เย่เสวียนถิงสงบอารมณ์ของเขาลงชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะปล่อยแขนออกเล็กน้อยเขาหรี่ตาหงส์แล้วพูดว่า "เจ้าบอกว่าเจ้ามียายืดอายุขัยอีกสองเม็ด เอายาออกมาแล้วมอบให้ข้า"ซูชิงอู่เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย มองดูเย่เสวียนถิงอย่างไม่แน่ใจ จากนั้นนางก็กำนิ้วขึ้นเล็กน้อย“ไม่ได้ นี้คือสิ่งที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข้า ข้าไม่อาจให้ได้อีก...”เย่เสวียนถิงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม "เจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้าชอบข้าและเต็มใจที่จะให้ข้าทุกอย่างงั้นหรือ?"ซูชิงอู่ไม่ตอบนางหันศีรษะไปทางอื่นและกำแขนเสื้อไว้แน่นเย่เสวียนถิงจ้องมองนางอย่างสงบเงียบ สังเกตการแสดงออกของนางและการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในดวงตาของนางหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดขึ้นเบา ๆ "ยายืดอายุขัยไม่ได้มีสามเม็ดใช่หรือไม่?"ม่านตาของซูชิงอู่ขยายออกเล็กน้อย นางมองไปยังเย่เสวียนถิง"ข้า……"เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างจริงจัง ทำให้ซูชิงอู่กลืนคำพูดที่ไม่จริงใจของนางทั้งหมดลงไปนางพบว่าบางครั้งสัญชาตญาณของบุรุษผู้นี้ก็แข็งแกร่งจนน่ากลัวเย่เสวียนถิงเข้าใจทุกอย่างในทันที ผ่านการที่นางกำแขนเสื้อของตนเองไว้แน่น ซูชิงอู่รู้สึกว่าเอวของนางกระชับขึ้น นางถูกยกขึ้นจา
"จัดการพวกคนชุดดำหมดแล้วหรือ?" ซูชิงอู่พยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างสุดความสามารถ เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เสวียนถิง นางอ่อนโยนราวกับสายน้ำ ไร้ซึ่งท่าทางโหดเหี้ยมเมื่อสักครู่นี้ ราวกับว่านางหาใช้ผู้ที่ขี่พยัคฆ์ขาวและยิงธนูสังหารทัพกบฏแต่อย่างใดไม่ "ใช่ อีกไม่นานก็น่าจะจัดการหมดแล้วล่ะ" เขายังมีความเชื่อมั่นในตัวเหล่าทหารที่เขาพามา ถึงแม้ว่าการลอบสังหารออกจะกะทันหันอยู่บ้างและยอมให้คนพวกนี้ใช้วิธีอื่นเพื่อแทรกซึมเข้ามาในลานล่าสัตว์ แต่การคุ้มกันได้ทันเวลาก็ช่วยป้องกันมิให้เกิดความเสียหายมากเกินไปนัก ยามนี้ฮ่องเต้และคนอื่นๆ ต่างกลับวังหลวงเพื่อหาที่หลบซ่อน ยามนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ขอเพียงพวกเขาผ่านพ้นราตรีนี้ไปได้อย่างปลอดภัย รุ่งเช้าวันพรุ่งนี้พวกเขาก็สามารถกลับวังหลวงได้แล้ว ถึงแม้ว่าการล่าสัตว์จะจบลงก่อนกำหนด แต่ทุกคนก็ตัดสินได้แล้วว่าผู้ใดคือผู้นำของการล่าสัตว์ครั้งนี้ อย่างไรเสียภาพที่องค์ชายใหญ่ขี่พยัคฆ์เพื่อช่วยคนก็ทิ้งความประทับใจอันยากจะลบเลือนให้แก่เหล่าขุนนาง ตอนนี้เย่ชิวหมิงถูกพาตัวกลับมาแล้ว จากนั้นเขาก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์อีกครั้ง เขาเครียดเกร็งไปทั้งร่างแ
