ความโกรธเกรี้ยวของนางแผ่ซ่านออกมาจากในใจทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายเล่นละครตบตาหลินเสวี่ยอิ๋งไม่อาจทนความคับข้องใจได้อีกต่อไป "ท่านป้า ดูสิซูชิงอู่แอบหัวเราะเยาะข้าอยู่!"แต่ทว่ายามเมื่อนางชี้นิ้วไปยังซูชิงอู่ นางกลับเห็นว่าสีหน้าของซูชิงอู่เปลี่ยนไปแล้วสีหน้าของนางทั้งตกตะลึงและไร้เดียงสา ดวงตาคู่สวยต็มไปด้วยหยาดน้ำตา พร้อมทั้งความสับสนบนใบหน้าซูชิงอู่กัดริมฝีปากแล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า "ท่านหญิง ข้าหัวเราะเยาะท่านเมื่อใดกัน?"“เจ้า… เจ้า…”หลินเสวี่ยอิ๋งจวนจะระเบิดด้วยความโกรธเต็มทน เมื่อนางเห็นซูชิงอู่เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วซูเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าหลินเสวี่ยอิ๋งไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย“เสวี่ยอิ๋ง แม้ว่าชายาเสวียนจะทำให้เจ้าขุ่นเคืองในครั้งก่อน แต่นางก็เป็นพี่สะใภ้ของเจ้า เจ้าอย่าได้ทำเรื่องยุ่งยากให้นางต้องอับอายอีก!”“ท่านป้า...นางทำจริง ๆ ข้าเห็นอย่างชัดเจน เหตุใดท่านจึงไม่เชื่อข้าเล่า?”ซูเฟยถอนหายใจ ก่อนจะถอดสร้อยข้อมือดอกไม้ออกจากข้อมือและวางมันลงบนมือของหลินเสวี่ยอิ๋งเสียงของนางยังคงอบอุ่นและอ่อนโยน “นี่สำหรับเจ้า จะได้ไม่ต้องถูกแมลงกัดอีก แมลงที่เจ้าเห็นเมื่อค
เย่ชิวหมิงลงจากหลังม้าทันทีจากนั้นเขาก็โค้งคำนับต่อฮ่องเต้ "ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!"ฮ่องเต้ลูบคางของตน คิ้วและดวงตาแทบจะโค้งงอด้วยรอยยิ้มการล่าสัตว์ครั้งนี้ช่วยทำให้องค์ชายหลายพระองค์ได้เชิดหน้าชูตาต่อหน้าเหล่าขุนนางทั้งขุนนางและนายน้อยเหล่านั้น พวกเขาต่างยังตามหลังองค์ชายอยู่มากแต่ในขณะนั้นเอง กลับมีการเคลื่อนไหวในป่าด้านหลังอีกครั้งมีบางคนออกจากป่าด้วยสภาพที่ดูไม่จืด ขณะที่บางคนดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บซูชิงอู่เงยหน้าขึ้น นางเห็นว่าเย่เสวียนถิงอยู่ในหมู่คนเหล่านั้นด้วย ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิงเล็กน้อย ผ้าคาดผมบนศีรษะก็หลุดออกจนหมดด้วยเช่นกันเขาดูค่อนข้างสมบุกสมบันมาก เมื่อเทียบกับเย่ชิวหมิงที่เรียบร้อยนางยกกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งออกไปลมพัดผ่านชายกระโปรงของนาง ทำให้นางดูราวกับผีเสื้อเมื่อองครักษ์ของเย่เสวียนถิงเห็นชายาเสวียนวิ่งเข้ามา พวกเขาจึงรีบออกไปอีกทางทันทีบางคนยังคงมีคราบเลือดบนใบหน้า อาภรณ์ของพวกเขาถูกกรงเล็บอันแหลมคมเกี่ยวจนขาดวิ่น เศษชิ้นส่วนอาภรณ์ห้อยอยู่บนไหล่อย่างน่าขบขัน"พระชายาเสวียน!"เจ้าสิบเจ็ดเป็นคนแรกที่โต้ตอบ และพาคนอื่นให้โค้งคำนับต่อซูชิงอู่ซูชิงอ
