ฮ่องเต้หรี่พระเนตรเล็กน้อย แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ พระองค์ก็ยังคงเอ่ยขึ้นมาว่า "พวกเราต้องการหลักฐานเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ" ซูชิงอู่พลันเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยกับฮ่องเต้ว่า "เสด็จพ่อเพคะ ชิงอู่เชื่อว่าหลักฐานก็คือละอองเกสรดอกไม้บนตัวองค์ชายสาม ส่วนพยานก็อยู่ที่นี่มิใช่แล้วหรือเพคะ?" นางหันหน้าไปมองบ่าวรับใช้หนุ่มที่กำลังคุกเข่าอยู่กับพื้น ซูชิงอู่เดินเข้ามาทางด้านหลังของอีกฝ่าย น้ำเสียงของนางมิได้อ่อนโยนดังเช่นเย่เสวียนถิง ถึงแม้ว่านางจะกำลังแย้มยิ้ม แต่น้ำเสียงของนางกับฟังดูราวกับซ่อนใบมีดน้ำแข็งเอาไว้ "ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนสั่งให้เจ้าป้อนสมุนไพรให้ม้าทั้งสามตัวกิน ทำให้ม้าทุกตัวเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาถูกหรือไม่?" บ่าวรับใช้รู้ว่าเรื่องราวดำเนินไปในทิศทางที่มิอาจคาดเดาได้แล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าหลักฐานอันพร้อมมูล วาจาโป้ปดที่เขาเพิ่งจะกล่าวออกไปกลับไร้ประโยชน์ บ่าวรับใช้คุกเข่าแล้วคลานสองสามก้าวมาหาเย่เสวียนถิง ด้วยหมายจะเอื้อมมือคว้าชายเสื้อคลุมของเขา "ท่านอ๋อง ได้โปรดช่วยบ่าวด้วย บ่าวถูกบีบบังคับให้ทำ..." ทว่าซูชิงอู่กลับถีบอีกฝ่ายทันที ก่อนที่อีกฝ่ายจะทั
เมื่อฮ่องเต้มองดูก็เห็นราชองครักษ์ผู้หนึ่งกำลังนำเป้าธนูเข้ามา "ฝ่าบาท ลูกธนูดอกนี้คือลูกธนูที่ท่านอ๋องเสวียนยิงออกไปก่อนที่ม้าจะคลุ้มคลั่งพ่ะย่ะค่ะ!" เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้เข้าก็รู้สึกตกตะลึง เหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ ยังคงทำให้บรรดาผู้ที่กำลังชมดูอยู่โดยรอบรู้สึกหวาดกลัว แต่พวกเขาไม่นึกว่าลูกธนูที่คิดว่าพลาดเป้าไปแล้วจะยิงเข้าเป้าจริง ๆ นี่มันพลังอันใดกัน! เมื่อฮ่องเต้ชรามองเห็นลูกธนูได้ชัดเจนก็อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมา พระองค์เดินเข้ามาหาเย่เสวียนถิงแล้วยกพระหัตถ์ขึ้นมาตบไหล่ของอีกฝ่าย "โอรสของข้าช่างน่าเกรงขามจริง ๆ คู่ควรให้ผู้คนขนานนามว่าเทพสงครามแล้ว ถ้าหากขาของเจ้ามิได้รับบาดเจ็บ...เฮ้อ!" ฮ่องเต้ชราทอดถอนใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความเสียดาย ขันทีข้างพระวรกายรีบเอ่ยขึ้นมาทันทีว่า "ฝ่าบาท นี่ย่อมเป็นพรสวรรค์ที่เทพเซียนก็ต้องอิจฉาเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!" เงามืดวูบผ่านดวงตาของเย่เสวียนถิงไป เขาขยับขาซ้ายไปข้างหลังเล็กน้อยโดยไร้ซึ่งพิรุธใด ๆ ซูชิงอู่ยังคงยืนฟังฮ่องเต้ชราเอ่ยปากชื่นชมเย่เสวียนถิงอยู่ข้างกายเขา นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เย่เสวียนถิงได้รับ
