โดยมีคนกลุ่มหนึ่งไล่ตามหลังมา แววขบขันวูบผ่านดวงตาของซูชิงอู่ ทว่านางกลับปกปิดเอาไว้โดยมิได้เผยเค้าเงื่อนใด ๆ ออกมาทางสีหน้า เมื่อนางตบมือ ภายในฝ่ามือที่แลดูสะอาดสะอ้านก็มีผงจาง ๆ ร่วงหล่นสู่พื้น เล่นงานคนของนางหรือ? นางจะให้พวกเขาได้ลิ้มรสความสนุกสนานเป็นสองเท่าเลยเชียวล่ะ! เมื่อเย่เสวียนถิงเห็นภาพเหตุการณ์ฉากนี้ เขาก็แววตาเป็นประกาย เขาพลันรู้สึกว่าคนเองมิ
ถึงแม้ว่าซูชิงอู่จะไม่รู้จักบ่าวรับใช้ผู้นี้ แต่นางบอกได้จากสีหน้าของเย่เสวียนถิงว่าอีกฝ่ายต้องเป็นคนของเขาอย่างแน่นอน การถูกพาตัวมาอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้ในยามนี้ย่อมมิใช่เรื่องดี แน่นอนว่าราชองครักษ์ที่พาตัวมาย่อมต้องถีบบ่าวรับใช้ผู้นี้ เพื่อให้อีกฝ่ายคุกเข่าลงกับพื้น ราชองครักษ์รีบคำนับฮ่องเต้พลางกล่าวว่า "ฝ่าบาท หมอหลวงซุนเพิ่งจะตรวจดูม้าพวกนั้นและพบว่าเป็นเพราะพวกมันกินสมุนไพรสองชนิดผสมกันจึงทำให้พวกมันเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา มิหนำซ้ำยังพบโอสถชนิดนั้นในตัวคนผู้นี้อีกต่างหาก! " มีคนคว้าเอาห่อยาไปจากมือของบ่าวรับใช้ผู้นั้นแล้วมอบให้แก่ฮ่องเต้ด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม ขันทีพลันรับมาแล้วเอาให้ฮ่องเต้ดู ฮ่องเต้ชราพลันสีหน้าหม่นคล้ำขึ้นมาทันที "คนผู้นี้เป็นคนของผู้ใดกัน?" "ทูลฝ่าบาท คนผู้นี้เป็นบ่าวรับใช้ของจวนอ๋องเสวียนพ่ะย่ะค่ะ" ฮ่องเต้ชราขมวดคิ้วเล็กน้อย ฮองเฮาที่อยู่ข้างพระวรกายพลันลุกขึ้นทันที พระนางหน้าตาซีดขาวและน้ำเสียงสั่นเครือ "ฝ่าบาท พระองค์ได้ยินหรือไม่เพคะ? อ๋องเสวียนต้องสั่งให้เขาใส่โอสถชนิดนี้ลงไปเป็นแน่ เขาเป็นบ่าวรับใช้และต่อให้เขาใจกล้าสักเพียงใด ก็คงมิกล้าลง
เจตนาสังหารแผ่ลามไปทั่วทั้งจิตใจของนางพลางเอ่ยขึ้นต่อหน้าเย่เสวียนถิง "เสด็จพ่อ ความจริงยังมิเปิดเผย พระองค์จะกล่าวหาท่านอ๋องโดยไม่เป็นธรรมได้อย่างไรเพคะ?" ฮองเฮาจึงตำหนินางด้วยพระสุรเสียงเย็นชาขึ้นมาว่า "เจ้าหามีสิทธิ์มาสอดปากพูดที่นี่ จงหุบปากไปซะ!" ซูชิงอู่รู้สึกอึดอัดใจเพราะคำตำหนิ ขณะที่นางกำลังจะตอบโต้อยู่นั้น เย่เสวียนถิงก็คว้าข้อมือของนางเอาไว้ เขาเงยหน้าขึ้นแล้วสายตาเย็นชาของเขาก็ทอดมองมาที่ฮองเฮา "อาอู่เป็นพระชายาของกระหม่อม ไยนางจึงหามีสิทธิ์เอ่ยวาจาที่นี่เล่าพ่ะย่ะค่ะ?" เมื่อฮองเฮาได้ยินเย่เสวียนถิงกล้าโต้แย้งพระนางต่อหน้าธารกำนัล พระนางก็พลันรู้สึกอับอายขายหน้าขึ้นมาทันที พระนางก็เอ่ยเสียงเคร่งขึ้นมาว่า "นางก็แค่เจ้าสาวที่เพิ่งจะแต่งเข้ามา หลังจากกลายเป็นพระชายาแล้วก็คิดจะแหกกฎหรือ? ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ไม่เคารพยำเกรงข้าเลย ในฐานที่เป็นสตรีจากเรือนหลัง นางยังก้าวก่ายเรื่องในราชสำนักอีกต่างหาก ผู้ใดให้ความกล้ากับนางกัน?” เย่เสวียนถิงจึงกล่าวอย่างไม่ไว้หน้าว่า "กระหม่อมมอบให้นางเอง" เมื่อฮองเฮาได้ยินเช่นนี้เข้า พระนางก็พิโรธมากเสียจนเส้นโลหิตตรงหน้าผาก
