เย่อวิ๋นถูรู้สึกตื่นตกใจกับการเคลื่อนไหวอันกะทันหันของอาชาจึงคว้าสายบังเหียนเอาไว้โดยมิรู้ตัว จากนั้นทุกคนก็เห็นว่าองค์ชายอีกสองพระองค์ก็กำลังห้อตะบึงอยู่บนลานฝึกอย่างเป็นบ้าเป็นหลังเช่นกัน ซูชิงอู่ทำหน้าตาสับสนงุนงงแล้วยืนนิ่งงันด้วยสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใด ราวกับว่านางรู้สึกหวาดกลัวเสียจนพูดไม่ออก เหล่าราชองครักษ์ต่างรีบวิ่งเข้ามาด้วยหมายจะช่วยเหลือองค์ชายทั้งสองพระองค์ที่รู้สึกตื่นตระหนกบนหลังอาชาให้พ้นภัย แต่ความเร็วของอาชาทั่วไปจะเทียบกับอาชาเหงื่อโลหิตได้อย่างไรกันเล่า ทั้งยังเป็นอาชาเหงื่อโลหิตที่คลุ้มคลั่งอีกต่างหาก! เหตุการณ์กลับโกลาหลไปสักพัก อาชาของเย่ชิวหมิงกับเย่อวิ๋นถูกำลังห้อตะบึงมาข้างหน้า โดยมีคนกลุ่มหนึ่งไล่ตามหลังมา แววขบขันวูบผ่านดวงตาของซูชิงอู่ ทว่านางกลับปกปิดเอาไว้โดยมิได้เผยเค้าเงื่อนใด ๆ ออกมาทางสีหน้า เมื่อนางตบมือ ภายในฝ่ามือที่แลดูสะอาดสะอ้านก็มีผงจาง ๆ ร่วงหล่นสู่พื้น เล่นงานคนของนางหรือ? นางจะให้พวกเขาได้ลิ้มรสความสนุกสนานเป็นสองเท่าเลยเชียวล่ะ! เมื่อเย่เสวียนถิงเห็นภาพเหตุการณ์ฉากนี้ เขาก็แววตาเป็นประกาย เขาพลันรู้สึกว่าคนเองมิ
ถึงแม้ว่าซูชิงอู่จะไม่รู้จักบ่าวรับใช้ผู้นี้ แต่นางบอกได้จากสีหน้าของเย่เสวียนถิงว่าอีกฝ่ายต้องเป็นคนของเขาอย่างแน่นอน การถูกพาตัวมาอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้ในยามนี้ย่อมมิใช่เรื่องดี แน่นอนว่าราชองครักษ์ที่พาตัวมาย่อมต้องถีบบ่าวรับใช้ผู้นี้ เพื่อให้อีกฝ่ายคุกเข่าลงกับพื้น ราชองครักษ์รีบคำนับฮ่องเต้พลางกล่าวว่า "ฝ่าบาท หมอหลวงซุนเพิ่งจะตรวจดูม้าพวกนั้นและพบว่าเป็นเพราะพวกมันกินสมุนไพรสองชนิดผสมกันจึงทำให้พวกมันเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา มิหนำซ้ำยังพบโอสถชนิดนั้นในตัวคนผู้นี้อีกต่างหาก! " มีคนคว้าเอาห่อยาไปจากมือของบ่าวรับใช้ผู้นั้นแล้วมอบให้แก่ฮ่องเต้ด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม ขันทีพลันรับมาแล้วเอาให้ฮ่องเต้ดู ฮ่องเต้ชราพลันสีหน้าหม่นคล้ำขึ้นมาทันที "คนผู้นี้เป็นคนของผู้ใดกัน?" "ทูลฝ่าบาท คนผู้นี้เป็นบ่าวรับใช้ของจวนอ๋องเสวียนพ่ะย่ะค่ะ" ฮ่องเต้ชราขมวดคิ้วเล็กน้อย ฮองเฮาที่อยู่ข้างพระวรกายพลันลุกขึ้นทันที พระนางหน้าตาซีดขาวและน้ำเสียงสั่นเครือ "ฝ่าบาท พระองค์ได้ยินหรือไม่เพคะ? อ๋องเสวียนต้องสั่งให้เขาใส่โอสถชนิดนี้ลงไปเป็นแน่ เขาเป็นบ่าวรับใช้และต่อให้เขาใจกล้าสักเพียงใด ก็คงมิกล้าลง