ซูชิงอู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งด้วยความรู้สึกว่างเปล่าในฝ่ามือของนางเย่เสวียนถิงไม่ได้มองหน้านาง ใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อยเขาเดินกะเผลกลากขาที่เคยได้รับบาดเจ็บไปข้างหน้า แผ่นหลังของเขาดูอ้างว้างและโดดเดี่ยวเจ้าสิบเจ็ดเหลือบมองท่านอ๋องแล้วมองไปที่ซูชิงอู่เขาลดเสียงลงและพูดกับซูชิงอู่ว่า “ท่านอ๋องอาจเป็นเช่นนี้เพราะปัญหาของเขาเอง กระหม่อมอยู่กับท่านอ๋องมาหลายปีแล้ว เขาเป็นคนเฉยชา พระชายาได้โปรดอย่าเข้าใจท่านอ๋องผิดไป!”ดวงตาของซูชิงอู่จ้องมองไปยังใบหน้าของเจ้าสิบเจ็ดทันใดนั้น นางก็มีความชื่นชอบเล็กน้อยต่อองครักษ์เงาตัวน้อยผู้ภักดีที่อยู่ข้าง ๆ เย่เสวียนถิงนางยกยิ้มมุมปากเบา ๆ มองดูเจ้าสิบเจ็ดด้วยสายตามีความหมาย จากนั้นจึงเร่งฝีเท้าเพื่อไล่ตามเย่เสวียนถิง“ท่านอ๋อง รอข้าด้วย!”นางไล่ตามไปอย่างไม่ลดละ เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ยอมเข้ามา นางจึงเป็นฝ่ายโน้มตัวเข้าใกล้มากยิ่งขึ้นแทนในชีวิตนี้ นางเป็นเพียงคนที่ไม่คู่ควรจะได้อยู่เคียงข้างเย่เสวียนถิงเมื่อเขาตกเป็นเป้าหมายของนางแล้ว นางก็ไม่อาจปล่อยให้เขาหลุดมือไปไหนได้นางคล้องแขนของเย่เสวียนถิงเอาไว้ เขาจึงยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ทัน
"แต่……"เย่เสวียนถิงชะงักเล็กน้อยเพียงชั่วครู่ เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าซูชิงอู่จะใช้วิธีการเช่นไรแม้ว่าเขาจะจับเสือขาวได้ แต่ก็ไม่มีร่องรอยใดที่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นฝีมือเขา ในเวลานั้นมีเพียงทหารองครักษ์แค่สองคนเท่านั้น พวกเขาจึงไม่อาจเป็นพยานให้ได้เช่นนั้นแล้ว เย่ชิวหมิงจึงนำเสือขาวตัวนั้นไปหาฮ่องเต้และป่าวประกาศความเป็นเจ้าของต่อหน้าธารกำนัล แม้ว่าเขาจะรู้สึกโกรธ แต่ก็ทำได้เพียงกลืนความโกรธนี้ลงไปเท่านั้นเป็นเพราะทักษะของเขาด้อยกว่าคนอื่น ๆ และเขาก็ไม่ฉลาดแกมโกงเหมือนกับเย่ชิวหมิงซึ่งเขายอมรับได้ซูชิงอู่ขอให้เจ้าสิบเจ็ด เผาควันไล่หมาป่าในป่าก่อนจากนั้นนางก็ดึงเย่เสวียนถิง เพื่อขัดขวางเส้นทางของเย่ชิวหมิงและกลุ่มของเขาทหารองครักษ์หลายคนหยุดด้วยสีหน้าหวาดระแวงทันทีเมื่อเย่ชิวหมิงเห็นว่าเป็นเย่เสวียนถิงเขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ใบหน้าของเขายังคงเฉยชาเช่นเดิม ทั้งไร้รอยยิ้มและไม่เป็นมิตร“น้องรอง เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเจ้าถึงได้วิ่งมาขวางหน้าข้าเช่นนี้?”มุมปากของเย่เสวียนถิงขยับ แต่เขากลับไม่ส่งเสียงใด ๆ ออกมาซูชิงอู่ยิ้มและพูดขึ้นว่า "หม่อมฉันเพิ่งเห็นว่าเสด็จพี่จับเสือขา