ทันทีที่เอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา ทั่วทั้งท้องพระโรงก็เงียบสงัด ฮ่องเต้ชราลูบพระเคราแล้วมองเย่ชิวหมิงด้วยพระเนตรที่ฉายแววลึกล้ำอยู่บ้าง ควรทราบว่าการสอบชิวซื่อจัดขึ้นทุกสามปี ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งหนีไม่พ้นต้องกลายเป็นคนสนิทของฮ่องเต้ แคว้นหนานเย่ให้ความสำคัญกับการสอบชิวซื่อมาโดยตลอด ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดหลายคนเมื่อปีก่อน ๆ ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ตรวจการมณฑลหลินโจวที่ฮ่องเต้ส่งมา หรือหัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดินประจำรัชกาลปัจจุบัน ยามนี้จิงจ้าวอิ่นผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดเมื่อสามปีก่อน รับผิดชอบคดีอาญาทั้งหลายในเมืองหลวง นับตั้งแต่เรื่องฆ่าคนวางเพลิงไปจนถึงเรื่องทะเลาะวิวาทเล็ก ๆ น้อย ๆ และลักขโมย... ถึงแม้ว่าผู้คุมสอบจะมิใช่ตำแหน่งที่ใหญ่โตและได้ผลประโยชน์มาก แต่ก็มีโอกาสที่จะได้พบเจอผู้มากพรสวรรค์ที่คร่ำเคร่งร่ำเรียนมาหลายปี ต่อให้บางคนจะมิได้อันดับหนึ่ง ทว่าพวกเขาก็ล้วนมีทั้งความสามารถและพรสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังเป็นตำแหน่งที่สะดวกแก่การเอาชนะใจและทำความเข้าใจคนกลุ่มนี้อีกด้วย "ในเมื่อข้าตกปากรับคำแล้ว ข้าก็จะไม่คืนคำ องค์ชายหมิง เพียงแต
ก่อนที่เย่ชิวหมิงจะทันได้เอ่ยวาจาใด เย่อวิ๋นถูก็ชิงเอ่ยขึ้นมามา "ข้าได้ยินว่าวันนี้เสด็จพี่ใหญ่แสดงฝีมืออันล้ำเลิศในการล่าสัตว์ช่วงสารทฤดู จนถึงขนาดได้ตำแหน่งผู้คุมสอบ ขอแสดงความยินดีด้วย!" สีหน้าของเขาหม่นคล้ำและน้ำเสียงก็ฟังดูเคลือบคลุม เย่ชิวหมิงตะลึงงันไปชั่วขณะ และกำลังจะอธิบายให้ฟัง เขาก็ได้ยินเสียงของเย่อวิ๋นถูเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งว่า "เดิมทีข้านึกว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของเย่เสวียนถิง จนถึงกับติดสินบนเด็กเลี้ยงม้าให้บอกว่าเขาเป็นผู้กระทำผิดตัวจริง ข้านึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นฝีมือของเสด็จพี่ใหญ่ที่แสนดีของข้าเสียได้!” เย่ชิวหมิงพลันสีหน้าหม่นคล้ำ "เย่อวิ๋นถู พูดเช่นนี้เจ้าหมายความว่าอันใดกัน?" เย่อวิ๋นถูแตะขาข้างที่ได้รับบาดเจ็บ "เย่เสวียนถิงบาดเจ็บที่ขาอยู่แล้ว ข้าใส่ยาลงไปในอาหารม้าของเขาเพื่อทำให้ม้าคลั่ง จะได้ขับไล่เขาออกไปจากการล่าสัตว์ครั้งนี้ เพราะข้าคิดว่าน่าจะสามารถเอาชนะเจ้าผู้ที่หลงใหลบทกวีและตำรับตำราได้ไม่ยากนัก ทว่าข้ากลับมิคาดคิดเลยว่าเสด็จพี่ใหญ่ของข้าจะมากเล่ห์ถึงขนาดทำให้ข้าต้องขาหักในภายหลัง เพื่อมิให้ข้าเป็นคู่ต่อสู้ของท่านได้อีกต่อไป... ยิ่งไปกว่านั้น
