เมื่อซูชิงอู่ได้ยินคำว่าโอสถรักษาชีวิต นางก็เข้าใจทันที นางหันหน้าไปมองอัครเสนาบดีซูแล้วพลันเอ่ยถามขึ้นมาทันที "ท่านเล่าเรื่องนี้ให้หลิงซื่อฟังกระนั้นหรือ?" "เจ้าเรียกมารดาตนเองด้วยชื่อนางได้อย่างไรกัน?" ซูชิงอู่หรี่ตา ต่อให้เขาไม่ตอบ ทว่านางก็รู้คำตอบแล้ว นางมองมาที่บรรดาพี่ชายของตนเองอีกครั้ง ในที่สุดนางก็ทอดสายตามองมาที่ซูหัวจิ่น ซูหัวจิ่นมีอุปนิสัยสุขุมรอบคอบและมีอนาคตไกลที่สุดในตระกูลเลยก็ว่าได้ เขาประสบความสำเร็จในเส้นทางขุนนางตั้งแต่อายุยังน้อย และนับได้ว่าเป็นผู้ที่คล้ายกับอัครเสนาบดีซูมากที่สุด เพราะฉะนั้นภายในอุปนิสัยเถรตรงจึงมีความไม่กล้าคิดตัดสินใจอยู่ด้วย "พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าข้าควรจะมอบโอสถนี้ให้ท่านย่าหรือไม่เจ้าคะ?" เห็นได้ชัดว่านางกำลังลองใจอยู่ ซูชิงอู่เชื่อว่าเธอได้พยายามช่วยชีวิตพี่ใหญ่ของนางในลานล่าสัตว์อย่างสุดความสามารถแล้ว ซูหัวจิ่นเม้มปาก ทว่ากลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้นมาว่า "นั่นเป็นสิ่งที่ท่านแม่มอบให้แก่เจ้า หามีผู้ใดสั่งให้เจ้ามอบให้ผู้อื่นได้ไม่" ซูเชียนหมิงเองก็พลันยืนอยู่ตรงหน้าซูชิงอู่ เขาอ้าปากร้องตะโกนใส่อัครเสนาบดีซูขึ้นม
"ท่านอัครเสนาบดี!" หลิงซื่อพลันดวงตาเบิกกว้างแล้วมองอัครเสนาบดีซูด้วยความเหลือเชื่อ ความไม่ยินยอมพร้อมใจจวนเจียนจะพรั่งพรูออกมาอยู่รอมร่อ ทว่าอัครเสนาบดีซูกลับกดไหล่นางเอาไว้ "ชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่ากำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย ต่อให้เจ้ายอมก้มหัวลง แต่จะแตกต่างอันใดกระนั้นหรือ?" หลิงซื่อโมโหเสียจนหน้าตาแดงก่ำและทรวงอกกระเพื่อมรุนแรง ทว่าเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าซูชิงอู่เกิดต่อต้านขึ้นมาและมิยอมมอบโอสถให้ หลิงซื่อก็จะได้ชื่อว่าอกตัญญู พาลให้ชื่อเสียงต้องมัวหมองไปทั่วทั้งเมืองหลวง! แต่ซูชิงอู่กลับหาได้เอ่ยเช่นนั้นไม่ แค่ขอร้องให้นางมอบโอสถล้ำค่าออกมาก็ทำมิได้หรือ? นางก็เพียงแต่อยากได้คำขอโทษจากบิดาของนางกับหลิงซื่อ ถ้าหากอัครเสนาบดีซูกับหลิงซื่อมิได้ฉวยโอกาสเช่นนี้ นางก็จะถอยหลังก้าวใหญ่และยินดีมอบโอสถให้พวกเขาอีกต่างหาก ทว่านางเปลี่ยนใจและชักโอสถกลับคืนมา ดูท่าพวกเขาคงต้องเป็นคนอกตัญญูเสียแล้ว ดังนั้นหลิงซื่อจึงได้แต่ทนรับความอัปยศอดสูแล้วคุกเข้าลงกับพื้น "ข้าผิดไปแล้ว ข้ามิควรจะเอาสิ่งใดไปจากฮูหยินผู้ล่วงลับ พระชายา ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย..." ซูชิงอู่มองดูอีกฝ่าย ทว
