เย่ชิวหมิงจึงยกมือขึ้นแล้วกดลงไป ชั่วครู่ถัดมา เขาก็ล้มลงพื้นพร้อมบิดตัวด้วยความเจ็บปวด "อึก……" ความเจ็บปวดรุนแรงทำให้เขาถึงกับร้องไม่ออกไปชั่วขณะ มีเพียงแค่เสียงคำรามต่ำ ๆ ดังออกมาจากลำคอ ทั้งหน้าผากและแผ่นหลังของเขาพลันชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อกาฬ ราวกับว่าเย่ชิวหมิงกำลังหายใจไม่ออกจนต้องกุมหน้าอกแล้วหอบหายใจแรง ๆ ความรู้สึกหวาดกลัวที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาท่วมท้นจิตใจของเขา จากนั้นเย่ชิวหมิงก็อดมิได้ที่จะเงยหน้ามองซูชิงอู่ ซูชิงอู่จึงยิ้มเยาะพลางถามวว่า "เป็นอย่างไรบ้างเพคะ น่าตื่นเต้นใช่หรือไม่?" เมื่อเย่ชิวหมิงรู้สึกว่าความเจ็บปวดทุเลาลงแล้ว เขาก็ลุกขึ้นจากพื้นด้วยท่าทีมืออ่อนเท้าอ่อน อาภรณ์ที่อยู่บนร่างเกิดรับย่นขึ้นมาเสียแล้ว ทว่ายามนี้สีหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยหวาดกลัวและหาได้สนใจเรื่องรูปลักษณ์อีกต่อไปแล้ว เย่ชิวหมิงรีบเอ่ยถามขึ้นมาทันทีว่า "ซูชิงอู่ ในเมื่อเจ้ามีวิธีเช่นนั้นอยู่ เจ้าก็น่าจะสามารถควบคุมชีวิตของทุกคนได้ไม่ยากเย็น ไยเจ้าต้องเลือกข้าด้วยเล่า?" เขารู้สึกสับสนและแค้นใจอยู่บ้าง ความรู้สึกของการที่ความเป็นความตายตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้ใดสักคนหาใช่เรื่
"พระชายา ท่านอ๋องกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!" ยามที่ซูชิงอู่รำลึกถึงอดีตอยู่นั้น จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกขานของบ่าวรับใช้ที่อยู่นอกประตู รอยยิ้มบนใบหน้าพลันแข็งทื่อไปทันที ซูชิงอู่รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่นางกลับขาอ่อนจนเกือบล้มลงกับพื้น "พระชายา!" อวิ๋นจื่อกับอวิ๋นชิงรู้สึกตกใจแล้วรีบเข้าไปหมายจะช่วยนาง แต่กลับโดนซูชิงอู่ผลักออกไป นางเอ่ยด้วยท่าทีร้อนรนกังวลใจว่า "พวกเจ้าสองคนบอกท่านอ๋องว่าข้ายังนอนหลับอยู่ ห้ามมิให้มารบกวนข้า!" นางรู้สึกหวาดกลัวจริง ๆ! เรื่องเมื่อคืนเกือบจะทิ้งเงามืดเอาไว้ให้ซูชิงอู่แล้ว! นางยกกระโปรงแล้ววิ่งผ่านประตูข้าง ทิ้งไว้เพียงประตูโถงรับรองแขกเอาไว้เบื้องหลัง เมื่อเย่เสวียนถิงเปิดประตูโถงรับรองแขกที่อยู่เบื้องหลังของนาง เงาร่างสูงเพรียวของบุรุษผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้น อวิ๋นจื่อกับอวิ๋นชิงจึงรีบเข้ามาโค้งคำนับและแสดงความคารวะ "ท่านอ๋อง!" เย่เสวียนถิงเอ่ยถามว่า "พระชายาอยู่ที่ไหนกัน?" หลังจากเขากลับมาก็รีบไปหาซูชิงอู่ที่ห้องนอนใหญ่พร้อมกับซื้อขนมซิ่งเหรินของโปรดของนางมาให้ด้วย แต่เขากลับไม่พบนาง ทันทีที่เขาได้ยินจากบ่าวรับใช้ของตนบอกว่าซูชิงอู่