บ่าวรับใช้คิดว่าตนกำลังจะตายจึงหลับตาแน่น แต่หลังจากนั้นสักพัก กลับมิได้รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด คนที่อยู่ห่างออกไปมิไกลพลันแผดเสียงร้องขึ้นมาทันที "อ๊า!" ทุกคนต่างหันไปมองตามทิศทางของเสียงร้อง พวกเขาเห็นเกาทัณฑ์สองดอกยิงใส่อาชาทั้งสองตัว ถึงแม้ว่าอาชาตัวหนึ่งจะตายไปแล้ว แต่มันก็ยังถูกเกาทัณฑ์เสียบทะลุ อาชาทั้งสองตัวนี้เป็นม้าตัวโปรดของเย่ชิวหมิงกับเย่อวิ๋นถู พวกมันได้รับการเลี้ยงดูอย่างพิถีพิถัน ทว่ายามนี้พวกมันล้วนตายหมดแล้ว น้ำเสียงของเขาทั้งเย็นชาและขรึมเคร่ง ทั้งยังมีแววทระนงผุดขึ้นในดวงตาวูบหนึ่ง จากนั้นเขาก็เก็บอาวุธในมือแล้วกล่าวกับทุกคนว่า "เวลาที่ใช้วางยามิได้นานนัก ในเมื่อมีคนบอกว่าม้าสองตัวนี้ถูกป้อนสมุนไพรสองชนิดลงไป เช่นนั้นย่อมต้องหลงเหลือสมุนไพรอยู่ในกระเพาะอาหาร ขอเพียงหมอหลวงซุนผ่าซากม้าตรวจดู พวกเราก็จะรู้เอง" ส่วนอาชาของเขา มิจำเป็นต้องตรวจดูหรอก เพราะย่อมต้องถูกวางยาเป็นแน่ เมื่อซูชิงอู่เห็นท่าทีสงบนิ่งของเย่เสวียนถิง รอยยิ้มจาง ๆ ก็ผุดขึ้นในดวงตาของนาง นางเก็บสิ่งที่ซ่อนอยู่ในมือลงไป ในเมื่อนางมิจำเป็นต้องสอดมือเข้าไปยุ่ง เจ้าสิ่งนี้ก็หามี
เย่เสวียนถิงตัวแข็งทื่อทันทีม้าของเขาเดินหมุนเป็นวงกลม สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความลังเลอย่างชัดเจนซูชิงอู่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่และพูดว่า "ข้าสัญญากับท่านว่าจะไม่ไปสถานที่อันตราย"เย่เสวียนถิงถอนหายใจ "ค่ายทหารไม่มีกฎให้สตรีเข้าร่วม"ซูชิงอู่ยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น "ถ้าอย่างนั้น ข้าจะปลอมตัวเป็นบุรุษ"เย่เสวียนถิง "..."เมื่อนึกถึงทักษะการปลอมตัวอันยอดเยี่ยมของซูชิงอู่ เย่เสวียนถิงก็ลังเลขึ้นมาอีกครั้งด้วยความสามารถของนาง คงไม่มีใครสามารถจับได้ว่านางปลอมตัวเป็นบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นการปลอมตัวหรือเปลี่ยนเสียง นางก็ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบเย่เสวียนถิงเห็นความกระตือรือร้นในดวงตาของซูชิงอู่ พลางถอนหายใจเล็กน้อย จากนั้นก็มองนางอย่างจนใจและพูดว่า "ก็ได้ แต่เจ้ารับปากข้ามาก่อนว่าจะไม่ปล่อยให้ตัวเองบาดเจ็บ"ทันใดนั้นดวงตาของซูชิงอู่ก็ส่องประกาย "ท่านอ๋อง ไปกันเถอะ"นี่เป็นครั้งแรกที่ซูชิงอู่ไปที่ชายแดนชาติก่อนนางวางตัวเป็นกุลสตรี จึงแทบไม่ได้ออกจากเมืองหลวงเลยผู้คนนับหมื่นในเมืองฉี ก่อนหน้านี้ถูกพวกเขาพาไปอยู่เมืองอื่น และเมื่อเย่เสวียนถิงจากมาก็พาพวกเขามาด้วยอย่างน้อยผู้คนมา
นางออกมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ พ่อแม่ของนางเสียชีวิตด้วยน้ำมือของคนเหล่านั้น และนางต้องการแก้แค้นเย่เสวียนถิงเหลือบมองนาง จากนั้นก็พยักหน้าเบา ๆ“อาอู่ อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวคนเดียว ไว้รอข้ากลับมาก่อน”ตราบใดที่เขายังอยู่ใกล้ แคว้นอู๋ตะวันตกก็จะพ่ายแพ้อย่างแน่นอนเพียงแต่ยังไม่ทราบว่าสงครามนี้จะกินเวลานานเท่าใดเย่เสวียนถิงได้ปรากฏตัวต่อหน้าฝ่าบาท ข่าวการกลับมาของเขาต้องแพร่กระจายออกไปแน่ สิ่งที่เขาต้องทำคือเคลื่อนไหวให้เร็วกว่าคนส่งข่าวเหล่านั้นซูชิงอู่ที่เห็นว่าเขาเปิดเผยใบหน้า นางก็รู้ได้ว่าเขากำลังจะจากไปตอนนี้ปัญหาของตระกูลเจียวได้รับการแก้ไขแล้ว ไม่มีอุปสรรคในราชสำนัก และนางไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่ชายของนางและคนอื่น ๆ อีกต่อไปเย่ชิวหมิงจะนำกองทหารที่เหลืออยู่ในเมืองหลวงตามล่าตระกูลเจียวที่เหลือ และนางก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซงแล้ว“เสวียนถิง ท่านจะออกเดินทางวันนี้ใช่หรือไม่?”เย่เสวียนถิงพยักหน้าเขาเหลือบมองลูกชายอีกสองคนแล้วเดินไป แม้เขาจะไม่ได้กอดพวกเขา แต่อย่างน้อยก็ลูบหัวพวกเขาลูกชายคนโตเหมือนเขามากกว่าใบหน้าเล็ก ๆ ที่อ้วนท้วนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแ
เย่เสวียนถิงออกบ้านมานานถึงเพียงนี้ ทำได้แค่คอยไปแอบมองเด็ก ๆ ลับหลังเท่านั้น และไม่เคยแม้แต่จะเข้าไปอยู่ใกล้เด็ก ๆ เลยคราวนี้เขาถอดหน้ากากออกเพื่อเปิดเผยตัวตน ซึ่งทำให้หลายคนในห้องตกใจอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงก้าวไปมองเย่เสวียนถิงด้วยสีหน้าตกใจซูชิงอู่เห็นเขายืนอยู่ข้างเตียงด้วยความระมัดระวัง และเห็นสายตาท่าทางของเขาที่กำลังจับจ้องไปเด็ก ๆ นางจึงยื่นตัวเจ้าหนูคนเล็กส่งให้อีกฝ่าย“มาสิ อุ้มลูกสาวท่านหน่อย”เด็กหญิงตัวเล็กผู้มีพี่ชายสองคนที่เกิดในเดือนเดียวกันหลังจากการเปลี่ยนแปลงภายในไม่กี่เดือน จากรูปร่างที่เล็กและบอบบางในตอนแรก นางก็กลายเป็นตุ๊กตากระเบื้องที่แกะสลักด้วยหยกสีชมพูลักษณะหน้าตาของนางเหมือนซูชิงอู่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัดดวงตาที่คล้ายองุ่นสีดำคู่นั้นงดงามราวกับอัญมณีที่บริสุทธิ์ที่สุดในใต้หล้าเย่เสวียนถิงรู้ดีอยู่แล้วเกี่ยวกับสถานการณ์ของเจ้าหนูคนเล็ก และใจของเขาก็ห่อเหี่ยวทันทีเมื่อเขานึกถึงการที่ซูชิงอู่เกือบจะประสบเหตุตอนที่นางให้กำเนิดเด็กคนนี้เขาแตะปลายจมูกของเจ้าหนูคนเล็กอย่างระมัดระวังสัมผัสที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อนทำให้หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่น“ฮัดชิ่ว
