“เสด็จพ่อ โปรดยกโทษให้กระหม่อมที่มาช้าด้วย!”สีหน้าของฮ่องเต้อ่อนลง เขาเอื้อมมือไปตบไหล่เย่เสวียนถิงเบา ๆ“เจ้ามาได้ทันเวลาพอดี ข้าและเหล่านางสนมทุกคนปลอดภัยดี”องครักษ์ที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นผู้นำในการพานางสนมไปยังพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวโดยออกจากสถานที่แห่งนี้ บางคนถึงกับอดไม่ได้ที่จะอาเจียนออกมาสองสามครั้งเมื่อเห็นศพเปื้อนเลือดอยู่บนพื้นหลังจากที่คนเหล่านั้นไปเกือบหมดแล้ว คนอื่น ๆ ก็เริ่มทำความสะอาดสนามรบฮ่องเต้รู้สึกโล่งใจชั่วคราวเมื่อเห็นว่าเหล่าชายชุดดำนั้นตายหมดแล้ว“เสวียนถิง อย่าลืมเก็บกวาดมือสังหารเหล่านี้ จะเป็นการดีหากเจ้าไม่ไว้ชีวิตใครไปแม้แต่คนเดียว!”เย่เสวียนถิงกล่าวว่า "กระหม่อมจะเชื่อฟังเสด็จพ่อ!"ดวงตาของฮ่องเต้มืดมน เขาพูดขึ้นว่า "กลุ่มกบฏนี้กล้าหาญจริง ๆ พวกมันกล้ารวมตัวกันใกล้เมืองหลวง ความรับผิดชอบในการกำจัดกบฏเหล่านี้ภายในเมืองหลวงก็เป็นหน้าที่ของเจ้าเช่นกัน เจ้าจงจำไว้ว่า ฆ่าพวกมันอย่างไม่ตั้งใจดีกว่าปล่อยไปให้มีชีวิตรอด!”เย่เสวียนถิงลดสายตาลง เขาไม่พูดอะไรอีกหลังจากได้ฟังคำแนะนำของฮ่องเต้แต่ทันใดนั้นเจ้าสิบเจ็ด ซึ่งกำลังจะลากศพขึ้นจากพื้นก็เบิกตากว้า
ทันใดนั้นสีหน้าของเย่เสวียนถิงก็เปลี่ยนไป หัวใจของเขาจมลึกลงสู่ก้นบึ้งเขาผิดหรือเปล่า เขาไม่ควรเชื่อคำพูดของซูชิงอู่ใช่หรือไม่?นางปรารถนาให้เขาตายมาโดยตลอด แล้วเหตุใดนางจึงให้ยายืดอายุขัยแก่เขาไว้?จู่ ๆ หัวใจของเขาก็ตึงเครียด เย่เสวียนถิงตระหนักได้ทันทีว่าเขาไม่อาจทนต่อผลลัพธ์เช่นนั้นได้ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มเล็กน้อย เขาพยายามปิดรูขนาดใหญ่บนร่างขององครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดอย่างรวดเร็ว เขาพยายามยืดเวลาออกไปให้นานที่สุดในขณะนี้ หัวใจของเขารู้สึกราวกับกำลังตกลงไปในถ้ำน้ำแข็งสิ่งเดียวที่อยู่ในใจของเขาคือเสียง ใบหน้า และรอยยิ้มของซูชิงอู่ เขาอดยิ้มอย่างขมขื่นในใจไม่ได้ ในเวลาเพียงหนึ่งเดือน เขาก็ตกสู่หลุมพลางอันแสนอ่อนโยนของนางอย่างสมบูรณ์องครักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็บตัวสั่นเล็กน้อย เขาพ่นเลือดสีดำในปากออกมา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าการมองเห็นที่พร่ามัวของเขาค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นความเหนื่อยล้าทางร่างกายและความรู้สึกที่กำลังจะถูกทำลายโดยพิษก็หายไปสีหน้าของเขาเฉื่อยชาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันศีรษะไปมองเย่เสวียนถิงดวงตาของเย่เสวียนถิงเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับมีเหว
ม่านตาของเย่เสวียนถิงแคบลงเล็กน้อยจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นอีกครั้งและรีบไปที่อื่นอย่างรวดเร็วในเวลานี้ซูชิงอู่กำลังเดินอยู่บนภูเขาลัดเลาะผ่านป่าไม้ โดยสวมอาภรณ์ของเย่ชิวหมิง นางสะพายธนูและลูกธนูขนาดใหญ่หลายอันไว้บนหลังในแต่ละครั้ง ลูกธนูที่โจมตีลงมาจากภูเขานั้นราวกับเคียวคมกริบในมือของเทพเจ้าแห่งความตาย“เป็นองค์ชายใหญ่ องค์ชายใหญ่มาที่นี่เพื่อช่วยพวกเรา!”ใครบางคนในฝูงชนตะโกนเสียงดัง ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจมีคนช่วยซูหัวจิ่นซึ่งเกือบได้รับบาดเจ็บจากการลอบสังหารเมื่อครู่นี้ โดยตบฝุ่นบนร่างกายของเขาแล้วถามด้วยความห่วงใยว่า "ใต้เท้าซู ท่านบาดเจ็บหรือไม่?"ซูหัวจิ่นส่ายหน้าเบา ๆ ใบหน้าของเขายังคงซีดเซียวเนื่องจากหวาดกลัว"ข้าไม่เป็นไร"ชาวบ้านอีกคนอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นเล็กน้อย "ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าทักษะการต่อสู้ขององค์ชายใหญ่จะทรงพลังเพียงนี้ ลูกศรสองสามลูกเมื่อครู่น่าทึ่งมาก!"ชายชุดดำที่อยู่รอบตัวพวกเขาทั้งหมดถูกสังหาร วิกฤตอันตรายของพวกเขาได้รับการแก้ไขแล้ว เสียงของพวกเขาอดไม่ได้ที่จะผ่อนคลายลงในที่สุดซูหัวจิ่นพยักหน้าเล็กน้อย แต่เขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เย่เสวียนถิงสงบอารมณ์ของเขาลงชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะปล่อยแขนออกเล็กน้อยเขาหรี่ตาหงส์แล้วพูดว่า "เจ้าบอกว่าเจ้ามียายืดอายุขัยอีกสองเม็ด เอายาออกมาแล้วมอบให้ข้า"ซูชิงอู่เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย มองดูเย่เสวียนถิงอย่างไม่แน่ใจ จากนั้นนางก็กำนิ้วขึ้นเล็กน้อย“ไม่ได้ นี้คือสิ่งที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข้า ข้าไม่อาจให้ได้อีก...”เย่เสวียนถิงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม "เจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้าชอบข้าและเต็มใจที่จะให้ข้าทุกอย่างงั้นหรือ?"ซูชิงอู่ไม่ตอบนางหันศีรษะไปทางอื่นและกำแขนเสื้อไว้แน่นเย่เสวียนถิงจ้องมองนางอย่างสงบเงียบ สังเกตการแสดงออกของนางและการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในดวงตาของนางหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดขึ้นเบา ๆ "ยายืดอายุขัยไม่ได้มีสามเม็ดใช่หรือไม่?"ม่านตาของซูชิงอู่ขยายออกเล็กน้อย นางมองไปยังเย่เสวียนถิง"ข้า……"เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างจริงจัง ทำให้ซูชิงอู่กลืนคำพูดที่ไม่จริงใจของนางทั้งหมดลงไปนางพบว่าบางครั้งสัญชาตญาณของบุรุษผู้นี้ก็แข็งแกร่งจนน่ากลัวเย่เสวียนถิงเข้าใจทุกอย่างในทันที ผ่านการที่นางกำแขนเสื้อของตนเองไว้แน่น ซูชิงอู่รู้สึกว่าเอวของนางกระชับขึ้น นางถูกยกขึ้นจา