เสียงฝีเท้าเย่ชิวหมิงและคนอื่น ๆ หยุดเดินทันทีกลุ่มของพวกเขาได้เดินออกนอกบริเวณที่ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากพื้นที่ล่าสัตว์และเข้าสู่ชายขอบของป่าลึกแล้วเดิมที เย่ชิวหมิงวางแผนจะหาสถานที่เงียบสงบไม่มีคนอาศัยอยู่เพื่อสังหารและถลกหนังเสือขาว ก่อนที่จะนำมันกลับมา"ท่านอ๋อง แย่แล้ว ในป่าแห่งนี้มีเสือขาวมากกว่าหนึ่งตัว!"เย่ชิวหมิงกัดฟันเล็กน้อย เขามองไปรอบ ๆ อย่างประหม่าแม้ว่ายังไม่มีร่องรอยของเสือขาว แต่เสียงคำรามของเสืออันน่าเกรงขามก็ทำให้ผู้คนต่างเสียวสันหลังพวกเขาไม่สามารถไปที่นั่นได้อีกแน่นอนเพื่อป้องกันไม่ให้เสือขาวเข้ามาใกล้ พวกเขาจึงไม่มีเวลาหากำลังเสริมได้ทันท่วงทีสิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือกลับไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยให้เร็วที่สุด!"ไปเถอะ กลับกันเดี๋ยวนี้!"แต่ทว่า จู่ ๆ เสือขาวที่ถูกหามอยู่ก็พยายามดิ้นรนมันเคยถูกปราบมาก่อนแล้ว แต่ในขณะนี้กลับระเบิดออกมาด้วยความแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเพียงชั่วครู่ แท่งไม้หนาที่แบกเสือไว้ก็ก็หักลง!"เหวอ!"ทหารองครักษ์ที่หามเสือขาวส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจ และทุกคนก็ล้มลงกับพื้นเสือขาวเองก็ล่วงหล่นลงกับพื้นเช่นกัน มันเง
“น้องรอง ข้ารู้ว่าเจ้าสามารถปราบเสือขาวตัวนี้ได้ ตราบใดที่เจ้าช่วยข้า ข้าจะยอมรับเงื่อนไขทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ!”เสือขาวตัวนั้นไม่ได้จัดการกับทหารองครักษ์เลยด้วยซ้ำมันวิ่งตามรอยเท้าของเย่ชิวหมิงมาอย่างแน่วแน่ดูเหมือนว่าเขาจะต้องถูกมันกินในฐานะผู้กระทำผิด!เสือขาวตัวนั้นฉลาดมาก ฉลาดกว่าสัตว์ป่าชนิดอื่น และรู้อย่างชัดเจนว่าใครคือศัตรู!ซูชิงอู่พยักหน้าให้เย่เสวียนถิงร่างของเย่เสวียนถิงก็เคลื่อนไหวทันทีในขณะที่เสือขาวรีบวิ่งไปข้างหน้า เมื่อมันเห็นเย่เสวียนถิง การเคลื่อนไหวไปข้างหน้าแต่เดิมที่เร่งรีบก็หยุดลงขาทั้งสี่ก้าวถอยออกไปไกลเป็นระยะทางหนึ่งดวงตาของเสือมีความหวาดกลัวอย่างชัดเจน หลังจากที่ได้เห็นใบหน้าของเย่เสวียนถิง มันก็หันหลังกลับและอยากจะวิ่งหนีแต่ทว่า การเคลื่อนไหวของเย่เสวียนถิงนั้นเร็วกว่า เขาคว้าเชือกที่มันลากอยู่บนพื้นด้วยการดึงอย่างแรง เสือตัวใหญ่ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าสามร้อยกิโลกรัมก็สะดุดและล้มลงกับพื้นเย่เสวียนถิงรัดคอและเหยียบหัวเอาไว้ ในขณะที่เสือขาวนอนอยู่บนพื้นอย่างเชื่อฟังโดยไม่ไหวติงเมื่อเห็นเสือขาวถูกควบคุม เย่ชิวหมิงซึ่งวิ่งหนีอย่างเหนื่อยล้าก
"ฮ่า…ฮ่า…ฮ่า…ฮ่า..."เย่ชิวหมิงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นและหัวเราะ เขามองซูชิงอู่ด้วยดวงตาลึกล้ำ“เจ้าล้อเล่นหรือ?”รอยยิ้มบนใบหน้าของซูชิงอู่หายไปในทันที"หม่อมฉันไม่ได้ล้อเล่น"ดวงตาของนางเย็นชาและเฉียบแหลม ปราศจากเสน่ห์ดั้งเดิมที่นางเคยมีเหลือเพียงดวงตาคมราวกับใบมีดเย่ชิวหมิงคิดไม่ถึงว่าจะถูกสตรีจ้องมองเช่นนี้ เขารู้สึกกระอักกระอ่วนคล้ายจะหายไม่ออกเขาไม่เคยคิดเลยว่าซูชิงอู่จะร้องขอเช่นนั้นด้วยตัวเองได้ คงเป็นเย่เสวียนถิงที่ขอให้นางพูดเช่นนั้นเขาหันไปมองทางเย่เสวียนถิงและพูดว่า "ข้ายอมรับเงื่อนไขแรกได้ ข้าจะมอบเสือขาวให้เจ้า แต่ข้าไม่เห็นด้วยกับเงื่อนไขสองข้อที่เหลืออย่างแน่นอน!"