เย่เสวียนถิงยิ้มจาง ๆ พลางกล่าวว่า "เขาถูกโบยห้าสิบไม้และถูกกักบริเวณสามเดือน" ซูชิงอู่พยักหน้า นางคาดเดาเกือบถูกต้องแล้ว "เขาเป็นโอรสของฮองเฮา ทั้งยังมีตระกูลมู่หรงคอยหนุนหลังอยู่ ถ้ามิใช่เพราะเจียวกุ้ยเฟยสอดเข้ามายุ่ง เขาก็น่าจะมิถูกโบยห้าสิบไม้" เย่เสวียนถิงหลุบตาลง "ไม่หรอก" ซูชิงอู่เลิกคิ้ว "ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน?" เมื่อเย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้น ดวงเนตรสีดำสนิทราวกับสระน้ำเย็นของเขาก็มิอาจมองเห็นประกายแสงใด ๆ "ข้าจะหักขาของเขาอีกข้าง" ระหว่างที่กำลังกินขนมอยู่นั้น ซูชิงอู่ก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ เมื่อเห็นสีหน้าของเย่เสวียนถิงกลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว นางก็รู้สึกว่าเมื่อสักครู่ตนคงจะเข้าใจผิด ในใจของนางแล้ว ท่านอ๋องมีอุปนิสัยเด็ดเดี่ยวและเที่ยงธรรม มิหนำซ้ำยังมีจิตใจเมตตาธรรม เขาจะทำเรื่องต่ำช้าอย่างการลักพาตัวคนกลางดึกได้อย่างไรกันเล่า? ซูชิงอู่ส่ายหน้าพลางหรี่ตาด้วยท่าทีพึงพอใจพร้อมเพลิดเพลินไปกับขนม เย่เสวียนถิงรินน้ำชาให้นาง "ค่อย ๆ กิน ระวังสำลักเข้าล่ะ" ซูชิงอู่เชิดคางเล็กน้อยพลางมองเสี้ยวหน้าหล่อเหลาของเขาแล้วยิ้มอ่อนโยน นางคิดว่าหากตอนนี้หยุดเวลาลงได้ก็คง
แคว้นหนานเย่ให้ความสำคัญกับความกตัญญู ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง ซูชิงอู่กับอัครเสนาบดีจะร้าวฉานสักเพียงใด แต่นางก็ยังต้องรักษาหน้าตาเอาไว้ เย่เสวียนถิงย่อมเข้าใจความจริงข้อนี้ ฉะนั้นเขาจึงให้หน้าแก่ซูชิงอู่ ซูชิงอู่เดินเคียงเย่เสวียนถิงพลางกุมมือเขาไว้เบา ๆ ทันทีที่อัครเสนาบดีซูเห็นนาง เขาก็อดมิได้ที่จะเส้นโลหิตบนหน้าผากเต้นดังตุบ ๆ ผ่านไปเพียงแค่เดือนกว่านับตั้งแต่เกิดเรื่อง ยามนี้โทสะในใจที่แต่เดิมสลายไปแล้วกลับปะทุขึ้นมาอีกครั้ง "การที่พระชายามาเยี่ยมเยือนโดยมิได้คำนึงถึงความแค้นเมื่อครั้งเก่าก่อน ชวนให้กระหม่อมซาบซึ้งใจยิ่งนัก" อัครเสนาบดีซูช่างเจ้าคารมคมคายยิ่งนัก เขามักจะเตือนให้ซูชิงอู่สำเหนียกตนเองอยู่เสมอ เย่เสวียนถิงจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชาว่า "เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ" เขาพาซูชิงอู่กลับเข้าไปในจวนอัครเสนาบดีอีกครั้ง บ่าวรับใช้ทั้งสองข้างทางต่างแสดงคำนับ แม้แต่หลิงซื่อเองก็ยังก้มหน้าด้วยท่าทีนอบน้อมและมิกล้าผลีผลามเอ่ยวาจาใดออกไป ตลอดทางที่เดินมาถึงเรือนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังพักฟื้น ซูชิงอู่ก็เห็นพี่ชายทั้งสามคนมาเช่นกัน พี่ใหญ่ซูหัวจิ่นสีหน้าเคร่งขรึมอย่างเห็