"จัดการพวกคนชุดดำหมดแล้วหรือ?" ซูชิงอู่พยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างสุดความสามารถ เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เสวียนถิง นางอ่อนโยนราวกับสายน้ำ ไร้ซึ่งท่าทางโหดเหี้ยมเมื่อสักครู่นี้ ราวกับว่านางหาใช้ผู้ที่ขี่พยัคฆ์ขาวและยิงธนูสังหารทัพกบฏแต่อย่างใดไม่ "ใช่ อีกไม่นานก็น่าจะจัดการหมดแล้วล่ะ" เขายังมีความเชื่อมั่นในตัวเหล่าทหารที่เขาพามา ถึงแม้ว่าการลอบสังหารออกจะกะทันหันอยู่บ้างและยอมให้คนพวกนี้ใช้วิธีอื่นเพื่อแทรกซึมเข้ามาในลานล่าสัตว์ แต่การคุ้มกันได้ทันเวลาก็ช่วยป้องกันมิให้เกิดความเสียหายมากเกินไปนัก ยามนี้ฮ่องเต้และคนอื่นๆ ต่างกลับวังหลวงเพื่อหาที่หลบซ่อน ยามนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ขอเพียงพวกเขาผ่านพ้นราตรีนี้ไปได้อย่างปลอดภัย รุ่งเช้าวันพรุ่งนี้พวกเขาก็สามารถกลับวังหลวงได้แล้ว ถึงแม้ว่าการล่าสัตว์จะจบลงก่อนกำหนด แต่ทุกคนก็ตัดสินได้แล้วว่าผู้ใดคือผู้นำของการล่าสัตว์ครั้งนี้ อย่างไรเสียภาพที่องค์ชายใหญ่ขี่พยัคฆ์เพื่อช่วยคนก็ทิ้งความประทับใจอันยากจะลบเลือนให้แก่เหล่าขุนนาง ตอนนี้เย่ชิวหมิงถูกพาตัวกลับมาแล้ว จากนั้นเขาก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์อีกครั้ง เขาเครียดเกร็งไปทั้งร่างแ
ทันทีที่เอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา ทั่วทั้งท้องพระโรงก็เงียบสงัด ฮ่องเต้ชราลูบพระเคราแล้วมองเย่ชิวหมิงด้วยพระเนตรที่ฉายแววลึกล้ำอยู่บ้าง ควรทราบว่าการสอบชิวซื่อจัดขึ้นทุกสามปี ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งหนีไม่พ้นต้องกลายเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ แคว้นหนานเย่ให้ความสำคัญกับการสอบชิวซื่อมาโดยตลอด ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดหลายคนเมื่อปีก่อน ๆ ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ตรวจการมณฑลหลินโจวที่ฮ่องเต้ส่งมา หรือหัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดินประจำรัชกาลปัจจุบัน ยามนี้จิงจ้าวอิ่นผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดเมื่อสามปีก่อน รับผิดชอบคดีอาญาทั้งหลายในเมืองหลวง นับตั้งแต่เรื่องฆ่าคนวางเพลิงไปจนถึงเรื่องทะเลาะวิวาทเล็ก ๆ น้อย ๆ และลักขโมย... ถึงแม้ว่าผู้คุมสอบจะมิใช่ตำแหน่งที่ใหญ่โตและได้ผลประโยชน์มาก แต่ก็มีโอกาสที่จะได้พบเจอผู้มากพรสวรรค์ที่คร่ำเคร่งร่ำเรียนมาหลายปี ต่อให้บางคนจะมิได้อันดับหนึ่ง ทว่าพวกเขาก็ล้วนมีทั้งความสามารถและพรสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังเป็นตำแหน่งที่สะดวกแก่การเอาชนะใจและทำความเข้าใจคนกลุ่มนี้อีกด้วย "ในเมื่อข้าตกปากรับคำแล้ว ข้าก็จะไม่คืนคำ องค์ชายหมิง เพียงแต