ซูชิงอู่สั่งให้คนในครัวไปต้มน้ำ จากนั้นก็สั่งให้คนยกถังอาบน้ำเข้ามาในห้องแล้วเติมสมุนไพรมากมายลงไป เมื่อเย่เสวียนถิงที่ถูกซูชิงอู่บังคับให้เข้ามาในห้องได้เห็นถังอาบน้ำที่ยังอุ่น ๆ เขาก็ตะลึงงันอยู่บ้าง "อาอู่ เจ้าคิดจะทำอาหารหรือ?" มีสมุนไพรผสมเข้าด้วยกันอยู่ในถังอาบน้ำมากมายเหลือเกิน บางอย่างถึงกับลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ชวนให้แลดูเหมือนน้ำแกงหม้อหนึ่งจริง ๆ ซูชิงอู่ปาดเหงื่อออกจากหน้าผากแล้วให้รู้สึกขบขันกับวาจาที่เย่เสวียนถิงเพิ่งจะกล่าวออกมา "จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? ท่านอ๋อง ท่านมิใช่อาหารสักหน่อย" เย่เสวียนถิงเข้าใจแล้วว ซูชิงอู่คิดจะให้เขาลงไปในนั้น เขาเม้มปากแน่นและกล้ามเนื้อเครียดเกร็งไปทั่วทั้งร่าง จากนั้นเขาก็มองถังของเหลวสีดำมืดแล้วริมฝีปากของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวเล็กน้อย แม้แต่อ๋องเสวียนที่เคยชินกับเหตุการณ์ครั้งใหญ่ ยามนี้ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่บ้าง "อาอู่ เจ้าคิดจะทำอันใดกัน?" ซูชิงอู่ตอบเสียงเรียบนิ่งว่า "ข้าเตรียมถังสมุนไพรเพื่อให้ท่านอ๋องเสริมกำลังกายรวมทั้งชำระล้างกระดูกและไขกระดูก ข้าจะเตรียมถังสมุนไพรให้ท่านทุกวันเอง" เมื่อนางพูดจ
ซูชิงอู่เลิกคิ้วพลางขมวดเรียวคิ้วงามประดุจภาพวาดเล็กน้อย "จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?" เย่เสวียนถิงรู้สึกตกใจอยู่บ้าง จากนั้นเขาก็ได้ยินซูชิงอู่กล่าว "เสวียนถิง ข้ายินดีทำเรื่องพวกนี้เพื่อท่านนะ สำหรับข้าแล้ว เรื่องของท่านหาใช่เรื่องเล็กน้อยไม่!" ยิ่งไปกว่านั้น บ่าวรับใช้พวกนั้นจะบังอาจแตะต้องท่านอ๋องของนางได้อย่างไรกัน? ซูชิงอู่เงยหน้ามองเย่เสวียนถิงด้วยสายตาเร่าร้อน จากนั้นก็สบตาเย่เสวียนถิง ราวกับว่าเย่เสวียนถิงถูกสายตาของนางแผดเผา เขาจึงหลุบตาลงและมิได้ปฏิเสธอีก ซูชิงอู่ลอกแผ่นยาออกจากปลีน่องของเย่เสวียนถิง จากนั้นก็ยกอ่างน้ำมาแล้วใช้มือช่วยล้างเศษตกค้างบนผิวของเขา บริเวณปลีน่องที่พอกยาขี้ผึ้งเอาไว้ ผิวจึงซีดขาวและไวต่อสัมผัสมากกว่า นิ้วมือของซูชิงอู่ค่อย ๆ ล้างผิวหนังบริเวณขาของเขา จากนั้นความรู้สึกคันคะเยอก็ทำให้หูและลำคอของเย่เสวียนถิงกลับกลายเป็นแดงก่ำ เขากำหมัดเอาไว้แน่นเพื่อมิให้เผยความอุธัจของตนเองออกมา ทว่าเรื่องยังไม่จบสิ้น หลังจากซูชิงอู่ช่วยล้างยาที่อยู่บนขาออกไปแล้ว นางก็เงยหน้าพลางหรี่ตาเล็กน้อย น้ำเสียงของนางอ่อนโยนราวกับสายน้ำ "ท่านอ๋อง ตอนนี