เมื่อซูชิงอู่ได้ยินคำว่าโอสถรักษาชีวิต นางก็เข้าใจทันที นางหันหน้าไปมองอัครเสนาบดีซูแล้วพลันเอ่ยถามขึ้นมาทันที "ท่านเล่าเรื่องนี้ให้หลิงซื่อฟังกระนั้นหรือ?" "เจ้าเรียกมารดาตนเองด้วยชื่อนางได้อย่างไรกัน?" ซูชิงอู่หรี่ตา ต่อให้เขาไม่ตอบ ทว่านางก็รู้คำตอบแล้ว นางมองมาที่บรรดาพี่ชายของตนเองอีกครั้ง ในที่สุดนางก็ทอดสายตามองมาที่ซูหัวจิ่น ซูหัวจิ่นมีอุปนิสัยสุขุมรอบคอบและมีอนาคตไกลที่สุดในตระกูลเลยก็ว่าได้ เขาประสบความสำเร็จในเส้นทางขุนนางตั้งแต่อายุยังน้อย และนับได้ว่าเป็นผู้ที่คล้ายกับอัครเสนาบดีซูมากที่สุด เพราะฉะนั้นภายในอุปนิสัยเถรตรงจึงมีความไม่กล้าคิดตัดสินใจอยู่ด้วย "พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าข้าควรจะมอบโอสถนี้ให้ท่านย่าหรือไม่เจ้าคะ?" เห็นได้ชัดว่านางกำลังลองใจอยู่ ซูชิงอู่เชื่อว่าเธอได้พยายามช่วยชีวิตพี่ใหญ่ของนางในลานล่าสัตว์อย่างสุดความสามารถแล้ว ซูหัวจิ่นเม้มปาก ทว่ากลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้นมาว่า "นั่นเป็นสิ่งที่ท่านแม่มอบให้แก่เจ้า หามีผู้ใดสั่งให้เจ้ามอบให้ผู้อื่นได้ไม่" ซูเชียนหมิงเองก็พลันยืนอยู่ตรงหน้าซูชิงอู่ เขาอ้าปากร้องตะโกนใส่อัครเสนาบดีซูขึ้นม
"ท่านอัครเสนาบดี!" หลิงซื่อพลันดวงตาเบิกกว้างแล้วมองอัครเสนาบดีซูด้วยความเหลือเชื่อ ความไม่ยินยอมพร้อมใจจวนเจียนจะพรั่งพรูออกมาอยู่รอมร่อ ทว่าอัครเสนาบดีซูกลับกดไหล่นางเอาไว้ "ชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่ากำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย ต่อให้เจ้ายอมก้มหัวลง แต่จะแตกต่างอันใดกระนั้นหรือ?" หลิงซื่อโมโหเสียจนหน้าตาแดงก่ำและทรวงอกกระเพื่อมรุนแรง ทว่าเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าซูชิงอู่เกิดต่อต้านขึ้นมาและมิยอมมอบโอสถให้ หลิงซื่อก็จะได้ชื่อว่าอกตัญญู พาลให้ชื่อเสียงต้องมัวหมองไปทั่วทั้งเมืองหลวง! แต่ซูชิงอู่กลับหาได้เอ่ยเช่นนั้นไม่ แค่ขอร้องให้นางมอบโอสถล้ำค่าออกมาก็ทำมิได้หรือ? นางก็เพียงแต่อยากได้คำขอโทษจากบิดาของนางกับหลิงซื่อ ถ้าหากอัครเสนาบดีซูกับหลิงซื่อมิได้ฉวยโอกาสเช่นนี้ นางก็จะถอยหลังก้าวใหญ่และยินดีมอบโอสถให้พวกเขาอีกต่างหาก ทว่านางเปลี่ยนใจและชักโอสถกลับคืนมา ดูท่าพวกเขาคงต้องเป็นคนอกตัญญูเสียแล้ว ดังนั้นหลิงซื่อจึงได้แต่ทนรับความอัปยศอดสูแล้วคุกเข้าลงกับพื้น "ข้าผิดไปแล้ว ข้ามิควรจะเอาสิ่งใดไปจากฮูหยินผู้ล่วงลับ พระชายา ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย..." ซูชิงอู่มองดูอีกฝ่าย ทว
ซูฉางเซิง "..." หลังจากรอคอยอยู่เป็นนาน ซูฉางเซิงก็ได้คำตอบ "เช่นนั้น...ถ้าหากท่านย่ากินเข้าไป..." ซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ "ยังไม่ถึงกับหมดหวังไปเสียทีเดียวหรอก ถ้ากินเข้าไปก็อาจจะเกิดอาการพิษต้านพิษก็ได้" ซูฉางเซิงรู้สึกว่าคำพูดของซูชิงอู่ฟังดูสมเหตุสมผลอย่างน่าประหลาด ทันใดนั้นซูชิงอู่ก็พลันยกยิ้มมุมปาก "ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอ๋องก็อยู่ที่นี่ด้วย ต่อให้พวกเขารู้ ผู้ใดจะกล้าลงไม้ลงมือกับข้าเล่า?" สายตาของซูฉางเซิงทอดมองอ๋องเสวียนที่มีสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็กระตุกมุมปาก