ด้วยวัยเพียงยี่สิบสองปี เขากลับเป็นผู้ใหญ่และสุขุมมาก ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาแต่จริงจัง รวมทั้งคำพูดและรอยยิ้ม อีกทั้งรูปร่างหน้าตายังคล้ายคลึงกับฮ่องเต้มากเสียด้วย ขุนนางหลายคนบอกว่าเขาเป็นแบบจำลองของฮ่องเต้เมื่อครั้นยังทรงพระเยาว์ ชวนให้นึกถึงรูปลักษณ์ในอดีตของเขาและแม้แต่ความชอบบางอย่างของเขาก็ยังคล้ายกันกับฮ่องเต้ เช่นนั้นเขาจึงได้รับความโปรดปรานและชื่นชอบจากฮ่องเต้เป็นพิเศษเขายังเป็นคู่แข่งที่ทรงพลังที่สุดของเย่อวิ๋นถูในการเข้าครอบครองบัลลังก์อีกด้วยฮ่องเต้มองไปทางซ้ายและขวา และอดไม่ได้ที่จะถามว่า "เย่เสวียนถิงอยู่ที่ไหน?"ในที่สุด เย่อวิ๋นถูก็คว้าโอกาสนี้ไว้ เขาจงใจสร้างเรื่องยุ่งยากให้กับเย่เสวียนถิงเขาเย้ยหยัน และพูดด้วยความเคารพว่า "เมื่อครู่ ลูกเห็นพี่รองกำลังพาพระชายาเสวียนไปจับผีเสื้อที่เดียวกัน เขาหลงสตรีจนลืมแวะมาทักทายเสด็จพ่อ ช่างอกตัญญูจริง ๆ!"ซูเฟยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าเมื่อได้ยินคำพูดถากถางของเย่อวิ๋นถู ใบหน้าของนางซีดลง ก่อนจะอธิบายถึงเย่เสวียนถิงในแง่ดีทันที "ฮ่องเต้ โปรดอย่ากริ้วไปเลย อาจเป็นได้ว่าชายาเสวียนอยากเที่ยวชมดอกไม้ เช่นนั้นในฐานะสามีเขา
ท่าทีของฮ่องเต้ที่มีต่อซูชิงอูอ่อนลงมาก“เจ้าปากหวานขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ถึงกระนั้น เจ้าก็ไม่ควรทำอะไรที่อาจส่งผลกระทบต่อหน้าที่ของอ๋องเสวียน” ซูชิงอู่ก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า "หน้าที่ของท่านอ๋องในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อปกป้องเสด็จพ่อหรือเพคะ? ชิงอู่รู้ทักษะทางการแพทย์และบังเอิญไปเห็นสิ่งดี ๆ บนภูเขาลูกนี้ หม่อมฉันจึงขอให้ท่านอ๋องไปกับหม่อมฉันเพื่อเก็บรวบรวมสิ่งเหล่านี้มาถวายให้แก่เสด็จพ่อเพคะ”ฮ่องเต้หัวเราะเบา ๆ "เจ้ามีทักษะทางการแพทย์ด้วยหรือ?"เขาปิดริมฝีปากและไอ พยายามทำให้สีหน้าของตนดูเป็นธรรมชาติ เพื่อไม่ให้ทำร้ายจิตใจของซูชิงอู่มากเกินไปใครบ้างจะไม่รู้ว่าฟางอี๋ซิน แม่ของซูชิงอู่เป็นหมอเทวดาที่มีชื่อเสียงเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ และมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้รับผลประโยชน์จากนาง แต่ซูชิงอู่ไม่ได้ศึกษาตำราแพทย์เหล่านั้นมาหลายปีแล้วซูชิงอู่ไม่พอใจเล็กน้อย นางพูดขึ้นว่า "เสด็จพ่อ ดูดอกไม้นี้สิเพคะ มันมีชื่อว่าจื่อชุนหลาน กลิ่นของมันสามารถไล่ยุงได้ ตราบใดที่เสด็จพ่อวางมันไว้ข้างกาย ฝ่าบาทและเหล่าพระชายาจะไม่ถูกยุงและแมลงชนิดอื่น ๆ รบกวน"คำพูดเหล่านี้กระตุ้นความสนใจของฮ่อง