เย่เสวียนถิงหรี่ตาเล็กน้อย คาดไม่ถึงเลยว่าจะได้อำนาจทางการทหารของหน่วยราชองครักษ์มาไว้ในมือด้วยเหตุนี้ เขาประสานมือคำนับพลางกล่าวว่า "ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ไว้วางพระทัย กระหม่อมจะมิทำให้ทรงผิดหวังเป็นอันขาดเลยพ่ะย่ะค่ะ!" ฮ่องเต้โบกมือ "หลังสิ้นสุดเทศกาลงานล่าสัตว์ช่วงสารทฤดู ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้ ยามนี้ก็สายไม่น้อยแล้ว เช่นนั้นก็อย่าทำให้ช่วงเวลาดี ๆ ในเทศกาลเทศกาลงานล่าสัตว์ต้องล่าช้าเลย" หลังจากเย่เสวียนถิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็หลีกทางให้ ซูชิงอู่รู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้างเพราะนางรู้ว่าเย่เสวียนถิงต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่ในเมืองหลวง อำนาจทางการทหารในมือของเขาถูกยึดกลับคืนไปนานแล้ว เขาได้แต่รับผิดชอบเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในกรมกลาโหม ในฐานที่เป็นท่านอ๋อง เขากลับหามีตำแหน่งที่แน่ชัด แต่ขอเพียงฮ่องเต้ตรัสมาเพียงคำเดียว เขาก็จะมีสิทธิ์ควบคุมทั้งหกกรมได้ ทว่ายามนี้จู่ ๆ เย่เสวียนถิงก็บัญชาการราชองครักษ์ในเมืองหลวงกว่าสองหมื่นนาย ทำให้เขาเป็นผู้ที่น่าสะพรึงกลัวและยากจะรับมือที่สุดในเมืองหลวง หลังจากเย่เสวียนถิงยิงธนูดอกแรก เทศกาลงานล่าสัตว์ก็เริ่มต้นขึ้น อีกด้านหนึ่ง เย่อวิ๋นถูท
เจียวกุ้ยเฟยพินิจพิเคราะห์สีหน้าของซูชิงอู่โดยละเอียดถี่ถ้วน แต่พระนางกลับมิพบความผิดปกติใดบนใบหน้าของอีกฝ่าย หรือว่าตนจะคาดเดาผิดไป? เจียวกุ้ยเฟยที่รู้สึกคลางแคลงใจรีบปรับสีหน้าทันที "หามีอันใดไม่ ข้าแค่รู้สึกเบื่อนิดหน่อยก็เลยคิดจะเชิญพี่ ๆ น้อง ๆ สักสองสามคนมาสังสรรค์กัน" ทันใดนั้นพระนางก็โบกมือแล้วสั่งนางกำนัลข้างพระวรกายว่า "ไปเชิญพระชายาองค์ชายสามกับท่านหญิงเสวี่ยอิ๋งมาที" นับตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่พบหลินเสวี่ยอิ๋งก็ไม่เจอกันมากว่าเดือนหนึ่งแล้ว ซูชิงอู่ก็เม้มปากเล็กน้อย เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเจตนาทำเช่นนี้และมิใช่คนดิบดีอันใดเลย ทว่านางก็หาได้ใส่ใจขุนพลพ่ายศึกทั้งสองคนนี้ หลังจากนั้นไม่นาน หลินเสวี่ยอิ๋งกับโจวหรุ่ยพร้อมด้วยเหล่านางรับใช้และหมัวมัวก็เข้ามาแสดงคำนับกุ้ยเฟย "เสวี่ยอิ๋งขอถวายบังคมฮ่องเต้กับเจียวกุ้ยเฟย รวมทั้งเสด็จป้าและพระสนมทุกพระองค์เพคะ" เมื่อเจียวกุ้ยเฟยได้ยินเช่นนี้เข้า พระนางก็ยกยิ้มมุมปาก "นับวันท่านหญิงเสวี่ยอิ๋งก็ยิ่งรูปโฉมงดงามมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้ารู้สึกเบิกบานใจที่ได้เจอเจ้านัก" "ขอบพระทัยเสด็จป้าที่ทรงชมเพคะ เสวี่ยอิ๋งมิบังอาจรับไว้" ขณะที