เกรงว่าต่อให้ระดมยอดฝีมือจากแคว้นหนานเย่มาที่นี่ พวกเขาก็คงมิอาจต่อกรกับคนผู้นี้ เขาตบไหล่ของซูชิงอู่ "พอเจ้ามีคนคอยหนุนหลังก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว" ซูชิงอู่ยิ้มโดยมิได้กล่าวสิ่งใด ซูเชียนหลิงตามท่านหมอเดินผ่านประตูเข้าไป นางยื่นมือออกมาหาท่านหมอ "มอบโอสถรักษาชีวิตมาให้ข้าเสีย" ท่านหมอรีบยื่นขวดโอสถให้พร้อมรอยยิ้มประจบประแจง "คุณหนูใหญ่ ได้โปรดอย่าลืมดอกผลของข้าน้อยเชียวนะขอรับ" ซูเชียนหลิงกลอกตาใส่เขาแล้วคว้าเอาขวดโอสถไป "ข้าไม่ลืมหรอกน่า เมื่อข้าอภิเษกกับองค์ชายสามก็จะกลายเป็นพระชายารัชทายาทและฮองเ
ซูชิงอู่สังเกตสีหน้าของอัครเสนาบดีซู นางหาได้มีความรู้สึกให้บิดาผู้นี้แม้แต่น้อย นี่ก็เพื่อจะได้จัดการกับหลิงซื่อและซูเชียนหลิงโดยมิต้องเปลืองแรง อย่างไรเสียนางก็ชอบนั่งชมดูการแสดงจากด้านข้างมากกว่าจะลงมือด้วยตนเอง อัครเสนาบดีซูรู้สึกว่าคำพูดของซูชิงอู่ฟังดูมีเหตุผล ดังนั้นเขาจึงผ่อนท่าทีลงแล้วถามว่า "อาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดก็เป็นได้ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พ่อฟังเถอะ พ่อย่อมต้องให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าแน่" ซูชิงอู่เลิกคิ้ว "ช่างเถิดเจ้าค่ะ ต่อให้ข้าเล่าให้ท่านพ่อฟัง ท่านก็คงมิเชื่อข้าหรอก พรุ่งนี้ประมาณยามจื่อ ท่านไปดูที่สวนผูเถา[1]ที่ถูกทิ้งร้างอยู่ท้ายจวนเอาเองเถิด" ซูชิงอู่มิได้บอกเขาว่านางอยากให้เขาเห็นสิ่งใด ทั้งยังเจตนาเก็บเป็นความลับอีกต่างหาก ทว่ากลับทำให้อัครเสนาบดีซูสงสัยถึงขีดสุด ซูชิงอู่กับเย่เสวียนถิงมิได้อยู่ที่นี่ต่อ พวกเขากล่าวร่ำลาสามพี่น้องแล้วขึ้นรถม้ากลับตำหนักไป ราตรีนั้นขวดโอสถที่ซูเชียนหลิงได้มาถูกส่งมาที่ตำหนักองค์ชายสามที่อยู่นอกวังหลวง เขาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักและมิได้รับอนุญาตให้ออกจากตำหนักมาสามเดือนแล้ว ทั้งยังห้ามมิให้ผู้ใดมาเยี่ยมเขาอีกต่า
ชายบนหลังม้าตัวสูงและผิวที่เปลือยเปล่าของเขามีสีเข้มเล็กน้อย ใบหน้าของเขาคมคายและดวงตาที่เฉียบแหลม“เคยบอกว่ามีคนในเมืองหลวงเห็นเย่เสวียนถิงด้วยตาของพวกเขาเองไม่ใช่หรือ?”เหยียนจั๋วพูดเสียงเย็นและหลุบตาลงเล็กน้อย“ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ...”“หากข่าวที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริง ตอนนี้ก็ว่าเป็นสถานการณ์จั๊กจั่นลอกคราบ ประการแรกคือเย่เสวียนถิงทั้งสองมีหนึ่งคนที่เป็นตัวปลอม ประการที่สองคือข่าวที่พวกเจ้าได้รับมาเป็นข่าวปลอม!”“เรียนท่านแม่ทัพ ข่าวนี้เป็นความจริงอย่างแน่นอนขอรับ!”