เย่เสวียนถิงไม่ได้อธิบายอะไรมาก แต่ยังไว้ซึ่งท่าทีเคารพนอบน้อม “เสด็จแม่ทรงไม่ต้องกังวลพ่ะย่ะค่ะ”“แม่จะไม่กังวลได้อย่างไร”ซูไทเฮาตอบกลับ แต่นางก็รู้เช่นกันว่านางทำอะไรไม่ได้ “ตอนนี้เจ้ากลับมาเช่นนี้ หลายคนก็น่าจะเห็นแล้ว เจ้าไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นหากทางชายแดนได้รับข่าวหรือ?”เย่เสวียนถิงพยักหน้าเบา ๆ "กลับมาคราวนี้ ประการแรกก็เพื่อความปลอดภัยของอาอู่ และประการที่สอง เพื่อล่องูออกจากรูและจู่โจมโดยไม่ให้ตั้งตัว ไม่สำคัญว่ากระหม่อมจะอยู่ที่ชายแดนหรือไม่ ขอเพียงกระหม่อมปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะสมก็พอพ่ะย่ะค่ะ”ซูไทเฮาตกตะลึง “ช่างเถอะ ข้าก็ค่อยไม่เข้าใจกลยุทธ์ในสนามรบของพวกเจ้านัก ขอเพียงพวกเจ้าทุกคนปลอดภัย ก็ดียิ่งกว่าสิ่งอื่นใดแล้ว"ซูไทเฮายังไม่รู้ว่าเจียวกุ้ยเฟยทำอะไรลงไป เมื่อซูชิงอู่ตามเข้าไปข้างใน นางก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนและหลังให้ซูไทเฮาฟังเมื่อซูไทเฮาได้ยินว่าเจียวกุ้ยเฟยแอบพาสตรีนางหนึ่งที่กำลังตั้งครรภ์ออกจากพระราชวัง และซ่อนนางไว้ในสำนักสงฆ์ฮุ่ยชิง ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด“หรือที่ตระกูลเจียวทำเช่นนี้เพราะต้องการก่อกบฏ?”ซู
ทหารม้าของตระกูลหลิ่วและเมืองฉีต่างหิวโหย พวกเขาเร่งฝีเท้าตามมาทันที เพื่อเตรียมหาสถานที่พักฟื้นเมื่อเย่ชิวหมิงเห็นภาพนี้ นิ้วมือของเขาที่ปล่อยอยู่ข้างลำตัวก็กระชับขึ้นเล็กน้อยเขามองลงไปที่พื้น “ศพทั้งหมดในสำนักสงฆ์ฮุ่ยชิงถูกกำจัดไปแล้วหรือยัง?"“ทูลฝ่าบาท จัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทุกศพถูกรวมไว้ด้วยกันและให้คนนำไปฝังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”คนที่ส่งข่าวหยุดชะงักและถามว่า “มีอยู่หนึ่งศพที่กระหม่อมและคนอื่น ๆ ไม่สามารถตัดสินใจได้ ขอฝ่าบาทโปรดทรงช่วยตัดสินใจด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ศพหนึ่งถูกลากมาศพมีเลือดออกจากทุกช่องทวาร และมีคราบเลือดทั่วร่างกายขุนนางชันสูตรศพผู้หนึ่งก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบศพแล้วจึงรายงานด้วยเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท สตรีนางนี้ตั้งครรภ์ได้เกือบสามเดือนแล้ว และนางก็สวมหน้ากากหนังมนุษย์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ขณะที่ขุนนางชันสูตรพูด เขาก็ถอดหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าของอีกฝ่ายออกอย่างระมัดระวัง และเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางนางเป็นสตรีที่มีรูปร่างหน้าตาค่อนข้างงดงามเพียงแต่ว่าสภาพการตายของนางในเวลานี้ช่างน่าสังเวชอย่างยิ่ง สีหน้าของนางบิดเบี้ยว ริมฝีปากสีแดงของนางกลายเป็นสีดำ แ