เจตนาสังหารแผ่ลามไปทั่วทั้งจิตใจของนางพลางเอ่ยขึ้นต่อหน้าเย่เสวียนถิง "เสด็จพ่อ ความจริงยังมิเปิดเผย พระองค์จะกล่าวหาท่านอ๋องโดยไม่เป็นธรรมได้อย่างไรเพคะ?" ฮองเฮาจึงตำหนินางด้วยพระสุรเสียงเย็นชาขึ้นมาว่า "เจ้าหามีสิทธิ์มาสอดปากพูดที่นี่ จงหุบปากไปซะ!" ซูชิงอู่รู้สึกอึดอัดใจเพราะคำตำหนิ ขณะที่นางกำลังจะตอบโต้อยู่นั้น เย่เสวียนถิงก็คว้าข้อมือของนางเอาไว้ เขาเงยหน้าขึ้นแล้วสายตาเย็นชาของเขาก็ทอดมองมาที่ฮองเฮา "อาอู่เป็นพระชายาของกระหม่อม ไยนางจึงหามีสิทธิ์เอ่ยวาจาที่นี่เล่าพ่ะย่ะค่ะ?" เมื่อฮองเฮาได้ยินเย่เสวียนถิงกล้าโต้แย้งพระนางต่อหน้าธารกำนัล พระนางก็พลันรู้สึกอับอายขายหน้าขึ้นมาทันที พระนางก็เอ่ยเสียงเคร่งขึ้นมาว่า "นางก็แค่เจ้าสาวที่เพิ่งจะแต่งเข้ามา หลังจากกลายเป็นพระชายาแล้วก็คิดจะแหกกฎหรือ? ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ไม่เคารพยำเกรงข้าเลย ในฐานที่เป็นสตรีจากเรือนหลัง นางยังก้าวก่ายเรื่องในราชสำนักอีกต่างหาก ผู้ใดให้ความกล้ากับนางกัน?” เย่เสวียนถิงจึงกล่าวอย่างไม่ไว้หน้าว่า "กระหม่อมมอบให้นางเอง" เมื่อฮองเฮาได้ยินเช่นนี้เข้า พระนางก็พิโรธมากเสียจนเส้นโลหิตตรงหน้าผาก
บ่าวรับใช้คิดว่าตนกำลังจะตายจึงหลับตาแน่น แต่หลังจากนั้นสักพัก กลับมิได้รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด คนที่อยู่ห่างออกไปมิไกลพลันแผดเสียงร้องขึ้นมาทันที "อ๊า!" ทุกคนต่างหันไปมองตามทิศทางของเสียงร้อง พวกเขาเห็นเกาทัณฑ์สองดอกยิงใส่อาชาทั้งสองตัว ถึงแม้ว่าอาชาตัวหนึ่งจะตายไปแล้ว แต่มันก็ยังถูกเกาทัณฑ์เสียบทะลุ อาชาทั้งสองตัวนี้เป็นม้าตัวโปรดของเย่ชิวหมิงกับเย่อวิ๋นถู พวกมันได้รับการเลี้ยงดูอย่างพิถีพิถัน ทว่ายามนี้พวกมันล้วนตายหมดแล้ว น้ำเสียงของเขาทั้งเย็นชาและขรึมเคร่ง ทั้งยังมีแววทระนงผุดขึ้นในดวงตาวูบหนึ่ง จากนั้นเขาก็เก็บอาวุธในมือแล้วกล่าวกับทุกคนว่า "เวลาที่ใช้วางยามิได้นานนัก ในเมื่อมีคนบอกว่าม้าสองตัวนี้ถูกป้อนสมุนไพรสองชนิดลงไป เช่นนั้นย่อมต้องหลงเหลือสมุนไพรอยู่ในกระเพาะอาหาร ขอเพียงหมอหลวงซุนผ่าซากม้าตรวจดู พวกเราก็จะรู้เอง" ส่วนอาชาของเขา มิจำเป็นต้องตรวจดูหรอก เพราะย่อมต้องถูกวางยาเป็นแน่ เมื่อซูชิงอู่เห็นท่าทีสงบนิ่งของเย่เสวียนถิง รอยยิ้มจาง ๆ ก็ผุดขึ้นในดวงตาของนาง นางเก็บสิ่งที่ซ่อนอยู่ในมือลงไป ในเมื่อนางมิจำเป็นต้องสอดมือเข้าไปยุ่ง เจ้าสิ่งนี้ก็หามี