เหยียนจั๋วพยักหน้าเบา ๆ เขาเข้าใจความจริงของเรื่องนี้แล้วเขาเงยหน้ามองไปยังประตูชายแดน ขณะที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองทหารนับหมื่น ม่านตาของเขาหดตัวลงด้านหลังก็มีราชรถถูกลากออกมา และม่านก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างของบุคคลที่อยู่ข้างในองค์รัชทายาทแห่งแคว้นอู๋ตะวันตก สวมเครื่องแบบราชสำนักสีเหลืองสว่างขององค์รัชทายาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงตัวตนของเขา เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างมาก มีรูปร่างผอมเพรียวและผิวค่อนข้างซีดเหยียนจั๋วได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวที่อยู่ข้าง ๆ จึงหันกลับมาทันทีและทำความเคารพอย่างนอบน้อม “องค์รัชทายา
คนผู้นั้นถูกทุบตีจนจมูกช้ำ ใบหน้าบวม เขารู้สึกเสียใจมากคนของเขาเห็นอย่างชัดเจนว่าท่านอ๋องอยู่ที่นี่...ขณะนั้นเอง ทหารผู้นั้นก็ได้ยินเสียงแตรดังมาจากด้านนอกนั่นคือการแจ้งเตือนในค่ายทหารว่ามีการบุกโจมตีจากศัตรู!บรรดารองแม่ทัพที่เพิ่งเดินออกไปไม่นานก็แสดงสีหน้าหวาดกลัว และรีบไปที่ค่ายด้วยความตื่นตระหนก พยายามเปลี่ยนเสื้อผ้าและหยิบอาวุธให้เร็วที่สุดเมื่อพวกเขาออกมา เซียวเฝิงได้รวบรวมทหารทั้งหมดรออยู่ก่อนแล้วพลางมองผู้มาทีหลังด้วยสายตาเย็นชาแต่เขาไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะในการฝึกช่วงนี้ ผู้ใต้บังคับบัญชาของรองแม่ทัพเหล่านั้นคุ้นเคยกับการฟังคำสั่งของเขาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงมารวมตัวกันที่นี่ตั้งแต่แรก“เมื่อครู่หน่วยสอดแนมเพิ่งมารายงานว่ากองทัพใหญ่แคว้นอู๋ตะวันตกกำลังใกล้เข้ามา ตอนนี้พวกเขายังอยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยลี้ ทุกคนจงตามข้ามาเพื่อเตรียมการป้องกัน!”ท่านอ๋องยังไม่กลับมา ดังนั้นจึงไม่ควรออกไปล้างบางตอนนี้ ปราการเจิ้นเป่ยเป็นสถานที่อันตรายที่ป้องกันได้ง่าย แต่โจมตีได้ยาก ท้ายที่สุดแล้ว การโจมตีนั้นยากกว่าการป้องกัน“ท่านแม่ทัพเซียว ทราบหรือไม่ว่าคนเหล่านั้นคือใคร?”เซียวเฝิง
เย่เสวียนถิงตัวแข็งทื่อทันทีม้าของเขาเดินหมุนเป็นวงกลม สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความลังเลอย่างชัดเจนซูชิงอู่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่และพูดว่า "ข้าสัญญากับท่านว่าจะไม่ไปสถานที่อันตราย"เย่เสวียนถิงถอนหายใจ "ค่ายทหารไม่มีกฎให้สตรีเข้าร่วม"ซูชิงอู่ยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น "ถ้าอย่างนั้น ข้าจะปลอมตัวเป็นบุรุษ"เย่เสวียนถิง "..."เมื่อนึกถึงทักษะการปลอมตัวอันยอดเยี่ยมของซูชิงอู่ เย่เสวียนถิงก็ลังเลขึ้นมาอีกครั้งด้วยความสามารถของนาง คงไม่มีใครสามารถจับได้ว่านางปลอมตัวเป็นบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นการปลอมตัวหรือเปลี่ยนเสียง นางก็ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบเย่เสวียนถิงเห็นความกระตือรือร้นในดวงตาของซูชิงอู่ พลางถอนหายใจเล็กน้อย จากนั้นก็มองนางอย่างจนใจและพูดว่า "ก็ได้ แต่เจ้ารับปากข้ามาก่อนว่าจะไม่ปล่อยให้ตัวเองบาดเจ็บ"ทันใดนั้นดวงตาของซูชิงอู่ก็ส่องประกาย "ท่านอ๋อง ไปกันเถอะ"นี่เป็นครั้งแรกที่ซูชิงอู่ไปที่ชายแดนชาติก่อนนางวางตัวเป็นกุลสตรี จึงแทบไม่ได้ออกจากเมืองหลวงเลยผู้คนนับหมื่นในเมืองฉี ก่อนหน้านี้ถูกพวกเขาพาไปอยู่เมืองอื่น และเมื่อเย่เสวียนถิงจากมาก็พาพวกเขามาด้วยอย่างน้อยผู้คนมา
นางออกมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ พ่อแม่ของนางเสียชีวิตด้วยน้ำมือของคนเหล่านั้น และนางต้องการแก้แค้นเย่เสวียนถิงเหลือบมองนาง จากนั้นก็พยักหน้าเบา ๆ“อาอู่ อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวคนเดียว ไว้รอข้ากลับมาก่อน”ตราบใดที่เขายังอยู่ใกล้ แคว้นอู๋ตะวันตกก็จะพ่ายแพ้อย่างแน่นอนเพียงแต่ยังไม่ทราบว่าสงครามนี้จะกินเวลานานเท่าใดเย่เสวียนถิงได้ปรากฏตัวต่อหน้าฝ่าบาท ข่าวการกลับมาของเขาต้องแพร่กระจายออกไปแน่ สิ่งที่เขาต้องทำคือเคลื่อนไหวให้เร็วกว่าคนส่งข่าวเหล่านั้นซูชิงอู่ที่เห็นว่าเขาเปิดเผยใบหน้า นางก็รู้ได้ว่าเขากำลังจะจากไปตอนนี้ปัญหาของตระกูลเจียวได้รับการแก้ไขแล้ว ไม่มีอุปสรรคในราชสำนัก และนางไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่ชายของนางและคนอื่น ๆ อีกต่อไปเย่ชิวหมิงจะนำกองทหารที่เหลืออยู่ในเมืองหลวงตามล่าตระกูลเจียวที่เหลือ และนางก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซงแล้ว“เสวียนถิง ท่านจะออกเดินทางวันนี้ใช่หรือไม่?”เย่เสวียนถิงพยักหน้าเขาเหลือบมองลูกชายอีกสองคนแล้วเดินไป แม้เขาจะไม่ได้กอดพวกเขา แต่อย่างน้อยก็ลูบหัวพวกเขาลูกชายคนโตเหมือนเขามากกว่าใบหน้าเล็ก ๆ ที่อ้วนท้วนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแ
เย่เสวียนถิงออกบ้านมานานถึงเพียงนี้ ทำได้แค่คอยไปแอบมองเด็ก ๆ ลับหลังเท่านั้น และไม่เคยแม้แต่จะเข้าไปอยู่ใกล้เด็ก ๆ เลยคราวนี้เขาถอดหน้ากากออกเพื่อเปิดเผยตัวตน ซึ่งทำให้หลายคนในห้องตกใจอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงก้าวไปมองเย่เสวียนถิงด้วยสีหน้าตกใจซูชิงอู่เห็นเขายืนอยู่ข้างเตียงด้วยความระมัดระวัง และเห็นสายตาท่าทางของเขาที่กำลังจับจ้องไปเด็ก ๆ นางจึงยื่นตัวเจ้าหนูคนเล็กส่งให้อีกฝ่าย“มาสิ อุ้มลูกสาวท่านหน่อย”เด็กหญิงตัวเล็กผู้มีพี่ชายสองคนที่เกิดในเดือนเดียวกันหลังจากการเปลี่ยนแปลงภายในไม่กี่เดือน จากรูปร่างที่เล็กและบอบบางในตอนแรก นางก็กลายเป็นตุ๊กตากระเบื้องที่แกะสลักด้วยหยกสีชมพูลักษณะหน้าตาของนางเหมือนซูชิงอู่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัดดวงตาที่คล้ายองุ่นสีดำคู่นั้นงดงามราวกับอัญมณีที่บริสุทธิ์ที่สุดในใต้หล้าเย่เสวียนถิงรู้ดีอยู่แล้วเกี่ยวกับสถานการณ์ของเจ้าหนูคนเล็ก และใจของเขาก็ห่อเหี่ยวทันทีเมื่อเขานึกถึงการที่ซูชิงอู่เกือบจะประสบเหตุตอนที่นางให้กำเนิดเด็กคนนี้เขาแตะปลายจมูกของเจ้าหนูคนเล็กอย่างระมัดระวังสัมผัสที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อนทำให้หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่น“ฮัดชิ่ว