เย่อวิ๋นถูพลันทอดสายตามองมาที่ขาของเย่เสวียนถิง รอยยิ้มเยาะผุดขึ้นตรงมุมปาก จากนั้นเขาก็ประสานมือพลางกล่าวว่า "เสด็จพ่อ หาได้ยากนักที่พวกกระหม่อมสามพี่น้องจะอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ไฉนมิให้พวกกระหม่อมสำแดงทักษะการขี่ม้ายิงธนูให้พระองค์ดูเล่าพ่ะย่ะค่ะ?" ฮ่องเต้ชราพยักหน้าเบา ๆ "ยามนี้ก็สายไม่น้อยแล้ว เช่นนั้นก็ให้ข้าได้เห็นความสามารถของพวกเจ้าสามพี่น้องสักหน่อยเถิด เผื่อจะได้เป็นเยี่ยงอย่างแก่อนุชนในเมืองหลวง" เย่อวิ๋นถูเหลือบมองเย่เสวียนถิงด้วยสายตายั่วยุ นับตั้งแต่ขาของเย่เสวียนถิงได้รับบาดเจ็บ เขาก็แทบจะมิได้ขี่ม้ายิงธนูและแทบจะมิได้มาที่ลานฝึกเสียด้วยซ้ำไป การที่เขาต้องเดินโขยกเขยกช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่งนัก วันนี้เขาจะให้ทุกคนในเมืองหลวงได้เห็นสภาพน่าสมเพชของเทพสงครามผู้นี้ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ยกย่องของขุนนางบุ๋นและบู๊ เย่เสวียนถิงยังคงนิ่งเงียบ ยามที่เขาเดินเหิน เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ายังขยับขาและเท้าได้ลำบาก เนื่องจากขายังคงเจ็บอยู่ เขายังคงสีหน้าไร้อารมณ์และมิได้ใส่ใจสายตาของผู้อื่น จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้คนของตนจูงม้าเข้ามา เย่ชิวหมิงมิยอม
ซูชิงอู่ที่เฝ้ามองดูการแข่งขันครั้งนี้อยู่ตลอดพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน นางวิ่งออกมาโดยมิได้ลังเลใจแต่อย่างใด นางมิได้ว่องไวนัก ทว่ากลับมีสีหน้าเป็นกังวล อาชาที่อยู่ใต้อานของเย่เสวียนถิงพุ่งทะยานไปทิศทางเดียวราวกับคลุ้มคลั่งเสียแล้ว ท่าทางคลุ้มคลั่งของมันประดุจดั่งจะเหวี่ยงคนขี่ให้ร่วงลงมาได้ทุกเมื่อ! เย่เสวียนถิงคลายมือออก จากนั้นปล่อยเกาทัณฑ์และคันธนูที่เบนออกจากตำแหน่งก่อนหน้านี้ ทว่ายามนี้หามีผู้ใดสนใจว่าเกาทัณฑ์จะเข้าเป้าหรือไม่ เย่เสวียนถิงใช้มือทั้งสองข้างกำสายบังเหียนเอาไว้แน่น แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าแนบหลังอาชาเพื่อลดแรงต้านทานลม แต่อาชาไร้สติโดยสิ้นเชิงแล้ววิ่งตรงไปสุดลานฝึก ราวกับว่ากำลังจะชนเข้ากับกำแพง เย่เสวียนถิงออกแรงแขนเพื่อบังคับอาชาให้ยกกีบเท้าหน้าขึ้น เมื่ออาชาเสียหลักก็ล้มลงกับพื้นอย่างแรงพร้อมกับเย่เสวียนถิง ทุกคนต่างเบิกตามองด้วยความตกตะลึง ในขณะเดียวกันเย่อวิ๋นถูกับเย่ชิวหมิงที่หยุดอาชาอยู่กับที่ ต่างก็มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาเย็นชา ระหว่างที่เย่อวิ๋นถูชมดูการแสดงก็ยิ้มเยาะออกมา "ม้าตัวนี้คลุ้มคลั่งไปเสียแล้ว ถ้าเป็นเย่เสวียนถิงเมื่อคร