ซูชิงอู่เคลื่อนไหวอย่างกะทันหันดวงตาของนางมืดมิดราวกับเหวลึก นางยกแขนเรียวยาวอ่อนนุ่มขึ้น นิ้วขาวของนางเปล่งประกายระยิบระยับ นางคว้าคอของเย่ชิวหมิงได้อย่างง่ายดายเย่ชิวหมิงตกตะลึงอย่างสิ้นเชิงสมองของเขาก็ว่างเปล่าเช่นกันเขาคิดไม่ถึงว่าซูชิงอู่ที่ดูอ่อนโยนและอ่อนแอ จะสามารถลุกขึ้นมาโจมตีเขาทันทีได้เช่นนี้!เขาไม่เคยแม้แต่คิดจะฝันถึงมันเลยสักครั้งรอยยิ้มที่อบอุ่นและอ่อนโยนปรากฏขึ้นอีกคร
"แต่ข้า...ข้าไม่มีกระดาษติดตัวมาเลย ข้าเขียนไม่ได้...""ข้าเอามาด้วย"ซูชิงอู่หยิบพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกออกจากอาภรณ์เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ใส่อะไรไว้มากนัก แต่นางก็มีข้าวของมากมายอยู่ในอาภรณ์นั้นเขาไม่รู้ว่านางเอาขวดและของทั้งหมดไปใส่ไว้ที่ส่วนใดเย่ชิวหมิงไม่อาจรอช้าได้ เขาจึงรีบคุกเข่าลงกับพื้นและเริ่มเขียนทันทีไม่ไกลนัก เย่เสวียนถิงก็เห็นภาพนี้ด้วยตาของเขาเอง รูม่านตาเขาขยายออก ตกใจกับการกระทำของซูชิงอู่เช่นกันแต่ในไม่ช้าเขาก็กลับมาเป็นปกติ นิ้วของเขาจับเชือกไว้แน่น คิ้วและดวงตาเขาลดลงราวกับจมอยู่ในห้วงความคิดเย่ชิวหมิงยื่นกระดาษที่เขาเขียนพร้อมลงนามแล้วให้กับซูชิงอู่ นางเก็บกระดาษแผ่นนั้นไปอย่างระมัดระวัง“เอาล่ะ ไปขอโทษท่านอ๋องเสีย”เมื่อชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของใครบางคน เย่ชิวหมิงจึงต้องก้มหัวเจียมตัว เขาเดินไปหาเย่เสวียนถิง ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอับอายและความโกรธ เขาก้มศีรษะและโค้งคำนับ "น้องรอง... ข้าขอโทษ"ด้วยเหตุนี้ น้ำเสียงเย็นชาของซูชิงอู่ก็ดังมาจากด้านหลัง"คุกเข่า"ขาของเย่ชิวหมิงอ่อนแรง เขาคุกเข่าลงกับพื้นทันทีราวกับว่าสิ่งที่ซูชิงอู่พ
เมื่อพูดถึงกุ้ยเฟย แม้แต่เหยียนจั๋วก็แสดงความกลัวขึ้นมาโชคดีที่อีกฝ่ายแอบมาเข้าฝ่ายเขาและช่วยเหลือเขาในการเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไปครั้งนี้ในระหว่างการเดินทางไปยังแคว้นหนานเย่ พี่ชายสองคนของกุ้ยเฟยผู้นั้นได้ถูกส่งมาช่วยเหลือหลังจากได้เห็นความร้ายกาจของปรมาจารย์กู่ที่อยู่ในมือเย่เสวียนถิงแล้ว เหยียนจั๋วก็แทบรอไม่ไหวกับการมาถึงของสองคนนั้นทักษะการใช้กู่ไม่มีผลในสงครามขนาดใหญ่ แต่สามารถมีบทบาทสำคัญในสงครามเล็ก ๆ เช่นหมู่ทหารเป็นพันนายนี้ได้เช่นเดียวกับนักธนูที่เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ...แผนนี้ทำให้การสนับสนุนจากกองทัพแนวหลังไม่สามารถมาได้ทันเวลาเมื่อทหารที่ติดตามเหยียนจั๋ว ได้ยินคำพูดของผู้เป็นแม่ทัพ พวกเขาทั้งหมดก็ดูหวาดกลัว และพวกเขาก็เข้าใจถึงความน่าสะพรึงกลัวของสิ่งนี้“ท่านแม่ทัพ ไม่มีวิธีป้องกันเลยหรือขอรับ?”เหยียนจั๋วหลุบตาลง "ใช่ แต่ก็ยังต้องรอ ตอนกลางคืนทุกคนควรระวังตัวและอย่าปล่อยให้แมลงวันตัวไหนบินเข้ามาได้อีก!""ขอรับ!"หลังจากรับคำสั่ง กองทัพทั้งหมดของแคว้นอู๋ตะวันตกจึงทำความสะอาดจัดระเบียบเมืองโม่เฉิงทันทีและเหยียนจั๋วเองก็ร่วมเดินทางไปยังกับเจ้าชายและคนอื่น
