"แต่ข้า...ข้าไม่มีกระดาษติดตัวมาเลย ข้าเขียนไม่ได้...""ข้าเอามาด้วย"ซูชิงอู่หยิบพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกออกจากอาภรณ์เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ใส่อะไรไว้มากนัก แต่นางก็มีข้าวของมากมายอยู่ในอาภรณ์นั้นเขาไม่รู้ว่านางเอาขวดและของทั้งหมดไปใส่ไว้ที่ส่วนใดเย่ชิวหมิงไม่อาจรอช้าได้ เขาจึงรีบคุกเข่าลงกับพื้นและเริ่มเขียนทันทีไม่ไกลนัก เย่เสวียนถิงก็เห็นภาพนี้ด้วยตาของเขาเอง รูม่านตาเขาขยายออก ตกใจกับการกระทำของซูชิงอู่เช่นกันแต่ในไม่ช้าเขาก็กลับมาเป็นปกติ นิ้วของเขาจับเชือกไว้แน่น คิ้วและดวงตาเขาลดลงราวกับจมอยู่ในห้วงความคิดเย่ชิวหมิงยื่นกระดาษที่เขาเขียนพร้อมลงนามแล้วให้กับซูชิงอู่ นางเก็บกระดาษแผ่นนั้นไปอย่างระมัดระวัง“เอาล่ะ ไปขอโทษท่านอ๋องเสีย”เมื่อชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของใครบางคน เย่ชิวหมิงจึงต้องก้มหัวเจียมตัว เขาเดินไปหาเย่เสวียนถิง ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอับอายและความโกรธ เขาก้มศีรษะและโค้งคำนับ "น้องรอง... ข้าขอโทษ"ด้วยเหตุนี้ น้ำเสียงเย็นชาของซูชิงอู่ก็ดังมาจากด้านหลัง"คุกเข่า"ขาของเย่ชิวหมิงอ่อนแรง เขาคุกเข่าลงกับพื้นทันทีราวกับว่าสิ่งที่ซูชิงอู่พ
เสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนกดังมาจากพื้นที่ล่าสัตว์ เย่เสวียนถิงกำลังจะไปที่นั่นทันใดนั้นดวงตาของซูชิงอู่ก็มืดลง แม้ว่านางจะคาดเดาไว้แล้วว่ากลุ่มกบฏจะมาลอบสังหารพวกเขาในระหว่างการล่าสัตว์ครั้งนี้ แต่นางก็คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าพวกเขาจะมาเร็วถึงเพียงนี้!แม้ว่าแคว้นหนานเย่จะดูสงบสุขจากภายนอก แต่เบื้องหลังกลับมีคลื่นใต้น้ำรุนแรง กลุ่มกบฏมักจะก่อปัญหาในสถานที่ต่าง ๆ อ้างการฟื้นคืนราชวงศ์ก่อนหน้านอกจากนี้ยังมีการคัดเลือกปรมาจารย์ด้านศิลปะการต่อสู้จำนวนมาก เพื่อเตรียมรับกับสถานการณ์ลอบสังหารไว้ด้วยสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก อีกไม่นาน ฮ่องเต้องค์ก่อนจะมัวเมาในทักษะการเล่นแร่แปรธาตุของราชครู*(ปรมาจารย์)จากภูเขาศักดิ์สิทธิ์เนื่องจากเขาไม่ได้ว่าราชการมาเป็นเวลานานแล้ว สถานการณ์ภายในแคว้นจึงตึงเครียดและเข้าขั้นวิกฤตเป็นอย่างมาก มากเสียจนเย่เสวียนถิงต้องนำกองกำลังทหารไปปราบการกบฏเพื่อประชาชนในแคว้นหนานเย่เองนี่เป็นเหตุผลหลักว่าเหตุใดนางจึงได้ใกล้ชิดกับเขามากขึ้นในภายหลังซูชิงอู่วาดปลายนิ้วออกคว้าเย่เสวียนถิงไว้“เสวียนถิง มีปรมาจารย์มากมายคอยคุ้มครองฮ่องเต้อยู่แล้ว ท่านไม่จำเป็นต้อ