เย่เสวียนถิงไม่ได้อธิบายอะไรมาก แต่ยังไว้ซึ่งท่าทีเคารพนอบน้อม “เสด็จแม่ทรงไม่ต้องกังวลพ่ะย่ะค่ะ”“แม่จะไม่กังวลได้อย่างไร”ซูไทเฮาตอบกลับ แต่นางก็รู้เช่นกันว่านางทำอะไรไม่ได้ “ตอนนี้เจ้ากลับมาเช่นนี้ หลายคนก็น่าจะเห็นแล้ว เจ้าไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นหากทางชายแดนได้รับข่าวหรือ?”เย่เสวียนถิงพยักหน้าเบา ๆ "กลับมาคราวนี้ ประการแรกก็เพื่อความปลอดภัยของอาอู่ และประการที่สอง เพื่อล่องูออกจากรูและจู่โจมโดยไม่ให้ตั้งตัว ไม่สำคัญว่ากระหม่อมจะอยู่ที่ชายแดนหรือไม่ ขอเพียงกระหม่อมปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะสมก็พอพ่ะย่ะค่ะ”ซูไทเฮาตกตะลึง “ช่างเถอะ ข้าก็ค่อยไม่เข้าใจกลยุทธ์ในสนามรบของพวกเจ้านัก ขอเพียงพวกเจ้าทุกคนปลอดภัย ก็ดียิ่งกว่าสิ่งอื่นใดแล้ว"ซูไทเฮายังไม่รู้ว่าเจียวกุ้ยเฟยทำอะไรลงไป เมื่อซูชิงอู่ตามเข้าไปข้างใน นางก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนและหลังให้ซูไทเฮาฟังเมื่อซูไทเฮาได้ยินว่าเจียวกุ้ยเฟยแอบพาสตรีนางหนึ่งที่กำลังตั้งครรภ์ออกจากพระราชวัง และซ่อนนางไว้ในสำนักสงฆ์ฮุ่ยชิง ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด“หรือที่ตระกูลเจียวทำเช่นนี้เพราะต้องการก่อกบฏ?”ซู
ทหารม้าของตระกูลหลิ่วและเมืองฉีต่างหิวโหย พวกเขาเร่งฝีเท้าตามมาทันที เพื่อเตรียมหาสถานที่พักฟื้นเมื่อเย่ชิวหมิงเห็นภาพนี้ นิ้วมือของเขาที่ปล่อยอยู่ข้างลำตัวก็กระชับขึ้นเล็กน้อยเขามองลงไปที่พื้น “ศพทั้งหมดในสำนักสงฆ์ฮุ่ยชิงถูกกำจัดไปแล้วหรือยัง?"“ทูลฝ่าบาท จัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทุกศพถูกรวมไว้ด้วยกันและให้คนนำไปฝังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”คนที่ส่งข่าวหยุดชะงักและถามว่า “มีอยู่หนึ่งศพที่กระหม่อมและคนอื่น ๆ ไม่สามารถตัดสินใจได้ ขอฝ่าบาทโปรดทรงช่วยตัดสินใจด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ศพหนึ่งถูกลากมาศพมีเลือดออกจากทุกช่องทวาร และมีคราบเลือดทั่วร่างกายขุนนางชันสูตรศพผู้หนึ่งก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบศพแล้วจึงรายงานด้วยเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท สตรีนางนี้ตั้งครรภ์ได้เกือบสามเดือนแล้ว และนางก็สวมหน้ากากหนังมนุษย์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ขณะที่ขุนนางชันสูตรพูด เขาก็ถอดหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าของอีกฝ่ายออกอย่างระมัดระวัง และเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางนางเป็นสตรีที่มีรูปร่างหน้าตาค่อนข้างงดงามเพียงแต่ว่าสภาพการตายของนางในเวลานี้ช่างน่าสังเวชอย่างยิ่ง สีหน้าของนางบิดเบี้ยว ริมฝีปากสีแดงของนางกลายเป็นสีดำ แ