กำแพงเมืองสูงถึงเพียงนี้ แต่ยังสามารถยิงจากข้างล่างขึ้นไปได้น่ากลัวเหลือเกิน“ความจริงเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมและคนอื่น ๆ แทบไม่อยากเชื่อ แต่อีกฝ่ายก็ได้ทำไปแล้ว หากศัตรูถือหน้าไม้ล้อมเมืองเอาไว้ ท่านแม่ทัพก็คงจะไม่ยื่นหน้าออกไป…”การป้องกันเมืองชายแดนแบบนี้สมบูรณ์มาก หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ การปิดล้อมเมืองจะใช้เวลานานตัวอย่างเช่น กองทัพของแคว้นอู๋ตะวันตกมีมากกว่าจำนวนนายทหารของปราการเจิ้นเป่ยถึงเท่าตัวอย่างชัดเจน แต่หากจะบุกเข้าไปนั้นไม่ง่ายเลยพวกเขาต้องใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเพื่อดูสัญญาณแรกของชัยชนะ แต่แล้วเมืองโม่เฉิงเล่า?ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วยาม อีกฝ่ายก็ยึดเมืองโม่เฉิงได้ทั้งเมืองได้ทั้ง ๆ ที่มีจำนวนคนมากกว่าพวกเขาหลายหมื่นคนแม้แต่ทหารชั้นยอดก็ไม่สามารถเร็วถึงเพียงนั้นได้!“เย่เสวียนถิงเปิดประตูเมืองได้อย่างไร?”“ข้าน้อยก็ไม่ทราบ...ไม่ทราบว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรขอรับ จู่ ๆ เหล่าทหารที่อารักเมืองก็หล่นลงมาจากกำแพงเมืองทีละคนในสภาพน้ำลายฟูมปาก แลดูน่ากลัวมาก ข้าน้อยไม่ได้อยู่ด้านบน ตอนนั้นจึงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น...”ท่าทางของเหยียนจั๋วแข็งทื่อไปเล็กน้อยแม้ในเ
เหยียนจั๋วโกรธจนดวงตาเป็นสีแดง“เป็นฝีมือของใคร ทหารอารักขาเมืองอยู่ที่ไหน?”ทันทีที่เขาตะโกนอย่างดุดัน บุรุษผู้หนึ่งก็วิ่งเข้ามาด้วยความสิ้นหวัง“เรียนท่านแม่ทัพ ทหารอารักขาเมืองระดับสูง ดะ…ได้ตายไปแล้วขอรับ…”สิ้นคำพูด เหยียนจั๋วก็มีสีหน้าโกรธจัดขณะเดียวกัน รถม้าขององค์รัชทายาทก็กำลังเข้ามาใกล้จากด้านหลัง และเสียงพูดแขวะของอู๋ถานก็ดังมาจากด้านใน“แม่ทัพเหยียน หากเจ้าไม่ชะลอการเปิดศึก ไม่พูดว่าเย่เสวียนถิงอยู่ในเมือง แล้วให้มีการสังเกตการณ์การสงบศึกเป็นเวลาสามวัน จะมีการลอบโจมตีจากแนวหลังได้อย่างไร!”คำพูดขององค์รัชทายาทเหมือนเป็นการทุบหัวของเหยียนจั๋ว ซึ่งทำให้เหยียนจั๋วโกรธมากยิ่งขึ้นแต่ถึงอย่างไรคนตรงหน้าก็เป็นองค์รัชทายาท เขาจึงไม่สามารถทำตัวเสียมารยาทอย่างเปิดเผยได้เขากล่าวเสียงทุ้ม “องค์รัชทายาท นี่เป็นแผนการตลบหลังของเย่เสวียนถิง ตราบใดที่เราทิ้งเมืองโม่เฉิงไว้กับคนของเรา เราก็จะถูกโจมตีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความเร็วในการเดินทัพของกองทัพที่แข็งแกร่งสี่แสนนายจะเทียบกับกองทัพที่มีทหารม้าเพียงไม่กี่หมื่นนายได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”องค์รัชทายาทหรี่ตาลง “เถียงข้าง ๆ คู ๆ !