ความรู้สึกนี้ว่างเปล่าเล็กน้อย และซูชิงอู่ก็รีบเดินออกจากประตูบ้านทันทีและมองออกไปข้างนอกเมื่อมองที่นี่ในเวลากลางวัน ทิวทัศน์ก็งดงามเป็นพิเศษไม่ง่ายเลยที่จะหาสถานที่เช่นนี้ในเขตชานเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงได้นางรีบวิ่งออกไป ไม่ไกลนัก นางเห็นเย่เสวียนถิงนำม้ามาที่นี่ เขาเร่งฝีเท้าเข้ามาหานาง พลางยื่นมืออุ้มนางขึ้นหลังม้า“เสวียนถิง ไปเอาม้ามาจากไหน?”เย่เสวียนถิงพูดข้างหูของนาง “เย่ชิวหมิงให้คนส่งมาให้”เมื่อได้ยินชื่อนี้ ซูชิงอู่ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เขาน่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับสำนักชีฮุ่ยชิงอันแล้ว ไปหาเขากันเถอะ"เย่เสวียนถิงไม่ได้สวมหน้ากาก และใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างยิ่งของเขาก็ถูกเปิดเผยต่อหน้าทุกคนอย่างน่าประทับใจกองทัพเมืองฉีรู้ตัวตนของท่านอ๋องมานานแล้ว ดังนั้นสีหน้าท่าทางของพวกเขาจึงเป็นธรรมชาติมาก ทว่าเหล่าแม่ทัพและรองแม่ทัพที่ยืนอยู่ด้านหลังเย่ชิวหมิงต่างก็เบิกตากว้าง“ทะ...ท่านอ๋องเสวียน!”“เหตุใดเขาถึงอยู่ที่นี่ล่ะ?”"หากอ๋องเสวียนอยู่ในเมืองหลวง แล้วที่ชาย..."ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างด้วยความเหลือเชื่อมีเพียงเย่ชิวหมิงเท่านั้นที่พอจะคาดเดาความจริงได้แล้
ซูชิงอู่คว้าเสื้อคลุมที่เขาสวมบนตัวนางแล้วถามอย่างไม่สบายใจว่า “แล้วท่านล่ะ?"เย่เสวียนถิงหลุบสายตาลงเล็กน้อย มีแสงจันทร์สะท้อนในดวงตาของเขา "บนภูเขาไม่ปลอดภัย ข้าจะเฝ้าอยู่ข้างนอก"ซูชิงอู่ไม่ถามอะไรอีก นางเดินไปที่บ่อน้ำและถอดเสื้อผ้าของนางออกหากเย่เสวียนถิงไม่อยู่ที่นี่ นางคงไม่สามารถอาบน้ำในป่าได้ง่าย ๆเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้ ๆ ซูชิงอู่จึงรู้สึกค่อนข้างปลอดภัยหลังจากอาบน้ำเสร็จก็เห็นเสื้อผ้าวางอยู่บนฝั่งขนาดกำลังพอดีสำหรับนาง ราวกับมันถูกเตรียมไว้เพื่อนางโดยเฉพาะหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ตั้งอยู่บนไหล่เขาขนาดไม่ใหญ่นัก นอกจากบ่อน้ำพุร้อนที่อยู่ในบริเวณบ้านพักแล้ว ก็มีบ้านเพียงห้าหลังเท่านั้นบ้านที่อยู่ตรงกลางคือหลังที่ใหญ่ที่สุด ซูชิงอู่เดินเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็พบว่าข้างในบ้านตกแต่งเรียบง่ายและสะอาดสะอ้านเดินเข้าไปข้างในก็คือบ้านที่ใช้อยู่อาศัย มีเตียงขนาดใหญ่วางอยู่ตรงกลาง นอกจากตรงจุดนี้ที่ได้รับการทำความสะอาดแล้ว ส่วนอื่น ๆ ก็ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาเป็นชั้น เห็นได้ชัดว่าเย่เสวียนถิงเข้ามาทำความสะอาดให้เมื่อครู่ซูชิงอู่รู้สึกอบอุ่นใจทว่านางไม่ได้ออกปาก
