เย่อวิ๋นถูรู้สึกตื่นตกใจกับการเคลื่อนไหวอันกะทันหันของอาชาจึงคว้าสายบังเหียนเอาไว้โดยมิรู้ตัว จากนั้นทุกคนก็เห็นว่าองค์ชายอีกสองพระองค์ก็กำลังห้อตะบึงอยู่บนลานฝึกอย่างเป็นบ้าเป็นหลังเช่นกัน ซูชิงอู่ทำหน้าตาสับสนงุนงงแล้วยืนนิ่งงันด้วยสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใด ราวกับว่านางรู้สึกหวาดกลัวเสียจนพูดไม่ออก เหล่าราชองครักษ์ต่างรีบวิ่งเข้ามาด้วยหมายจะช่วยเหลือองค์ชายทั้งสองพระองค์ที่รู้สึกตื่นตระหนกบนหลังอาชาให้พ้นภัย แต่ความเร็วของอาชาทั่วไปจะเทียบกับอาชาเหงื่อโลหิตได้อย่างไรกันเล่า ทั้งยังเป็นอาชาเหงื่อโลหิตที่คลุ้มคลั่งอีกต่างหาก! เหตุการณ์กลับโกลาหลไปสักพัก อาชาของเย่ชิวหมิงกับเย่อวิ๋นถูกำลังห้อตะบึงมาข้างหน้า โดยมีคนกลุ่มหนึ่งไล่ตามหลังมา แววขบขันวูบผ่านดวงตาของซูชิงอู่ ทว่านางกลับปกปิดเอาไว้โดยมิได้เผยเค้าเงื่อนใด ๆ ออกมาทางสีหน้า เมื่อนางตบมือ ภายในฝ่ามือที่แลดูสะอาดสะอ้านก็มีผงจาง ๆ ร่วงหล่นสู่พื้น เล่นงานคนของนางหรือ? นางจะให้พวกเขาได้ลิ้มรสความสนุกสนานเป็นสองเท่าเลยเชียวล่ะ! เมื่อเย่เสวียนถิงเห็นภาพเหตุการณ์ฉากนี้ เขาก็แววตาเป็นประกาย เขาพลันรู้สึกว่าคนเองมิ
ถึงแม้ว่าซูชิงอู่จะไม่รู้จักบ่าวรับใช้ผู้นี้ แต่นางบอกได้จากสีหน้าของเย่เสวียนถิงว่าอีกฝ่ายต้องเป็นคนของเขาอย่างแน่นอน การถูกพาตัวมาอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้ในยามนี้ย่อมมิใช่เรื่องดี แน่นอนว่าราชองครักษ์ที่พาตัวมาย่อมต้องถีบบ่าวรับใช้ผู้นี้ เพื่อให้อีกฝ่ายคุกเข่าลงกับพื้น ราชองครักษ์รีบคำนับฮ่องเต้พลางกล่าวว่า "ฝ่าบาท หมอหลวงซุนเพิ่งจะตรวจดูม้าพวกนั้นและพบว่าเป็นเพราะพวกมันกินสมุนไพรสองชนิดผสมกันจึงทำให้พวกมันเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา มิหนำซ้ำยังพบโอสถชนิดนั้นในตัวคนผู้นี้อีกต่างหาก! " มีคนคว้าเอาห่อยาไปจากมือของบ่าวรับใช้ผู้นั้นแล้วมอบให้แก่ฮ่องเต้ด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม ขันทีพลันรับมาแล้วเอาให้ฮ่องเต้ดู ฮ่องเต้ชราพลันสีหน้าหม่นคล้ำขึ้นมาทันที "คนผู้นี้เป็นคนของผู้ใดกัน?" "ทูลฝ่าบาท คนผู้นี้เป็นบ่าวรับใช้ของจวนอ๋องเสวียนพ่ะย่ะค่ะ" ฮ่องเต้ชราขมวดคิ้วเล็กน้อย ฮองเฮาที่อยู่ข้างพระวรกายพลันลุกขึ้นทันที พระนางหน้าตาซีดขาวและน้ำเสียงสั่นเครือ "ฝ่าบาท พระองค์ได้ยินหรือไม่เพคะ? อ๋องเสวียนต้องสั่งให้เขาใส่โอสถชนิดนี้ลงไปเป็นแน่ เขาเป็นบ่าวรับใช้และต่อให้เขาใจกล้าสักเพียงใด ก็คงมิกล้าลง