“นะ...นี่มันเกิดอะไรขึ้น แคว้นอู๋ตะวันตกถอนกำลังแล้ว!”เซียวเฝิงเก็บดาบและยืนอยู่บนกำแพงเมือง เขาลูบเลือดที่เลอะไปทั่วใบหน้าของตัวเองพลางหลุบตาลงเล็กน้อยแล้วพูดว่า "จะเป็นเพราะอะไรได้ล่ะ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของท่านอ๋องน่ะสิ"เมื่อได้ยินเขาพูดข้อมูลดังกล่าว ทุกคนก็มองหน้ากันขณะเดียวกัน ณ เมืองโม่เฉิงบริเวณชายแดนของแคว้นอู๋ตะวันตกกองทหารอารักขาเมืองถูกกำจัดไปหมดแล้วปราการชายแดนแห่งนี้ตกมาอยู่ในมือของเย่เสวียนถิงอย่างสมบูรณ์เย่เสวียนถิงยืนอยู่ที่ประตูเมืองพร้อมกับหอกในมือ และสั่งให้คนตัดธงของแคว้นอู๋ตะวันตกออกคนผู้หนึ่งที่สวมชุดเกราะทหารธรรมดายืนอยู่ข้างหลังเขา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ก็เผยให้เห็นใบหน้าของซูชิงอู่ ซึ่งจงใจทำให้หน้าของตัวเองดำขึ้นมากนางไม่ได้ปลอมตัวเยอะเกินไป เพียงแค่เปลี่ยนลักษณะใบหน้าของนางเพียงเล็กน้อยเท่านั้นซูชิงอู่ไพล่มือไว้ด้านหลังพลางมองลงไปที่กำแพงเมืองด้วยท่าทางที่ค่อนข้างภาคภูมิใจ“ท่านอ๋อง พาข้ามาด้วยมีประโยชน์มากเลยใช่ไหมเล่า”เย่เสวียนถิงหันไปเหลือบมองนาง สายตาของเขาอบอุ่น และเสียงของเขาก็อ่อนโยนอย่างยิ่ง“อาอู่รู้ได้อย่างไรว่ามีทางลัดมาถึงที่นี
การต่อสู้ครั้งนี้ดุเดือดมากหินไฟกำลังทะยาน ลูกธนูถูกยิงออกไป มีเลือดและการสังหารอยู่ทุกหนแห่งเมื่อเวลาผ่านไป ทางปราการเจิ้นเป่ยก็เสียเปรียบรองแม่ทัพบางคนหมดแรงแล้ว เมื่อมองไปที่ศัตรูที่ดูเหมือนจะวิ่งเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด พวกเขาก็ถามด้วยเสียงแหบห้าว “ท่านแม่ทัพเซียว ท่านอ๋องอยู่ที่ใด?”เซียวเฝิงที่ตามตัวเต็มไปด้วยเลือดและเข่นฆ่าศัตรูจนหยุดไม่ได้ เขาเม้มริมฝีปากแน่นและหายใจหอบเล็กน้อยขณะใช้ดาบยาวค้ำกับพื้น“ไม่รู้”คำตอบของเขาทำให้สีหน้าของรองแม่ทัพผู้นั้นแข็งค้าง“ไม่รู้อะไร...ท่านอ๋องอยู่ในค่ายทหารไม่ใช่หรือ? ตอนนี้คนของเรากำลังจะสูญเสียขวัญกำลังใจไปหมดแล้ว รีบไปขอให้ท่านอ๋องช่วยคิดหาวิธีสิ!”กองกำลังศัตรูมีจำนวนมากกว่าสองเท่าแม้การป้องกันเมืองจะง่ายกว่าการโจมตี แต่หากยังฝืนต่อไป พวกเขาก็จะไม่สามารถปกป้องเมืองได้เซียวเฝิงไม่ได้พูดอะไร เพียงมองไปในระยะไกลและหัวเราะทันที “อย่าถามอะไรไร้สาระ ข้าสั่งให้ทำอะไรก็ตั้งใจทำไป”เขาตำหนิรองแม่ทัพ และหลังจากพักแล้วเขาก็นำคนของเขาออกไปสังหารศัตรูอีกครั้งมีบางคนปีนขึ้นไปตามบันไดบนกำแพงและถูกคนด้านบนทุบตีลงอีกครั้ง หมุนเวียนไปซ้ำแล้
เซียวเฝิงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองไปที่รองแม่ทัพที่อยู่ข้าง ๆ "เหตุใดอีกฝ่ายถึงไม่ขยับกัน?"รองแม่ทัพก็มีสีหน้าสับสนเช่นกัน "เป็นไปได้ว่าเขาจงใจวางกับดัก รอให้พวกเราย่ามใจ แล้วบุกฝ่าเข้ามาไปในคราวเดียว!"เมื่อเห็นว่าคำพูดของอีกฝ่ายหนักแน่นมาก เซียวเฟิงก็ไม่สามารถคิดถึงเหตุผลอื่นใดไปได้ชั่วขณะ “แม้จะต้องตื่นตัวเอาไว้ แต่ก็ต้องพักผ่อน จงรออยู่ที่นี่ดูท่าทีอีกฝ่าย ข้าจะสั่งให้มีการผลัดเปลี่ยนเวรยามเพื่อสลับกันพักผ่อน หากมีอะไรเกิดขึ้น ให้รีบรวมตัวกันโดยไว!”"ขอรับ!"หลังจากนั้น ฝ่ายปราการเจิ้นเป่ยทั้งหมดเริ่มผลัดกันเฝ้าประตูเมืองหลังจากเฝ้าระวังเป็นเวลาสามวันติดต่อกัน แต่กองทัพหลักของอีกฝ่ายก็ยังคงนิ่งเฉยทั้งสองฝ่ายต่างสับสนกับคำสั่งสายฟ้าแลบ พวกเขารออย่างวิตกกังวล และพลังของพวกเขาก็ลดลงไปอย่างมากเหตุผลที่เหยียนจั๋วไม่ได้นำคนของเขาเข้าโจมตีทันที เพราะเขาเคยปะทะกับเย่เสวียนถิงมาหลายครั้งแล้ว และรู้จักนิสัยของอีกฝ่ายค่อนข้างดีเขาใช้กลยุทธ์ม่านบังตาเพื่อสร้างความสับสนในการตัดสินของตนเองและผู้อื่น บางทีอาจคาดหวังให้เขาส่งทหารไปตอนนี้แล้วจับเขาโดยไม่ทันระวังตัวหากนายทหารระดับสูงที่
ชายบนหลังม้าตัวสูงและผิวที่เปลือยเปล่าของเขามีสีเข้มเล็กน้อย ใบหน้าของเขาคมคายและดวงตาที่เฉียบแหลม“เคยบอกว่ามีคนในเมืองหลวงเห็นเย่เสวียนถิงด้วยตาของพวกเขาเองไม่ใช่หรือ?”เหยียนจั๋วพูดเสียงเย็นและหลุบตาลงเล็กน้อย“ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ...”“หากข่าวที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริง ตอนนี้ก็ว่าเป็นสถานการณ์จั๊กจั่นลอกคราบ ประการแรกคือเย่เสวียนถิงทั้งสองมีหนึ่งคนที่เป็นตัวปลอม ประการที่สองคือข่าวที่พวกเจ้าได้รับมาเป็นข่าวปลอม!”“เรียนท่านแม่ทัพ ข่าวนี้เป็นความจริงอย่างแน่นอนขอรับ!”เหยียนจั๋วพยักหน้าเบา ๆ เขาเข้าใจความจริงของเรื่องนี้แล้วเขาเงยหน้ามองไปยังประตูชายแดน ขณะที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองทหารนับหมื่น ม่านตาของเขาหดตัวลงด้านหลังก็มีราชรถถูกลากออกมา และม่านก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างของบุคคลที่อยู่ข้างในองค์รัชทายาทแห่งแคว้นอู๋ตะวันตก สวมเครื่องแบบราชสำนักสีเหลืองสว่างขององค์รัชทายาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงตัวตนของเขา เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างมาก มีรูปร่างผอมเพรียวและผิวค่อนข้างซีดเหยียนจั๋วได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวที่อยู่ข้าง ๆ จึงหันกลับมาทันทีและทำความเคารพอย่างนอบน้อม “องค์รัชทายา