เย่อวิ๋นถูรู้สึกตื่นตกใจกับการเคลื่อนไหวอันกะทันหันของอาชาจึงคว้าสายบังเหียนเอาไว้โดยมิรู้ตัว จากนั้นทุกคนก็เห็นว่าองค์ชายอีกสองพระองค์ก็กำลังห้อตะบึงอยู่บนลานฝึกอย่างเป็นบ้าเป็นหลังเช่นกัน ซูชิงอู่ทำหน้าตาสับสนงุนงงแล้วยืนนิ่งงันด้วยสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใด ราวกับว่านางรู้สึกหวาดกลัวเสียจนพูดไม่ออก เหล่าราชองครักษ์ต่างรีบวิ่งเข้ามาด้วยหมายจะช่วยเหลือองค์ชายทั้งสองพระองค์ที่รู้สึกตื่นตระหนกบนหลังอาชาให้พ้นภัย แต่ความเร็วของอาชาทั่วไปจะเทียบกับอาชาเหงื่อโลหิตได้อย่างไรกันเล่า ทั้งยังเป็นอาชาเหงื่อโลหิตที่คลุ้มคลั่งอีกต่างหาก! เหตุการณ์กลับโกลาหลไปสักพัก อาชาของเย่ชิวหมิงกับเย่อวิ๋นถูกำลังห้อตะบึงมาข้างหน้า โดยมีคนกลุ่มหนึ่งไล่ตามหลังมา แววขบขันวูบผ่านดวงตาของซูชิงอู่ ทว่านางกลับปกปิดเอาไว้โดยมิได้เผยเค้าเงื่อนใด ๆ ออกมาทางสีหน้า เมื่อนางตบมือ ภายในฝ่ามือที่แลดูสะอาดสะอ้านก็มีผงจาง ๆ ร่วงหล่นสู่พื้น เล่นงานคนของนางหรือ? นางจะให้พวกเขาได้ลิ้มรสความสนุกสนานเป็นสองเท่าเลยเชียวล่ะ! เมื่อเย่เสวียนถิงเห็นภาพเหตุการณ์ฉากนี้ เขาก็แววตาเป็นประกาย เขาพลันรู้สึกว่าคนเองมิ
ถึงแม้ว่าซูชิงอู่จะไม่รู้จักบ่าวรับใช้ผู้นี้ แต่นางบอกได้จากสีหน้าของเย่เสวียนถิงว่าอีกฝ่ายต้องเป็นคนของเขาอย่างแน่นอน การถูกพาตัวมาอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้ในยามนี้ย่อมมิใช่เรื่องดี แน่นอนว่าราชองครักษ์ที่พาตัวมาย่อมต้องถีบบ่าวรับใช้ผู้นี้ เพื่อให้อีกฝ่ายคุกเข่าลงกับพื้น ราชองครักษ์รีบคำนับฮ่องเต้พลางกล่าวว่า "ฝ่าบาท หมอหลวงซุนเพิ่งจะตรวจดูม้าพวกนั้นและพบว่าเป็นเพราะพวกมันกินสมุนไพรสองชนิดผสมกันจึงทำให้พวกมันเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา มิหนำซ้ำยังพบโอสถชนิดนั้นในตัวคนผู้นี้อีกต่างหาก! " มีคนคว้าเอาห่อยาไปจากมือของบ่าวรับใช้ผู้นั้นแล้วมอบให้แก่ฮ่องเต้ด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม ขันทีพลันรับมาแล้วเอาให้ฮ่องเต้ดู ฮ่องเต้ชราพลันสีหน้าหม่นคล้ำขึ้นมาทันที "คนผู้นี้เป็นคนของผู้ใดกัน?" "ทูลฝ่าบาท คนผู้นี้เป็นบ่าวรับใช้ของจวนอ๋องเสวียนพ่ะย่ะค่ะ" ฮ่องเต้ชราขมวดคิ้วเล็กน้อย ฮองเฮาที่อยู่ข้างพระวรกายพลันลุกขึ้นทันที พระนางหน้าตาซีดขาวและน้ำเสียงสั่นเครือ "ฝ่าบาท พระองค์ได้ยินหรือไม่เพคะ? อ๋องเสวียนต้องสั่งให้เขาใส่โอสถชนิดนี้ลงไปเป็นแน่ เขาเป็นบ่าวรับใช้และต่อให้เขาใจกล้าสักเพียงใด ก็คงมิกล้าลง