สีหน้าเช่นนั้นพกพาอารมณ์แห่งชัยชนะมาด้วยอย่างเห็นได้ชัด ซูชิงอู่เหลือบมองกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ข้างบนแล้วค่อยหันมามองหลินเสวี่ยอิ๋งที่เบิกบานใจถึงเพียงนั้น นางก็พลันเข้าใจขึ้นมาทันที เสียงตีกลองและดอกไม้ที่โปรยไปทั่วเพื่อสร้างความขบขันให้ฮ่องเต้ ก็เพียงเพื่อจะได้เห็นนางกระทำตัวโง่งม นางทำให้หลินเสวี่ยอิ๋งเป็นตัวตลกมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว สร้างความอับอายให้แก่นางและเสื่อมเสียชื่อเสียงครั้งใหญ่ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงมาที่นี่เพื่อก่อเรื่อง! หลังจากเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ซูชิงอู่ก็อดมิได้ที่จะค่อย ๆ ยกมือขึ้นปิดบังรอยยิ้มตรงมุมปาก เกรงว่าอีกฝ่ายจะยกหินทุ่มเท้าตนเองเสียแล้ว เมื่อเสียงกลองดังขึ้น เจียวกุ้ยเฟยก็โยนดอกไม้ผ้าไหมที่กำลังโบกสะบัดเข้ามาในมือของพระสนมคนแรก พระสนมผู้นั้นรีบส่งดอกไม้ผ้าไหมราวกับเป็นเผือกร้อนหัวหนึ่ง ตอนนี้บรรยากาศกลับตึงเครียดอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ทุกคนต่างจ้องมองดอกไม้ผ้าไหมที่กำลังจะมาหาพวกนาง เมื่อถึงทีของตนเอง พวกนางก็ส่งดอกไม้ผ้าไหมให้คนถัดไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเสียงตีกลองก็หยุดลง ดอกไม้ผ้าไหมถูกนางกำนัลคว้าเอาไว้ ก่อนที่พระสนมผู้นั้นจะทันได้ส่งต่อไป
แต่สิ่งที่ทำให้หลินเสวี่ยอิ๋งรู้สึกผิดหวังมากที่สุดก็คือ หามีแววอับอายหรือโทสะบนใบหน้าของซูชิงอู่แม้แต่น้อย นางเพียงแค่เลิกคิ้วด้วยท่าทีสงบนิ่ง "แค่นั้นเองหรือ?" หลินเสวี่ยอิ๋งตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยกยิ้มมุมปากพลางเอ่ยวาจายั่วยุขึ้นมาว่า "เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันเล่า เจ้ากลัวว่าจะพ่ายแพ้หรือ?" ซูชิงอู่ลุกขึ้นพลางกล่าวว่า "เรื่องนี้มีอันใดให้กลัวด้วยหรือ?" ระหว่างที่พูดอยู่นั้น ซูชิงอู่ก็ถอดสายคาดเอวและชุดขี่ม้าออก จากนั้นทุกคนก็ต้องดวงตาเบิกค้าง เพราะทุกคนเห็นว่าซูชิงอู่สวมกระโปรงยาวพอดีตัวเอาไว้ในชุดขี่ม้าบางเฉียบ หามีผู้ใดบอกได้ว่านางสวมเอาไว้ในนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่! ซูชิงอู่ตบรอยยับย่นอันทบทวีบนกระโปรงยาวของนาง จากนั้นก็จัดกระโปรงให้เรียบร้อยแล้วนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง นางมองสีหน้าตะลึงงันของหลินเสวี่ยอิ๋งที่อยู่ตรงข้ามกับตนพลางยิ้มแล้วเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า "เล่นต่อสิ" หลินเสวี่ยอิ๋งตกตะลึงไปเสียแล้ว อีกฝ่ายชี้นิ้วใส่ซูชิงอู่พลางกล่าวว่า "ไยเจ้าถึงสวมอาภรณ์มากมายถึงเพียงนั้น?" ซูชิงอู่ทำสีหน้าฉงน "ยามออกไปข้างนอกจะสวมอาภรณ์ให้เยอะสักหน่อยก็ผิดกระนั้นหรือ?" ทว่า