ก่อนที่เย่ชิวหมิงจะทันได้เอ่ยวาจาใด เย่อวิ๋นถูก็ชิงเอ่ยขึ้นมามา "ข้าได้ยินว่าวันนี้เสด็จพี่ใหญ่แสดงฝีมืออันล้ำเลิศในการล่าสัตว์ช่วงสารทฤดู จนถึงขนาดได้ตำแหน่งผู้คุมสอบ ขอแสดงความยินดีด้วย!" สีหน้าของเขาหม่นคล้ำและน้ำเสียงก็ฟังดูเคลือบคลุม เย่ชิวหมิงตะลึงงันไปชั่วขณะ และกำลังจะอธิบายให้ฟัง เขาก็ได้ยินเสียงของเย่อวิ๋นถูเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งว่า "เดิมทีข้านึกว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของเย่เสวียนถิง จนถึงกับติดสินบนเด็กเลี้ยงม้าให้บอกว่าเขาเป็นผู้กระทำผิดตัวจริง ข้านึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นฝีมือของเสด็จพี่ใหญ่ที่แสนดีของข้าเสียได้!” เย่ชิวหมิงพลันสีหน้าหม่นคล้ำ "เย่อวิ๋นถู พูดเช่นนี้เจ้าหมายความว่าอันใดกัน?" เย่อวิ๋นถูแตะขาข้างที่ได้รับบาดเจ็บ "เย่เสวียนถิงบาดเจ็บที่ขาอยู่แล้ว ข้าใส่ยาลงไปในอาหารม้าของเขาเพื่อทำให้ม้าคลั่ง จะได้ขับไล่เขาออกไปจากการล่าสัตว์ครั้งนี้ เพราะข้าคิดว่าน่าจะสามารถเอาชนะเจ้าผู้ที่หลงใหลบทกวีและตำรับตำราได้ไม่ยากนัก ทว่าข้ากลับมิคาดคิดเลยว่าเสด็จพี่ใหญ่ของข้าจะมากเล่ห์ถึงขนาดทำให้ข้าต้องขาหักในภายหลัง เพื่อมิให้ข้าเป็นคู่ต่อสู้ของท่านได้อีกต่อไป... ยิ่งไปกว่านั้น
ซูชิงอู่สั่งให้คนในครัวไปต้มน้ำ จากนั้นก็สั่งให้คนยกถังอาบน้ำเข้ามาในห้องแล้วเติมสมุนไพรมากมายลงไป เมื่อเย่เสวียนถิงที่ถูกซูชิงอู่บังคับให้เข้ามาในห้องได้เห็นถังอาบน้ำที่ยังอุ่น ๆ เขาก็ตะลึงงันอยู่บ้าง "อาอู่ เจ้าคิดจะทำอาหารหรือ?" มีสมุนไพรผสมเข้าด้วยกันอยู่ในถังอาบน้ำมากมายเหลือเกิน บางอย่างถึงกับลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ชวนให้แลดูเหมือนน้ำแกงหม้อหนึ่งจริง ๆ ซูชิงอู่ปาดเหงื่อออกจากหน้าผากแล้วให้รู้สึกขบขันกับวาจาที่เย่เสวียนถิงเพิ่งจะกล่าวออกมา "จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? ท่านอ๋อง ท่านมิใช่อาหารสักหน่อย" เย่เสวียนถิงเข้าใจแล้วว ซูชิงอู่คิดจะให้เขาลงไปในนั้น เขาเม้มปากแน่นและกล้ามเนื้อเครียดเกร็งไปทั่วทั้งร่าง จากนั้นเขาก็มองถังของเหลวสีดำมืดแล้วริมฝีปากของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวเล็กน้อย แม้แต่อ๋องเสวียนที่เคยชินกับเหตุการณ์ครั้งใหญ่ ยามนี้ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่บ้าง "อาอู่ เจ้าคิดจะทำอันใดกัน?" ซูชิงอู่ตอบเสียงเรียบนิ่งว่า "ข้าเตรียมถังสมุนไพรเพื่อให้ท่านอ๋องเสริมกำลังกายรวมทั้งชำระล้างกระดูกและไขกระดูก ข้าจะเตรียมถังสมุนไพรให้ท่านทุกวันเอง" เมื่อนางพูดจ