เจตนาสังหารแผ่ลามไปทั่วทั้งจิตใจของนางพลางเอ่ยขึ้นต่อหน้าเย่เสวียนถิง "เสด็จพ่อ ความจริงยังมิเปิดเผย พระองค์จะกล่าวหาท่านอ๋องโดยไม่เป็นธรรมได้อย่างไรเพคะ?" ฮองเฮาจึงตำหนินางด้วยพระสุรเสียงเย็นชาขึ้นมาว่า "เจ้าหามีสิทธิ์มาสอดปากพูดที่นี่ จงหุบปากไปซะ!" ซูชิงอู่รู้สึกอึดอัดใจเพราะคำตำหนิ ขณะที่นางกำลังจะตอบโต้อยู่นั้น เย่เสวียนถิงก็คว้าข้อมือของนางเอาไว้ เขาเงยหน้าขึ้นแล้วสายตาเย็นชาของเขาก็ทอดมองมาที่ฮองเฮา "อาอู่เป็นพระชายาของกระหม่อม ไยนางจึงหามีสิทธิ์เอ่ยวาจาที่นี่เล่าพ่ะย่ะค่ะ?" เมื่อฮองเฮาได้ยินเย่เสวียนถิงกล้าโต้แย้งพระนางต่อหน้าธารกำนัล พระนางก็พลันรู้สึกอับอายขายหน้าขึ้นมาทันที พระนางก็เอ่ยเสียงเคร่งขึ้นมาว่า "นางก็แค่เจ้าสาวที่เพิ่งจะแต่งเข้ามา หลังจากกลายเป็นพระชายาแล้วก็คิดจะแหกกฎหรือ? ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ไม่เคารพยำเกรงข้าเลย ในฐานที่เป็นสตรีจากเรือนหลัง นางยังก้าวก่ายเรื่องในราชสำนักอีกต่างหาก ผู้ใดให้ความกล้ากับนางกัน?” เย่เสวียนถิงจึงกล่าวอย่างไม่ไว้หน้าว่า "กระหม่อมมอบให้นางเอง" เมื่อฮองเฮาได้ยินเช่นนี้เข้า พระนางก็พิโรธมากเสียจนเส้นโลหิตตรงหน้าผาก
บ่าวรับใช้คิดว่าตนกำลังจะตายจึงหลับตาแน่น แต่หลังจากนั้นสักพัก กลับมิได้รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด คนที่อยู่ห่างออกไปมิไกลพลันแผดเสียงร้องขึ้นมาทันที "อ๊า!" ทุกคนต่างหันไปมองตามทิศทางของเสียงร้อง พวกเขาเห็นเกาทัณฑ์สองดอกยิงใส่อาชาทั้งสองตัว ถึงแม้ว่าอาชาตัวหนึ่งจะตายไปแล้ว แต่มันก็ยังถูกเกาทัณฑ์เสียบทะลุ อาชาทั้งสองตัวนี้เป็นม้าตัวโปรดของเย่ชิวหมิงกับเย่อวิ๋นถู พวกมันได้รับการเลี้ยงดูอย่างพิถีพิถัน ทว่ายามนี้พวกมันล้วนตายหมดแล้ว น้ำเสียงของเขาทั้งเย็นชาและขรึมเคร่ง ทั้งยังมีแววทระนงผุดขึ้นในดวงตาวูบหนึ่ง จากนั้นเขาก็เก็บอาวุธในมือแล้วกล่าวกับทุกคนว่า "เวลาที่ใช้วางยามิได้นานนัก ในเมื่อมีคนบอกว่าม้าสองตัวนี้ถูกป้อนสมุนไพรสองชนิดลงไป เช่นนั้นย่อมต้องหลงเหลือสมุนไพรอยู่ในกระเพาะอาหาร ขอเพียงหมอหลวงซุนผ่าซากม้าตรวจดู พวกเราก็จะรู้เอง" ส่วนอาชาของเขา มิจำเป็นต้องตรวจดูหรอก เพราะย่อมต้องถูกวางยาเป็นแน่ เมื่อซูชิงอู่เห็นท่าทีสงบนิ่งของเย่เสวียนถิง รอยยิ้มจาง ๆ ก็ผุดขึ้นในดวงตาของนาง นางเก็บสิ่งที่ซ่อนอยู่ในมือลงไป ในเมื่อนางมิจำเป็นต้องสอดมือเข้าไปยุ่ง เจ้าสิ่งนี้ก็หามี
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้