คนผู้นั้นถูกทุบตีจนจมูกช้ำ ใบหน้าบวม เขารู้สึกเสียใจมากคนของเขาเห็นอย่างชัดเจนว่าท่านอ๋องอยู่ที่นี่...ขณะนั้นเอง ทหารผู้นั้นก็ได้ยินเสียงแตรดังมาจากด้านนอกนั่นคือการแจ้งเตือนในค่ายทหารว่ามีการบุกโจมตีจากศัตรู!บรรดารองแม่ทัพที่เพิ่งเดินออกไปไม่นานก็แสดงสีหน้าหวาดกลัว และรีบไปที่ค่ายด้วยความตื่นตระหนก พยายามเปลี่ยนเสื้อผ้าและหยิบอาวุธให้เร็วที่สุดเมื่อพวกเขาออกมา เซียวเฝิงได้รวบรวมทหารทั้งหมดรออยู่ก่อนแล้วพลางมองผู้มาทีหลังด้วยสายตาเย็นชาแต่เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะในการฝึกช่วงนี้ ผู้ใต้บังคับบัญชาของรองแม่ทัพเหล่านั้นคุ้นเคยกับการฟังคำสั่งของเขาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงมารวมตัวกันที่นี่ตั้งแต่แรก“เมื่อครู่หน่วยสอดแนมเพิ่งมารายงานว่ากองทัพใหญ่แคว้นอู๋ตะวันตกกำลังใกล้เข้ามา ตอนนี้พวกเขายังอยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยลี้ ทุกคนจงตามข้ามาเพื่อเตรียมการป้องกัน!”ท่านอ๋องยังไม่กลับมา ดังนั้นจึงไม่ควรออกไปล้างบางตอนนี้ ปราการเจิ้นเป่ยเป็นสถานที่อันตรายที่ป้องกันได้ง่าย แต่โจมตีได้ยาก ท้ายที่สุดแล้ว การโจมตีนั้นยากกว่าการป้องกัน“ท่านแม่ทัพเซียว ทราบหรือไม่ว่าคนเหล่านั้นคือใคร?”เซียวเฝิง
เย่เสวียนถิงตัวแข็งทื่อทันทีม้าของเขาเดินหมุนเป็นวงกลม สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความลังเลอย่างชัดเจนซูชิงอู่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่และพูดว่า "ข้าสัญญากับท่านว่าจะไม่ไปสถานที่อันตราย"เย่เสวียนถิงถอนหายใจ "ค่ายทหารไม่มีกฎให้สตรีเข้าร่วม"ซูชิงอู่ยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น "ถ้าอย่างนั้น ข้าจะปลอมตัวเป็นบุรุษ"เย่เสวียนถิง "..."เมื่อนึกถึงทักษะการปลอมตัวอันยอดเยี่ยมของซูชิงอู่ เย่เสวียนถิงก็ลังเลขึ้นมาอีกครั้งด้วยความสามารถของนาง คงไม่มีใครสามารถจับได้ว่านางปลอมตัวเป็นบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นการปลอมตัวหรือเปลี่ยนเสียง นางก็ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบเย่เสวียนถิงเห็นความกระตือรือร้นในดวงตาของซูชิงอู่ พลางถอนหายใจเล็กน้อย จากนั้นก็มองนางอย่างจนใจและพูดว่า "ก็ได้ แต่เจ้ารับปากข้ามาก่อนว่าจะไม่ปล่อยให้ตัวเองบาดเจ็บ"ทันใดนั้นดวงตาของซูชิงอู่ก็ส่องประกาย "ท่านอ๋อง ไปกันเถอะ"นี่เป็นครั้งแรกที่ซูชิงอู่ไปที่ชายแดนชาติก่อนนางวางตัวเป็นกุลสตรี จึงแทบไม่ได้ออกจากเมืองหลวงเลยผู้คนนับหมื่นในเมืองฉี ก่อนหน้านี้ถูกพวกเขาพาไปอยู่เมืองอื่น และเมื่อเย่เสวียนถิงจากมาก็พาพวกเขามาด้วยอย่างน้อยผู้คนมา