ซูชิงอู่ลอบหัวเราะอยู่ในใจ หามีละอองเกสรดอกไม้อยู่จริงแต่อย่างใดไม่ ทว่ายามที่นางชักมือออกมาต่างหากเล่าที่มีละอองเกสรดอกไม้ หมอหลวงซุนเองก็เอ่ยขึ้นมาว่า "น่าจะเป็นชนิดพิเศษที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้น ละอองเกสรดอกไม้ชนิดนี้พบได้ยากยิ่งและใช่ว่าจะพบได้ทั่วไปในหุบเขา ฉะนั้นก็น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ..." ฮ่องเต้ชราพยักหน้า "ดูเหมือนว่าตัวการของเรื่องน่าขบขันในครั้งนี้คือ ละอองเกสรดอกไม้บนตัวขององค์ชายสาม กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือสาเหตุอยู่กับองค์ชายสามกระนั้นหรือ?" หามีผู้ใดกล้าเอ่ยวาจา ฮองเฮาทรงพิโรธเสียจนพระพักตร์แทบจะเขียวคล้ำ "ฝ่าบาทเพคะ เรื่องนี้ช่างไร้สาระสิ้นดี ละอองเกสรดอกไม้จะออกฤทธิ์รุนแรงถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน? หม่อมฉันมิเชื่อหรอกเพคะ!" เมื่อหมอหลวงซุนถูกฮองเฮามองด้วยสายตาข่มขู่เข้าก็รู้สึกสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งร่าง ยามนี้ผมที่เหลือเพียงไม่กี่เส้นกลับยิ่งบางลงไปอีก "ถ้าฮองเฮามิทรงเชื่อ กระหม่อมจะสั่งให้คนเอาละอองเกสรดอกไม้ชนิดนี้ไป" "ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะรอดูก็แล้วกัน!" ฮองเฮามิเชื่อและพระนางก็ไม่ยินยอมให้ผู้ใดมาสาดโคลนใส่เย่อวิ๋นถู มิฉะนั้นต่อให้บาดแผลที่ขาของเย่
เย่เสวียนถิงเอียงศีรษะแล้วมุมปากที่แต่เดิมเม้มแน่นก็ยกขึ้นเล็กน้อย เหตุผลหลักที่ทำให้เขาสังหารม้าก็เพราะคำเตือนของซูชิงอู่ นางบอกเขาว่าจัดการม้าสองตัวนั้นไปแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมมิได้เกิดจากสมุนไพรที่บ่าวรับใช้ป้อนให้เป็นแน่ ฉะนั้นเขาก็จะพิสูจน์ถึงความบริสุทธิ์ของตนเองได้ทันที ขอเพียงพบเงื่อนงำก็จะเบนความสนใจของทุกคนได้ จากนั้นก็จะจัดการกับปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังได้ง่ายขึ้นมาก ต้องขอบคุณซูชิงอู่ที่ทำให้เรื่องราวดำเนินไปอย่างราบรื่นเช่นนั้น ยามที่เย่เสวียนถิงมองนาง ดวงตาของเขาก็ฉายแววลึกซึ้งอยู่บ้างแล้วเขาก็กระดกนิ้วมือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวขึ้น ก่อนที่จะปล่อยให้ร่วงตกอีกครั้ง แต่ก่อนที่นิ้วมือจะหดกลับเข้าไปในแขนเสื้อ ก็มีมือนุ่มสอดประสานเอาไว้ นิ้วมือของพวกเขาเกาะเกี่ยวกันแล้วปลายนิ้วก็สัมผัสกับฝ่ามืออบอุ่นของกันและกัน ตอนนี้ดูเหมือนหัวใจของพวกเขาจะใกล้ชิดกันด้วย เหตุผลที่ทำให้ม้าจู่โจมเพียงแค่ฮองเฮา ก็เพราะฮองเฮามีพระอาการแพ้ละอองเกสรดอกไม้ขั้นรุนแรง ทำให้พระนางจึงต้องเสวยโอสถล่วงหน้าก่อนที่จะออกจากวังหลวง หลังจากเสวยโอสถเข้าไปแล้ว พระวรกายของพร