ซูฉางเซิง "..." หลังจากรอคอยอยู่เป็นนาน ซูฉางเซิงก็ได้คำตอบ "เช่นนั้น...ถ้าหากท่านย่ากินเข้าไป..." ซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ "ยังไม่ถึงกับหมดหวังไปเสียทีเดียวหรอก ถ้ากินเข้าไปก็อาจจะเกิดอาการพิษต้านพิษก็ได้" ซูฉางเซิงรู้สึกว่าคำพูดของซูชิงอู่ฟังดูสมเหตุสมผลอย่างน่าประหลาด ทันใดนั้นซูชิงอู่ก็พลันยกยิ้มมุมปาก "ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอ๋องก็อยู่ที่นี่ด้วย ต่อให้พวกเขารู้ ผู้ใดจะกล้าลงไม้ลงมือกับข้าเล่า?" สายตาของซูฉางเซิงทอดมองอ๋องเสวียนที่มีสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็กระตุกมุมปาก เกรงว่าต่อให้ระดมยอดฝีมือจากแคว้นหนานเย่มาที่นี่ พวกเขาก็คงมิอาจต่อกรกับคนผู้นี้ เขาตบไหล่ของซูชิงอู่ "พอเจ้ามีคนคอยหนุนหลังก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว" ซูชิงอู่ยิ้มโดยมิได้กล่าวสิ่งใด ซูเชียนหลิงตามท่านหมอเดินผ่านประตูเข้าไป นางยื่นมือออกมาหาท่านหมอ "มอบโอสถรักษาชีวิตมาให้ข้าเสีย" ท่านหมอรีบยื่นขวดโอสถให้พร้อมรอยยิ้มประจบประแจง "คุณหนูใหญ่ ได้โปรดอย่าลืมดอกผลของข้าน้อยเชียวนะขอรับ" ซูเชียนหลิงกลอกตาใส่เขาแล้วคว้าเอาขวดโอสถไป "ข้าไม่ลืมหรอกน่า เมื่อข้าอภิเษกกับองค์ชายสามก็จะกลายเป็นพระชายารัชทายาทและฮองเ
ซูชิงอู่สังเกตสีหน้าของอัครเสนาบดีซู นางหาได้มีความรู้สึกให้บิดาผู้นี้แม้แต่น้อย นี่ก็เพื่อจะได้จัดการกับหลิงซื่อและซูเชียนหลิงโดยมิต้องเปลืองแรง อย่างไรเสียนางก็ชอบนั่งชมดูการแสดงจากด้านข้างมากกว่าจะลงมือด้วยตนเอง อัครเสนาบดีซูรู้สึกว่าคำพูดของซูชิงอู่ฟังดูมีเหตุผล ดังนั้นเขาจึงผ่อนท่าทีลงแล้วถามว่า "อาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดก็เป็นได้ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พ่อฟังเถอะ พ่อย่อมต้องให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าแน่" ซูชิงอู่เลิกคิ้ว "ช่างเถิดเจ้าค่ะ ต่อให้ข้าเล่าให้ท่านพ่อฟัง ท่านก็คงมิเชื่อข้าหรอก พรุ่งนี้ประมาณยามจื่อ ท่านไปดูที่สวนผูเถา[1]ที่ถูกทิ้งร้างอยู่ท้ายจวนเอาเองเถิด" ซูชิงอู่มิได้บอกเขาว่านางอยากให้เขาเห็นสิ่งใด ทั้งยังเจตนาเก็บเป็นความลับอีกต่างหาก ทว่ากลับทำให้อัครเสนาบดีซูสงสัยถึงขีดสุด ซูชิงอู่กับเย่เสวียนถิงมิได้อยู่ที่นี่ต่อ พวกเขากล่าวร่ำลาสามพี่น้องแล้วขึ้นรถม้ากลับตำหนักไป ราตรีนั้นขวดโอสถที่ซูเชียนหลิงได้มาถูกส่งมาที่ตำหนักองค์ชายสามที่อยู่นอกวังหลวง เขาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักและมิได้รับอนุญาตให้ออกจากตำหนักมาสามเดือนแล้ว ทั้งยังห้ามมิให้ผู้ใดมาเยี่ยมเขาอีกต่า
ซูเชียนหลิงเม้มริมฝีปากด้วยความพึงพอใจ นางเริ่มวาดฝันที่จะได้เป็นพระชายาขององค์ชายตอนนี้นางเป็นบุตรีคนโตที่ถูกต้องตามธรรมเนียมของจวนอัครเสนาบดี ตราบใดที่เย่อวิ๋นถูชอบนาง อนาคตของนางก็จะรุ่งโรจน์อย่างไร้ข้อจำกัดนอกจากนี้ ด้วยอำนาจอิทธิพลของตระกูลเดิมที่อยู่เบื้องหลังฮองเฮา เย่อวิ๋นถูจึงเป็นคนที่มีแนวโน้มจะได้ขึ้นครองบัลลังก์มากที่สุดนางเชื่อในการตัดสินใจของตนเองหลิงซื่ออ้างว่านางต้องการดูแลฮูหยินผู้เฒ่า