ความรู้สึกนี้ว่างเปล่าเล็กน้อย และซูชิงอู่ก็รีบเดินออกจากประตูบ้านทันทีและมองออกไปข้างนอกเมื่อมองที่นี่ในเวลากลางวัน ทิวทัศน์ก็งดงามเป็นพิเศษไม่ง่ายเลยที่จะหาสถานที่เช่นนี้ในเขตชานเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงได้นางรีบวิ่งออกไป ไม่ไกลนัก นางเห็นเย่เสวียนถิงนำม้ามาที่นี่ เขาเร่งฝีเท้าเข้ามาหานาง พลางยื่นมืออุ้มนางขึ้นหลังม้า“เสวียนถิง ไปเอาม้ามาจากไหน?”เย่เสวียนถิงพูดข้างหูของนาง “เย่ชิวหมิงให้คนส่งมาให้”เมื่อได้ยินชื่อนี้ ซูชิงอู่ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เขาน่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับสำนักชีฮุ่ยชิงอันแล้ว ไปหาเขากันเถอะ"เย่เสวียนถิงไม่ได้สวมหน้ากาก และใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างยิ่งของเขาก็ถูกเปิดเผยต่อหน้าทุกคนอย่างน่าประทับใจกองทัพเมืองฉีรู้ตัวตนของท่านอ๋องมานานแล้ว ดังนั้นสีหน้าท่าทางของพวกเขาจึงเป็นธรรมชาติมาก ทว่าเหล่าแม่ทัพและรองแม่ทัพที่ยืนอยู่ด้านหลังเย่ชิวหมิงต่างก็เบิกตากว้าง“ทะ...ท่านอ๋องเสวียน!”“เหตุใดเขาถึงอยู่ที่นี่ล่ะ?”"หากอ๋องเสวียนอยู่ในเมืองหลวง แล้วที่ชาย..."ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างด้วยความเหลือเชื่อมีเพียงเย่ชิวหมิงเท่านั้นที่พอจะคาดเดาความจริงได้แล้
ซูชิงอู่คว้าเสื้อคลุมที่เขาสวมบนตัวนางแล้วถามอย่างไม่สบายใจว่า “แล้วท่านล่ะ?"เย่เสวียนถิงหลุบสายตาลงเล็กน้อย มีแสงจันทร์สะท้อนในดวงตาของเขา "บนภูเขาไม่ปลอดภัย ข้าจะเฝ้าอยู่ข้างนอก"ซูชิงอู่ไม่ถามอะไรอีก นางเดินไปที่บ่อน้ำและถอดเสื้อผ้าของนางออกหากเย่เสวียนถิงไม่อยู่ที่นี่ นางคงไม่สามารถอาบน้ำในป่าได้ง่าย ๆเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้ ๆ ซูชิงอู่จึงรู้สึกค่อนข้างปลอดภัยหลังจากอาบน้ำเสร็จก็เห็นเสื้อผ้าวางอยู่บนฝั่งขนาดกำลังพอดีสำหรับนาง ราวกับมันถูกเตรียมไว้เพื่อนางโดยเฉพาะหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ตั้งอยู่บนไหล่เขาขนาดไม่ใหญ่นัก นอกจากบ่อน้ำพุร้อนที่อยู่ในบริเวณบ้านพักแล้ว ก็มีบ้านเพียงห้าหลังเท่านั้นบ้านที่อยู่ตรงกลางคือหลังที่ใหญ่ที่สุด ซูชิงอู่เดินเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็พบว่าข้างในบ้านตกแต่งเรียบง่ายและสะอาดสะอ้านเดินเข้าไปข้างในก็คือบ้านที่ใช้อยู่อาศัย มีเตียงขนาดใหญ่วางอยู่ตรงกลาง นอกจากตรงจุดนี้ที่ได้รับการทำความสะอาดแล้ว ส่วนอื่น ๆ ก็ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาเป็นชั้น เห็นได้ชัดว่าเย่เสวียนถิงเข้ามาทำความสะอาดให้เมื่อครู่ซูชิงอู่รู้สึกอบอุ่นใจทว่านางไม่ได้ออกปาก