เย่ชิวหมิงอุทาน “เจ้าคิดจะทำอะไร?”เย่เสวียนถิงไม่อยู่ที่นี่ เหตุใดสตรีผู้นี้ถึงกล้าหาญได้เพียงนี้? จะเป็นเช่นไรหากนางแก้เชือกที่มัดเสือออกแล้วทำให้มันคลุ้มคลั่งจนทำร้ายผู้คน!แม้แต่เขายังสู้กับเสือดุร้ายตัวนี้ไม่ได้ แล้วซูชิงอู่ที่เป็นเพียงสตรี…เย่ชิวหมิงหดคอเขาลืมไปได้เช่นไร?!เขาเพิ่งได้รับการสั่งสอนจากสตรีซูชิงอู่ผู้นี้ไปเองเป็นเพราะรูปลักษณ์ของซูชิงอู่นั้นเหลือเชื่อเกินไป นางมีความงามที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อนมากกว่าสตรีทั่วไปลักษณะใบหน้า รูปร่าง หรือส่วนสูงของนางนับว่าไร้ที่ติดวงตาสีลูกท้อของนางกลมโต คิ้วโก่งดั่งคันศร ผิวขาวราวเปลือกไข่ ผมสีดำขลับจัดทรงอย่างประณีตและมัดเป็นมวยอ่อนโยนที่ด้านหลังของศีรษะ…นางสวมอาภรณ์สีขาวโอบรอบเรือนร่างอันเพรียวบางและสง่างามของนาง อีกทั้งยังมีเสน่ห์แห่งความงามอันอ่อนช้อยตั้งแต่การเดิน การนั่ง ตลอดจนท่วงท่าการนอนเสือขาวหลุดพ้นจากพันธนาการ แต่ยังคงนอนนิ่งอยู่บนพื้นซูชิงอู่ตบหัวเสือแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ลุกขึ้น อย่ามาแกล้งตาย!"ดวงตาของเย่ชิวหมิงเบิกกว้าง และเห็นว่าเมื่อซูชิงอู่พูดจบ เสือขาวก็ยกแขนขาของมันขึ้นจากพื้นและยืนขึ้นทั
ม้าส่งเสียงร้อง และกลุ่มชายชุดดำก็พรั่งพรูเข้ามาในพื้นที่ล่าสัตว์คนเหล่านี้ถืออาวุธที่ซ่อนอยู่ เหล่าทหารองครักษ์ธรรมดาต่างก็ถูกฆ่าก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้ามาใกล้เสียด้วยซ้ำเสียงตะโกนของการสังหารยังคงดำเนินต่อไป ทหารองครักษ์ก็รีบรุดไปข้างหน้าทีละคนเพื่อต่อต้านการโจมตีของกลุ่มกบฏเหล่านี้ฮ่องเต้และฮองเฮาตลอดจนเหล่านางสนมก็ได้รับการคุ้มครองจากฝูงชนในเวลานี้ และองครักษ์หลายคนก็พารถม้าของราชวงศ์ไปยังพระราชวังซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพื้นที่ล่าสัตว์เห็นได้ชัดว่าภูมิประเทศนั้นง่ายต่อการป้องกันแต่ถูกโจมตีได้ยาก ที่แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันเป็นพิเศษใบหน้าของฮ่องเต้ดูไม่ได้ เขามองไปรอบ ๆ ด้วยริมฝีปากที่เม้มแน่น“เย่เสวียนถิงอยู่ที่ไหน?”ผู้นำทหารองค์รักษ์รีบตอบ "ท่านอ๋องและพระชายาเข้าไปในป่าเมื่อสักครู่นี้ พวกเขาคงจะอยู่กับองค์ชายใหญ่"“ให้เขามาคุ้มกันข้าทันที!”“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะส่งคนไปตามท่านอ๋องเดี๋ยวนี้!”เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้และคณะของเขาอยู่ไม่ไกลจากพระราชวัง ทันใดนั้นชายชุดดำกลุ่มหนึ่งก็รีบวิ่งออกมาจากทางลาดครึ่งทางขึ้นไปบนภูเขาชายชุดดำกลุ่มนี้เข้ามาอย่างกะทันหันราวกับว