เจตนาสังหารแผ่ลามไปทั่วทั้งจิตใจของนางพลางเอ่ยขึ้นต่อหน้าเย่เสวียนถิง "เสด็จพ่อ ความจริงยังมิเปิดเผย พระองค์จะกล่าวหาท่านอ๋องโดยไม่เป็นธรรมได้อย่างไรเพคะ?" ฮองเฮาจึงตำหนินางด้วยพระสุรเสียงเย็นชาขึ้นมาว่า "เจ้าหามีสิทธิ์มาสอดปากพูดที่นี่ จงหุบปากไปซะ!" ซูชิงอู่รู้สึกอึดอัดใจเพราะคำตำหนิ ขณะที่นางกำลังจะตอบโต้อยู่นั้น เย่เสวียนถิงก็คว้าข้อมือของนางเอาไว้ เขาเงยหน้าขึ้นแล้วสายตาเย็นชาของเขาก็ทอดมองมาที่ฮองเฮา "อาอู่เป็นพระชายาของกระหม่อม ไยนางจึงหามีสิทธิ์เอ่ยวาจาที่นี่เล่าพ่ะย่ะค่ะ?" เมื่อฮองเฮาได้ยินเย่เสวียนถิงกล้าโต้แย้งพระนางต่อหน้าธารกำนัล พระนางก็พลันรู้สึกอับอายขายหน้าขึ้นมาทันที พระนางก็เอ่ยเสียงเคร่งขึ้นมาว่า "นางก็แค่เจ้าสาวที่เพิ่งจะแต่งเข้ามา หลังจากกลายเป็นพระชายาแล้วก็คิดจะแหกกฎหรือ? ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ไม่เคารพยำเกรงข้าเลย ในฐานที่เป็นสตรีจากเรือนหลัง นางยังก้าวก่ายเรื่องในราชสำนักอีกต่างหาก ผู้ใดให้ความกล้ากับนางกัน?” เย่เสวียนถิงจึงกล่าวอย่างไม่ไว้หน้าว่า "กระหม่อมมอบให้นางเอง" เมื่อฮองเฮาได้ยินเช่นนี้เข้า พระนางก็พิโรธมากเสียจนเส้นโลหิตตรงหน้าผาก
บ่าวรับใช้คิดว่าตนกำลังจะตายจึงหลับตาแน่น แต่หลังจากนั้นสักพัก กลับมิได้รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด คนที่อยู่ห่างออกไปมิไกลพลันแผดเสียงร้องขึ้นมาทันที "อ๊า!" ทุกคนต่างหันไปมองตามทิศทางของเสียงร้อง พวกเขาเห็นเกาทัณฑ์สองดอกยิงใส่อาชาทั้งสองตัว ถึงแม้ว่าอาชาตัวหนึ่งจะตายไปแล้ว แต่มันก็ยังถูกเกาทัณฑ์เสียบทะลุ อาชาทั้งสองตัวนี้เป็นม้าตัวโปรดของเย่ชิวหมิงกับเย่อวิ๋นถู พวกมันได้รับการเลี้ยงดูอย่างพิถีพิถัน ทว่ายามนี้พวกมันล้วนตายหมดแล้ว น้ำเสียงของเขาทั้งเย็นชาและขรึมเคร่ง ทั้งยังมีแววทระนงผุดขึ้นในดวงตาวูบหนึ่ง จากนั้นเขาก็เก็บอาวุธในมือแล้วกล่าวกับทุกคนว่า "เวลาที่ใช้วางยามิได้นานนัก ในเมื่อมีคนบอกว่าม้าสองตัวนี้ถูกป้อนสมุนไพรสองชนิดลงไป เช่นนั้นย่อมต้องหลงเหลือสมุนไพรอยู่ในกระเพาะอาหาร ขอเพียงหมอหลวงซุนผ่าซากม้าตรวจดู พวกเราก็จะรู้เอง" ส่วนอาชาของเขา มิจำเป็นต้องตรวจดูหรอก เพราะย่อมต้องถูกวางยาเป็นแน่ เมื่อซูชิงอู่เห็นท่าทีสงบนิ่งของเย่เสวียนถิง รอยยิ้มจาง ๆ ก็ผุดขึ้นในดวงตาของนาง นางเก็บสิ่งที่ซ่อนอยู่ในมือลงไป ในเมื่อนางมิจำเป็นต้องสอดมือเข้าไปยุ่ง เจ้าสิ่งนี้ก็หามี