ทันใดนั้นก็มีเสื้อคลุมอีกตัวหนึ่งคลุมตัวของนางไว้ความหนาวเย็นบนร่างกายของนางถูกขจัดออกไปในทันที และจู่ ๆ เย่เสวียนถิง ก็โน้มตัวลงมาและดึงนางให้ลุกขึ้นยืน“อาอู่ มากับข้าสิ”ซูชิงอู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยืนขึ้นต่อหน้าทุกคน กองไฟตรงหน้านางยังคงปะทุอยู่ และผู้คนที่นั่งรอกันอย่างเบื่อหน่ายก็มองตรงไปยังทิศทางที่พวกเขาทั้งสองจากไปทุกคนยังคงหิวอยู่ ตอนนี้ดึกมากแล้ว แม้กระทั่งการกินข้าวจึงกลายเป็นปัญหา หลินอิงย่างกระต่ายป่าที่นางเพิ่งจับได้และมอบให้นายน้อยของนางอย่างระมัดระวัง“นายน้อย ทานสิเจ้าคะ”หลิ่วจ้งอิ๋นเหลือบมองหลินอิง เดิมทีเขาต้องการทิ้งเด็กคนนี้ไว้ที่บ้านเพื่อดูแลคนชรา แต่นางไม่ยอม จึงกลายเป็นว่ามีสตรีติดตามเขาไปทุกที่เขารับกระต่ายขึ้นมาแล้วมองสายตาของเด็กน้อยที่แอบมองเขา แต่ก็ลังเลที่จะพูด จากนั้นเขาก็ยื่นขากระต่ายทั้งสองข้างให้นางแม้หลินอิงจะไม่ได้พูดตลอดการเดินทาง แต่ในระหว่างการต่อสู้ไม่นานมานี้ นางซึ่งเป็นสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมดาบในมือ สิ่งนี้ทำให้เขาดูเป็นคนใจร้าย และนั่นก็ค่อนข้างน่าสะเทือนใจในฐานะนายน้อยตระกูลหลิ่ว เขามีชีวิตที่ราบรื่นและได
“เสวียนถิง ท่านมองข้าสิ”ม่านตาของเย่เสวียนถิงสั่นไหวเล็กน้อย เขาคว้าข้อมือของซูชิงอู่ไว้ดาบในมือของเขาหล่นลงกับพื้นทั้งที่ยังคงเปื้อนเลือด“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทิ้งท่านไปไหนอีก”ซูชิงอู่ตอบอย่างจริงจัง น้ำเสียงของนางมั่นคงหนักแน่นนางจะไม่ทำให้ตัวเองต้องเสียใจทีหลังอีก“ดูสิ ตอนนี้ข้าสามารถปกป้องตัวเองได้แล้ว ท่านกลับจากชายแดนเมื่อไร ช่วยสอนวรยุทธให้ข้าได้หรือไม่?”นางปลอบประโลมอารมณ์ในดวงตาของเย่เสวียนถิงได้เขาใช้นิ้วลูบหลังมือของนางเบา ๆ“เอาล่ะ อาอู่ หนอนกู่พวกนั้นก็อันตรายมากเช่นกัน จากนี้เจ้าไม่…”ซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ พลางก้มหน้า “กู่เหล่านั้นเป็นวิธีที่ข้าใช้ปกป้องตัวเอง อีกทั้งท่านอ๋องก็ไม่สามารถอยู่เคียงข้างข้าได้ตลอด หากข้าไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ท่านจะเป็นห่วงข้ามากกว่าเดิมหรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่เสวียนถิงก็เลิกคิ้วและพยักหน้าเขารู้สึกไม่ชอบใจที่ตัวเขาไร้ประโยชน์ทั้งยังทำให้อาอู่ตกอยู่ในอันตรายหากเขาอยู่เคียงข้างนาง เขายังสามารถจับตาดูนางได้ แต่เมื่อเขาต้องจากที่นี่ไปยังสนามรบชายแดน ถึงตอนนั้น…เย่เสวียนถิงไม่กล้านึกถึงความฝันที่เขาพูดถึงเหตุผลท