“เสด็จพ่อ โปรดยกโทษให้กระหม่อมที่มาช้าด้วย!”สีหน้าของฮ่องเต้อ่อนลง เขาเอื้อมมือไปตบไหล่เย่เสวียนถิงเบา ๆ“เจ้ามาได้ทันเวลาพอดี ข้าและเหล่านางสนมทุกคนปลอดภัยดี”องครักษ์ที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นผู้นำในการพานางสนมไปยังพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวโดยออกจากสถานที่แห่งนี้ บางคนถึงกับอดไม่ได้ที่จะอาเจียนออกมาสองสามครั้งเมื่อเห็นศพเปื้อนเลือดอยู่บนพื้นหลังจากที่คนเหล่านั้นไปเกือบหมดแล้ว คนอื่น ๆ ก็เริ่มทำความสะอาดสนามรบฮ่องเต้รู้สึกโล่งใจชั่วคราวเมื่อเห็นว่าเหล่าชายชุดดำนั้นตายหมดแล้ว“เสวียนถิง อย่าลืมเก็บกวาดมือสังหารเหล่านี้ จะเป็นการดีหากเจ้าไม่ไว้ชีวิตใครไปแม้แต่คนเดียว!”เย่เสวียนถิงกล่าวว่า "กระหม่อมจะเชื่อฟังเสด็จพ่อ!"ดวงตาของฮ่องเต้มืดมน เขาพูดขึ้นว่า "กลุ่มกบฏนี้กล้าหาญจริง ๆ พวกมันกล้ารวมตัวกันใกล้เมืองหลวง ความรับผิดชอบในการกำจัดกบฏเหล่านี้ภายในเมืองหลวงก็เป็นหน้าที่ของเจ้าเช่นกัน เจ้าจงจำไว้ว่า ฆ่าพวกมันอย่างไม่ตั้งใจดีกว่าปล่อยไปให้มีชีวิตรอด!”เย่เสวียนถิงลดสายตาลง เขาไม่พูดอะไรอีกหลังจากได้ฟังคำแนะนำของฮ่องเต้แต่ทันใดนั้นเจ้าสิบเจ็ด ซึ่งกำลังจะลากศพขึ้นจากพื้นก็เบิกตากว้า
ทันใดนั้นสีหน้าของเย่เสวียนถิงก็เปลี่ยนไป หัวใจของเขาจมลึกลงสู่ก้นบึ้งเขาผิดหรือเปล่า เขาไม่ควรเชื่อคำพูดของซูชิงอู่ใช่หรือไม่?นางปรารถนาให้เขาตายมาโดยตลอด แล้วเหตุใดนางจึงให้ยายืดอายุขัยแก่เขาไว้?จู่ ๆ หัวใจของเขาก็ตึงเครียด เย่เสวียนถิงตระหนักได้ทันทีว่าเขาไม่อาจทนต่อผลลัพธ์เช่นนั้นได้ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มเล็กน้อย เขาพยายามปิดรูขนาดใหญ่บนร่างขององครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดอย่างรวดเร็ว เขาพยายามยืดเวลาออกไปให้นานที่สุดในขณะนี้ หัวใจของเขารู้สึกราวกับกำลังตกลงไปในถ้ำน้ำแข็งสิ่งเดียวที่อยู่ในใจของเขาคือเสียง ใบหน้า และรอยยิ้มของซูชิงอู่ เขาอดยิ้มอย่างขมขื่นในใจไม่ได้ ในเวลาเพียงหนึ่งเดือน เขาก็ตกสู่หลุมพลางอันแสนอ่อนโยนของนางอย่างสมบูรณ์องครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็บตัวสั่นเล็กน้อย เขาพ่นเลือดสีดำในปากออกมา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าการมองเห็นที่พร่ามัวของเขาค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นความเหนื่อยล้าทางร่างกายและความรู้สึกที่กำลังจะถูกทำลายโดยพิษก็หายไปสีหน้าของเขาเฉื่อยชาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันศีรษะไปมองเย่เสวียนถิงดวงตาของเย่เสวียนถิงเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับมีเหว
ม่านตาของเย่เสวียนถิงแคบลงเล็กน้อยจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นอีกครั้งและรีบไปที่อื่นอย่างรวดเร็วในเวลานี้ซูชิงอู่กำลังเดินอยู่บนภูเขาลัดเลาะผ่านป่าไม้ โดยสวมอาภรณ์ของเย่ชิวหมิง นางสะพายธนูและลูกธนูขนาดใหญ่หลายอันไว้บนหลังในแต่ละครั้ง ลูกธนูที่โจมตีลงมาจากภูเขานั้นราวกับเคียวคมกริบในมือของเทพเจ้าแห่งความตาย“เป็นองค์ชายใหญ่ องค์ชายใหญ่มาที่นี่เพื่อช่วยพวกเรา!”ใครบางคนในฝูงชนตะโกนเสียงดัง ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจมีคนช่วยซูหัวจิ่นซึ่งเกือบได้รับบาดเจ็บจากการลอบสังหารเมื่อครู่นี้ โดยตบฝุ่นบนร่างกายของเขาแล้วถามด้วยความห่วงใยว่า "ใต้เท้าซู ท่านบาดเจ็บหรือไม่?"ซูหัวจิ่นส่ายหน้าเบา ๆ ใบหน้าของเขายังคงซีดเซียวเนื่องจากหวาดกลัว"ข้าไม่เป็นไร"ชาวบ้านอีกคนอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นเล็กน้อย "ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าทักษะการต่อสู้ขององค์ชายใหญ่จะทรงพลังเพียงนี้ ลูกศรสองสามลูกเมื่อครู่น่าทึ่งมาก!"ชายชุดดำที่อยู่รอบตัวพวกเขาทั้งหมดถูกสังหาร วิกฤตอันตรายของพวกเขาได้รับการแก้ไขแล้ว เสียงของพวกเขาอดไม่ได้ที่จะผ่อนคลายลงในที่สุดซูหัวจิ่นพยักหน้าเล็กน้อย แต่เขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เย่เสวียนถิงสงบอารมณ์ของเขาลงชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะปล่อยแขนออกเล็กน้อยเขาหรี่ตาหงส์แล้วพูดว่า "เจ้าบอกว่าเจ้ามียายืดอายุขัยอีกสองเม็ด เอายาออกมาแล้วมอบให้ข้า"ซูชิงอู่เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย มองดูเย่เสวียนถิงอย่างไม่แน่ใจ จากนั้นนางก็กำนิ้วขึ้นเล็กน้อย“ไม่ได้ นี้คือสิ่งที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข้า ข้าไม่อาจให้ได้อีก...”เย่เสวียนถิงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม "เจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้าชอบข้าและเต็มใจที่จะให้ข้าทุกอย่างงั้นหรือ?"ซูชิงอู่ไม่ตอบนางหันศีรษะไปทางอื่นและกำแขนเสื้อไว้แน่นเย่เสวียนถิงจ้องมองนางอย่างสงบเงียบ สังเกตการแสดงออกของนางและการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในดวงตาของนางหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดขึ้นเบา ๆ "ยายืดอายุขัยไม่ได้มีสามเม็ดใช่หรือไม่?"ม่านตาของซูชิงอู่ขยายออกเล็กน้อย นางมองไปยังเย่เสวียนถิง"ข้า……"เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างจริงจัง ทำให้ซูชิงอู่กลืนคำพูดที่ไม่จริงใจของนางทั้งหมดลงไปนางพบว่าบางครั้งสัญชาตญาณของบุรุษผู้นี้ก็แข็งแกร่งจนน่ากลัวเย่เสวียนถิงเข้าใจทุกอย่างในทันที ผ่านการที่นางกำแขนเสื้อของตนเองไว้แน่น ซูชิงอู่รู้สึกว่าเอวของนางกระชับขึ้น นางถูกยกขึ้นจา