ซูชิงอู่ลอบหัวเราะอยู่ในใจ หามีละอองเกสรดอกไม้อยู่จริงแต่อย่างใดไม่ ทว่ายามที่นางชักมือออกมาต่างหากเล่าที่มีละอองเกสรดอกไม้ หมอหลวงซุนเองก็เอ่ยขึ้นมาว่า "น่าจะเป็นชนิดพิเศษที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้น ละอองเกสรดอกไม้ชนิดนี้พบได้ยากยิ่งและใช่ว่าจะพบได้ทั่วไปในหุบเขา ฉะนั้นก็น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ..." ฮ่องเต้ชราพยักหน้า "ดูเหมือนว่าตัวการของเรื่องน่าขบขันในครั้งนี้คือ ละอองเกสรดอกไม้บนตัวขององค์ชายสาม กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือสาเหตุอยู่กับองค์ชายสามกระนั้นหรือ?" หามีผู้ใดกล้าเอ่ยวาจา ฮองเฮาทรงพิโรธเสียจนพระพักตร์แทบจะเขียวคล้ำ "ฝ่าบาทเพคะ เรื่องนี้ช่างไร้สาระสิ้นดี ละอองเกสรดอกไม้จะออกฤทธิ์รุนแรงถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน? หม่อมฉันมิเชื่อหรอกเพคะ!" เมื่อหมอหลวงซุนถูกฮองเฮามองด้วยสายตาข่มขู่เข้าก็รู้สึกสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งร่าง ยามนี้ผมที่เหลือเพียงไม่กี่เส้นกลับยิ่งบางลงไปอีก "ถ้าฮองเฮามิทรงเชื่อ กระหม่อมจะสั่งให้คนเอาละอองเกสรดอกไม้ชนิดนี้ไป" "ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะรอดูก็แล้วกัน!" ฮองเฮามิเชื่อและพระนางก็ไม่ยินยอมให้ผู้ใดมาสาดโคลนใส่เย่อวิ๋นถู มิฉะนั้นต่อให้บาดแผลที่ขาของเย่
เย่เสวียนถิงเอียงศีรษะแล้วมุมปากที่แต่เดิมเม้มแน่นก็ยกขึ้นเล็กน้อย เหตุผลหลักที่ทำให้เขาสังหารม้าก็เพราะคำเตือนของซูชิงอู่ นางบอกเขาว่าจัดการม้าสองตัวนั้นไปแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมมิได้เกิดจากสมุนไพรที่บ่าวรับใช้ป้อนให้เป็นแน่ ฉะนั้นเขาก็จะพิสูจน์ถึงความบริสุทธิ์ของตนเองได้ทันที ขอเพียงพบเงื่อนงำก็จะเบนความสนใจของทุกคนได้ จากนั้นก็จะจัดการกับปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังได้ง่ายขึ้นมาก ต้องขอบคุณซูชิงอู่ที่ทำให้เรื่องราวดำเนินไปอย่างราบรื่นเช่นนั้น ยามที่เย่เสวียนถิงมองนาง ดวงตาของเขาก็ฉายแววลึกซึ้งอยู่บ้างแล้วเขาก็กระดกนิ้วมือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวขึ้น ก่อนที่จะปล่อยให้ร่วงตกอีกครั้ง แต่ก่อนที่นิ้วมือจะหดกลับเข้าไปในแขนเสื้อ ก็มีมือนุ่มสอดประสานเอาไว้ นิ้วมือของพวกเขาเกาะเกี่ยวกันแล้วปลายนิ้วก็สัมผัสกับฝ่ามืออบอุ่นของกันและกัน ตอนนี้ดูเหมือนหัวใจของพวกเขาจะใกล้ชิดกันด้วย เหตุผลที่ทำให้ม้าจู่โจมเพียงแค่ฮองเฮา ก็เพราะฮองเฮามีพระอาการแพ้ละอองเกสรดอกไม้ขั้นรุนแรง ทำให้พระนางจึงต้องเสวยโอสถล่วงหน้าก่อนที่จะออกจากวังหลวง หลังจากเสวยโอสถเข้าไปแล้ว พระวรกายของพร