ซูชิงอู่ถูกกอดรัดเอาไว้แน่นเสียจนแทบหายใจไม่ออก แต่นางก็หาได้มีโทสะ ทว่ากลับตบหลังของเย่เสวียนถิงด้วยท่าทีปลอบโยน "ท่านอ๋อง ถ้าหากพวกเราไม่รีบ น้ำในถังก็จะเย็นหมดแล้วนะ" เย่เสวียนถิงหน้าอกกระเพื่อมเล็กน้อย เขาปล่อยบั้นเอวของซูชิงอู่ จากนั้นก็ยกมือขึ้นเพื่อลากไปตามเรียวคิ้วของนาง ยามนี้หัวใจของเขาท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง ข้อกังขาทั้งมวลเมื่อก่อนหน้านี้ล้วนสลายไปจนสิ้น สายตายามที่เย่เสวียนถิงมองซูชิงอู่กลับแลดูมุ่งมั่นและตั้งใจจริง คราวนี้เขาพยักหน้าโดยแทบมิได้ลังเลใจสักนิด "ได้สิ เพียงแต่ว่า..." เขาก้มหน้ามองบางอย่างใต้ชุดคลุมที่ออกจะผิดปกติไปบ้าง จากนั้นแก้มของเขาก็พลันรู้สึกร้อนซู่แล้วเบือนหน้าหนีด้วยความประหม่า "ข้าทำเองได้ จะ...เจ้าออกไปก่อนเถอะ" ซูชิงอู่อดมิได้ที่จะยิ้มออกมา "ข้าไปมิได้หรอก อย่างไรเสียเมื่อท่านอ๋องแช่ถังสมุนไพรแล้ว ท่านยังต้องฝังเข็มเพื่อกระตุ้นให้ตัวยาดูดซึมด้วย เร็วเข้าเถอะ..." เย่เสวียนถิงรู้สึกว่ามีมือคู่หนึ่งสัมผัสแตะต้องเขา จากนั้นก็ถอดอาภรณ์ชั้นในของเขาออก เขาตัวแข็งทื่อและยังคงหันหลังให้ซูชิงอู่ ต่อให้ทั้งสองคนจะแต่งงานกัน
… "พระชายา ได้เวลาแต่งตัวแล้วเจ้าค่ะ" ยามเที่ยงวันถัดมา นางรับใช้ตัวน้อยทั้งสองคนก็มาเคาะประตู "เข้ามาได้……" น้ำเสียงแหบแห้งที่ฉายแววเกียจคร้านอยู่บ้างของซูชิงอู่ดังขึ้นมาจากในห้อง เห็นได้ชัดว่าใช้เสียงมากเกินไป นางรับใช้ตัวน้อยทั้งสองคนสบตากันแล้วแก้มแดงก่ำ แม้แต่ยามที่เดินเข้าประตูมา พวกนางก็มิกล้าเงยหน้ามองมาที่ซูชิงอู่ ซูชิงอู่ฝืนลุกขึ้นนั่ง ถึงแม้ว่าร่างกายจะรู้สึกสดชื่นขึ้นแล้ว ทว่าความเจ็บปวดและอ่อนเพลียก็ทำให้นางต้องขมวดคิ้ว นางกุมหน้าผากแล้วนวดคิ้ว มีบางอย่างไม่ถูกต้อง เมื่อครั้งอดีตชาติ เย่เสวียนถิงไม่เคยทำตัวเช่นนี้! อย่างไรเสียทั้งสองคนก็เป็นสามีภรรยากัน ต่อให้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเหินห่างกัน ทว่าพวกเขาก็แนบชิดกันอยู่หลายครั้งหลายครา แต่เย่เสวียนถิงก็เอาแต่สงวนท่าทีจนนางคิดว่าบุรุษผู้นี้ไร้ความรู้สึกในเรื่องนั้น... เมื่อเดือนก่อน เย่เสวียนถิงเองก็ฝึกการอดกลั้นและควบคุมตนเอง ส่วนนางก็รู้สึกว่าตนเองสามารถรับมือได้อย่างดีเยี่ยม แต่เมื่อคืนเขาแทบมิต่างอันใดจากพยัคฆ์และสุนัขป่า ถ้านางหาได้มีร่างกายแข็งแรงก็คงจะตายคาเตียงไปแล้ว นางคร้านจะใส่ใจแล้ว! ยาม