จึงได้ร้องขอต่ออัครเสนาบดีซูเป็นกรณีพิเศษว่าต้องการไปพักอยู่ที่จวนฮูหยินผู้เฒ่าเป็นเวลาสองวันอัครเสนาบดีซูไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้ในตอนแรก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจข่มตาหลับได้สนิท ทำได้เพียงพลิกตัวไปมาอยู่ภายในห้องเพียงลำพังสวนหลังจวนที่ถูกทิ้งร้าง เกิดเป็นป่ารกทึบ…อัครเสนาบดีซูเหลือบมองไปยังบริเวณนั้นในเวลากลางคืน เขาอดไม่ได้ที่จะเกิดความอยากรู้อยากเห็น ถึงแม้ว่าจะหวาดกลัวอันตรายที่อาจเกิดขึ้นก็ตาม เมื่อถึงเวลากลางดึก เขาก็สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่อย่างลวก ๆ และเดินออกจากเรือนนอนไปภายใต้แสงจันทร์และด้วยความคุ้นชินกับจวนหลังนี้ อัครเสนาบดีซูจึงไม่ได้จุดเทียนแต่อย่างใด ทันที
เขาหรี่ตาลงอย่างมีเลศนัย มองดูซูชิงอู่อย่างมีความหมายลึกซึ้ง“อาอู่...”ทันทีที่ซูชิงอู่ได้ยินเสียงทุ้มลึกดังก้องอยู่ในหู... นางก็รู้สึกอ่อนระทวยลงเล็กน้อยนางไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้เป็นอะไร แต่เขาชอบเรียกชื่อนางเช่นนี้ในเวลาแบบนี้เสมอแก้มของซูชิงอู่แดงระเรื่อ ขณะที่นางละสายตาออกไป จากนั้นจึงถามอวิ๋นจื่อซึ่งเพิ่งมารายงานข่าวอยู่ด้านหน้าว่า “เจ้ารู้ไหมว่าอัครเสนาบดีซูจะจัดการกับหลิงซื่อเช่นไร?”อวิ๋นจื่อตอบว่า “หลิงซื่อถูกทุบตี ไม่เพียงเท่านั้น นางยังถูกจับขังอยู่ในห้องเก็บฟืนอีกด้วย ทั้งวันทั้งคืนไม่ได้ดื่มกระทั่งน้ำ คุณหนูใหญ่ไปร้องขอความเมตตาจากฮูหยินผู้เฒ่าที่เพิ่งหายป่วย ทั้งยังอ้างถึงความโปรดปรานจากองค์ชายสาม เช่นนั้นอัครเสนาบดีจึงยอมไว้ชีวิตนาง”ที่ผ่านมา นางคอยให้คนจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของหลิงซื่ออยู่เสมอจนบังเอิญสังเกตเห็นว่าหลิงซื่อมักจะนัดพบกับบุรุษร่างเตี้ยในชุดดำบ่อยครั้งเพียงแต่คนรับใช้ที่คอยเป็นสายให้นางได้ค้นพบว่าบุรุษผู้นี้มีทักษะศิลปะการต่อสู้และมีกำลังวังชา หากเขาติดตามใกล้ชิดมากเกินควรไปเพียงเล็กน้อย ในไม่ช้าจะต้องถูกจับได้อย่างแน่นอนทว่าคนผู้นี้กลับไม่ใช
“อย่างไรก็เถอะ หลังจากได้เห็นพวกเขาแล้ว ท่านจะรู้เอง”นางจงใจหยอกเย้าเย่เสวียนถิงเย่เสวียนถิงเม้มริมฝีปากบางทันที ดวงตาของเขาดูมืดมน ก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดว่า "ข้าจะไปเดี๋ยวนี้"ขณะที่ซูชิงอู่เฝ้าดูเย่เสวียนถิงกำลังยุ่งวุ่นวายกับการหาใครบางคน ใบหน้าของนางก็ไม่อาจเก็บซ่อนความพึงพอใจไว้ได้เมื่อเย่เสวียนถิงพบกับคนที่มีความสามารถเหล่านี้ เขาจะต้องพอใจในตัวพวกนั้นอย่างแน่นอนและคนเหล่านี้จะกลายเป็นมือขวาของเขาในอนาคต...