ฮ่องเต้หรี่พระเนตรเล็กน้อย แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ พระองค์ก็ยังคงเอ่ยขึ้นมาว่า "พวกเราต้องการหลักฐานเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ" ซูชิงอู่พลันเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยกับฮ่องเต้ว่า "เสด็จพ่อเพคะ ชิงอู่เชื่อว่าหลักฐานก็คือละอองเกสรดอกไม้บนตัวองค์ชายสาม ส่วนพยานก็อยู่ที่นี่มิใช่แล้วหรือเพคะ?" นางหันหน้าไปมองบ่าวรับใช้หนุ่มที่กำลังคุกเข่าอยู่กับพื้น ซูชิงอู่เดินเข้ามาทางด้านหลังของอีกฝ่าย น้ำเสียงของนางมิได้อ่อนโยนดังเช่นเย่เสวียนถิง ถึงแม้ว่านางจะกำลังแย้มยิ้ม แต่น้ำเสียงของนางกับฟังดูราวกับซ่อนใบมีดน้ำแข็งเอาไว้ "ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนสั่งให้เจ้าป้อนสมุนไพรให้ม้าทั้งสามตัวกิน ทำให้ม้าทุกตัวเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาถูกหรือไม่?" บ่าวรับใช้รู้ว่าเรื่องราวดำเนินไปในทิศทางที่มิอาจคาดเดาได้แล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าหลักฐานอันพร้อมมูล วาจาโป้ปดที่เขาเพิ่งจะกล่าวออกไปกลับไร้ประโยชน์ บ่าวรับใช้คุกเข่าแล้วคลานสองสามก้าวมาหาเย่เสวียนถิง ด้วยหมายจะเอื้อมมือคว้าชายเสื้อคลุมของเขา "ท่านอ๋อง ได้โปรดช่วยบ่าวด้วย บ่าวถูกบีบบังคับให้ทำ..." ทว่าซูชิงอู่กลับถีบอีกฝ่ายทันที ก่อนที่อีกฝ่ายจะทั
เมื่อฮ่องเต้มองดูก็เห็นราชองครักษ์ผู้หนึ่งกำลังนำเป้าธนูเข้ามา "ฝ่าบาท ลูกธนูดอกนี้คือลูกธนูที่ท่านอ๋องเสวียนยิงออกไปก่อนที่ม้าจะคลุ้มคลั่งพ่ะย่ะค่ะ!" เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้เข้าก็รู้สึกตกตะลึง เหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ ยังคงทำให้บรรดาผู้ที่กำลังชมดูอยู่โดยรอบรู้สึกหวาดกลัว แต่พวกเขาไม่นึกว่าลูกธนูที่คิดว่าพลาดเป้าไปแล้วจะยิงเข้าเป้าจริง ๆ นี่มันพลังอันใดกัน! เมื่อฮ่องเต้ชรามองเห็นลูกธนูได้ชัดเจนก็อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมา พระองค์เดินเข้ามาหาเย่เสวียนถิงแล้วยกพระหัตถ์ขึ้นมาตบไหล่ของอีกฝ่าย "โอรสของข้าช่างน่าเกรงขามจริง ๆ คู่ควรให้ผู้คนขนานนามว่าเทพสงครามแล้ว ถ้าหากขาของเจ้ามิได้รับบาดเจ็บ...เฮ้อ!" ฮ่องเต้ชราทอดถอนใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความเสียดาย ขันทีข้างพระวรกายรีบเอ่ยขึ้นมาทันทีว่า "ฝ่าบาท นี่ย่อมเป็นพรสวรรค์ที่เทพเซียนก็ต้องอิจฉาเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!" เงามืดวูบผ่านดวงตาของเย่เสวียนถิงไป เขาขยับขาซ้ายไปข้างหลังเล็กน้อยโดยไร้ซึ่งพิรุธใด ๆ ซูชิงอู่ยังคงยืนฟังฮ่องเต้ชราเอ่ยปากชื่นชมเย่เสวียนถิงอยู่ข้างกายเขา นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เย่เสวียนถิงได้รับ