ฮ่องเต้หรี่พระเนตรเล็กน้อย แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ พระองค์ก็ยังคงเอ่ยขึ้นมาว่า "พวกเราต้องการหลักฐานเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ" ซูชิงอู่พลันเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยกับฮ่องเต้ว่า "เสด็จพ่อเพคะ ชิงอู่เชื่อว่าหลักฐานก็คือละอองเกสรดอกไม้บนตัวองค์ชายสาม ส่วนพยานก็อยู่ที่นี่มิใช่แล้วหรือเพคะ?" นางหันหน้าไปมองบ่าวรับใช้หนุ่มที่กำลังคุกเข่าอยู่กับพื้น ซูชิงอู่เดินเข้ามาทางด้านหลังของอีกฝ่าย น้ำเสียงของนางมิได้อ่อนโยนดังเช่นเย่เสวียนถิง ถึงแม้ว่านางจะกำลังแย้มยิ้ม แต่น้ำเสียงของนางกับฟังดูราวกับซ่อนใบมีดน้ำแข็งเอาไว้ "ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนสั่งให้เจ้าป้อนสมุนไพรให้ม้าทั้งสามตัวกิน ทำให้ม้าทุกตัวเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาถูกหรือไม่?" บ่าวรับใช้รู้ว่าเรื่องราวดำเนินไปในทิศทางที่มิอาจคาดเดาได้แล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าหลักฐานอันพร้อมมูล วาจาโป้ปดที่เขาเพิ่งจะกล่าวออกไปกลับไร้ประโยชน์ บ่าวรับใช้คุกเข่าแล้วคลานสองสามก้าวมาหาเย่เสวียนถิง ด้วยหมายจะเอื้อมมือคว้าชายเสื้อคลุมของเขา "ท่านอ๋อง ได้โปรดช่วยบ่าวด้วย บ่าวถูกบีบบังคับให้ทำ..." ทว่าซูชิงอู่กลับถีบอีกฝ่ายทันที ก่อนที่อีกฝ่ายจะทั
เมื่อฮ่องเต้มองดูก็เห็นราชองครักษ์ผู้หนึ่งกำลังนำเป้าธนูเข้ามา "ฝ่าบาท ลูกธนูดอกนี้คือลูกธนูที่ท่านอ๋องเสวียนยิงออกไปก่อนที่ม้าจะคลุ้มคลั่งพ่ะย่ะค่ะ!" เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้เข้าก็รู้สึกตกตะลึง เหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ ยังคงทำให้บรรดาผู้ที่กำลังชมดูอยู่โดยรอบรู้สึกหวาดกลัว แต่พวกเขาไม่นึกว่าลูกธนูที่คิดว่าพลาดเป้าไปแล้วจะยิงเข้าเป้าจริง ๆ นี่มันพลังอันใดกัน! เมื่อฮ่องเต้ชรามองเห็นลูกธนูได้ชัดเจนก็อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมา พระองค์เดินเข้ามาหาเย่เสวียนถิงแล้วยกพระหัตถ์ขึ้นมาตบไหล่ของอีกฝ่าย "โอรสของข้าช่างน่าเกรงขามจริง ๆ คู่ควรให้ผู้คนขนานนามว่าเทพสงครามแล้ว ถ้าหากขาของเจ้ามิได้รับบาดเจ็บ...เฮ้อ!" ฮ่องเต้ชราทอดถอนใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความเสียดาย ขันทีข้างพระวรกายรีบเอ่ยขึ้นมาทันทีว่า "ฝ่าบาท นี่ย่อมเป็นพรสวรรค์ที่เทพเซียนก็ต้องอิจฉาเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!" เงามืดวูบผ่านดวงตาของเย่เสวียนถิงไป เขาขยับขาซ้ายไปข้างหลังเล็กน้อยโดยไร้ซึ่งพิรุธใด ๆ ซูชิงอู่ยังคงยืนฟังฮ่องเต้ชราเอ่ยปากชื่นชมเย่เสวียนถิงอยู่ข้างกายเขา นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เย่เสวียนถิงได้รับ
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้