เนื่องจากอากาศร้อน นางจึงสวมเพียงกระโปรงตัวนอกโดยมีเอี๊ยมอยู่ข้างใต้เท่านั้น ขืนถอดออก ก็คง... "ไม่นะ! ข้ามิได้สวมอาภรณ์ไว้ข้างในมากมายเช่นเจ้า!" ซูชิงอู่ยิ้มเยาะ "ต่างอันใดกันด้วยหรือ? ตอนที่เจ้าเสนอข้อเรียกร้องเช่นนี้ มิใช่ว่าเจ้าเห็นข้าสวมอันใดอยู่หรอกหรือ?" "แต่……" "ถ้าหากท่านหญิงมิยอมลงมือ เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าเองก็แล้วกัน!" ซูชิงอู่ลุกขึ้นราวกับว่านางพร้อมจะเดินเข้ามาหาได้ทุกเมื่อ หลินเสวี่ยอิ๋งรีบยกมือกุมหน้าอกแล้วถอยหลังไปสองสามก้าว "ช่วยด้วย ข้าไม่อยากเล่นแล้ว ข้าไม่อยากเล่นอีกต่อไปแล้ว" นางหันหลังเตรียมที่จะจากไปภายใต้การดูแลของหมัวมัวและนางรับใช้ ซูชิงอู่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วแววเยียบเย็นก็วูบผ่านดวงตาของนางไป นางมิได้ไล่ตามอีกฝ่ายไป แต่รอคอยอยู่เงียบ ๆ สักพัก ทันใดนั้นทุกคนก็เห็นหลินเสวี่ยอิ๋งที่กำลังจะออกไปจากที่นี่ จู่ ๆ ก็หยุดเดินแล้วเริ่มเกาเนื้อตัวพลางร้องอุทานด้วยความตื่นตกใจ "อ๊า คันเหลือเกิน มีบางอย่างไต่ไปทั่วตัวข้า รีบดูให้ทีว่าเกิดอันใดขึ้นกับร่างกายของข้ากันแน่!" เมื่อเห็นสีหน้าร้อนรนกังวลใจบนใบหน้าของท่านหญิง นางรับใช้คนอื่น ๆ ก็รี
ความโกรธเกรี้ยวของนางแผ่ซ่านออกมาจากในใจทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายเล่นละครตบตาหลินเสวี่ยอิ๋งไม่อาจทนความคับข้องใจได้อีกต่อไป "ท่านป้า ดูสิซูชิงอู่แอบหัวเราะเยาะข้าอยู่!"แต่ทว่ายามเมื่อนางชี้นิ้วไปยังซูชิงอู่ นางกลับเห็นว่าสีหน้าของซูชิงอู่เปลี่ยนไปแล้วสีหน้าของนางทั้งตกตะลึงและไร้เดียงสา ดวงตาคู่สวยต็มไปด้วยหยาดน้ำตา พร้อมทั้งความสับสนบนใบหน้าซูชิงอู่กัดริมฝีปากแล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า "ท่านหญิง ข้าหัวเราะเยาะท่านเมื่อใดกัน?"“เจ้า… เจ้า…”หลินเสวี่ยอิ๋งจวนจะระเบิดด้วยความโกรธเต็มทน เมื่อนางเห็นซูชิงอู่เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วซูเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าหลินเสวี่ยอิ๋งไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย“เสวี่ยอิ๋ง แม้ว่าชายาเสวียนจะทำให้เจ้าขุ่นเคืองในครั้งก่อน แต่นางก็เป็นพี่สะใภ้ของเจ้า เจ้าอย่าได้ทำเรื่องยุ่งยากให้นางต้องอับอายอีก!”“ท่านป้า...นางทำจริง ๆ ข้าเห็นอย่างชัดเจน เหตุใดท่านจึงไม่เชื่อข้าเล่า?”ซูเฟยถอนหายใจ ก่อนจะถอดสร้อยข้อมือดอกไม้ออกจากข้อมือและวางมันลงบนมือของหลินเสวี่ยอิ๋งเสียงของนางยังคงอบอุ่นและอ่อนโยน “นี่สำหรับเจ้า จะได้ไม่ต้องถูกแมลงกัดอีก แมลงที่เจ้าเห็นเมื่อค