นางเป็นคนเห็นแก่ตัวเนื่องจากนางได้ก้าวเข้าสู่วังวนแห่งการแย่งอำนาจของราชวงศ์แล้ว เช่นนั้นนางจึงต้องมีอำนาจไว้ในมือด้วยเช่นกันอย่าได้กลายเป็นปลาบนเขียงเพื่อรอให้ใครคนมาเชือดอีก…เย่เสวียนถิงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วคืนนั้น เขากลับไปที่จวนอ๋องเพื่อพบกับซูชิงอู่ซูชิงอู่ลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อนางเห็นเขา ก่อนที่จะรีบก้าวเท้าเดินออกจากห้องเพื่อทักทายเขา“ท่านอ๋อง เป็นเช่นไรบ้าง… ท่านได้พบทุกคนแล้วหรือไม่?” เย่เสวียนถิงพยักหน้าเล็กน้อยให้ซูชิงอู่ "ข้าพาพวกเขาทั้งหมดมาที่นี่แล้ว เจ้าเล่า อยากพบพวกเขาหรือไม่?"ซูชิงอู่เพียงเคยได้ยินชื่อคนเหล่านี้ แต่นางไม่เคยเห็นหน้าของพว
ดวงตาสีเหลืองอำพันนั้นทั้งเย็นชาและถมึงทึง รูปลักษณ์ภายนอกดูงดงามสมสมรรถภาพทั้งสามยืนขึ้นและทักทายกันสวีชิงโม่ถามอวิ๋นเซียงหรู "ท่านเป็นผู้เข้าสอบขุนนางปีนี้ด้วยหรือไม่?"เซียวเฝิงตอบว่า "ข้ามาที่นี่เพื่อสอบศิลปะการต่อสู้เท่านั้น ข้ามั่นใจว่าท่านทั้งสองคงเป็นบัณฑิต"อวิ๋นเซียงหรูพยักหน้าเล็กน้อย แต่ยังคงนิ่งเงียบดวงตาคู่นั้นดูเย็นชา ทำให้ผู้คนที่มองมารู้สึกโดดเดี่ยวอย่างไม่อาจอธิบายได้สวีชิงโม่เอ่ยปากอย่างไม่เกรงใจ "คนเหล่านั้นถามข้าอย่างเป็นปริศนาว่าข้าอยากทำงานให้พวกเขาหรือไม่ แต่ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นใคร ข้าจึงปฏิเสธไปในตอนนั้น คิดไม่ถึงว่าผู้คนจากจวนอ๋องจวนองค์ชายนั้นจะกล้าทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้!”เซียวเฝิงพยักหน้าซ้ำ ๆ "เมื่อครู่ท่านบอกว่าคนเหล่านั้นเป็นคนขององค์ชายสาม เช่นนั้นท่านรู้ได้อย่างไร?"สวีชิงโม่เย้ยหยัน "ข้ารับใช้ของจวนองค์ชายสวมเสื้อผ้าอาภรณ์แตกต่างจากคนรับใช้ของตระกูลขุนนางทั่วไป ข้าโชคดีที่ได้เห็นอาภรณ์ที่คนเหล่านั้นสวมใส่เข้า"เซียวเฝิงตระหนักได้ในทันทีว่า "ข้าเข้าใจแล้ว... ข้าไม่คิดว่าองค์ชายสามจะใช้วิธีการโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ พวกเราไม่เห็นด้วยก
ซูชิงอู่คว้าเสื้อคลุมที่เขาสวมบนตัวนางแล้วถามอย่างไม่สบายใจว่า “แล้วท่านล่ะ?"เย่เสวียนถิงหลุบสายตาลงเล็กน้อย มีแสงจันทร์สะท้อนในดวงตาของเขา "บนภูเขาไม่ปลอดภัย ข้าจะเฝ้าอยู่ข้างนอก"ซูชิงอู่ไม่ถามอะไรอีก นางเดินไปที่บ่อน้ำและถอดเสื้อผ้าของนางออกหากเย่เสวียนถิงไม่อยู่ที่นี่ นางคงไม่สามารถอาบน้ำในป่าได้ง่าย ๆเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้ ๆ ซูชิงอู่จึงรู้สึกค่อนข้างปลอดภัยหลังจากอาบน้ำเสร็จก็เห็นเสื้อผ้าวางอยู่บนฝั่งขนาดกำลังพอดีสำหรับนาง ราวกับมันถูกเตรียมไว้เพื่อนางโดยเฉพาะหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ตั้งอยู่บนไหล่เขาขนาดไม่ใหญ่นัก นอกจากบ่อน้ำพุร้อนที่อยู่ในบริเวณบ้านพักแล้ว ก็มีบ้านเพียงห้าหลังเท่านั้นบ้านที่อยู่ตรงกลางคือหลังที่ใหญ่ที่สุด ซูชิงอู่เดินเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็พบว่าข้างในบ้านตกแต่งเรียบง่ายและสะอาดสะอ้านเดินเข้าไปข้างในก็คือบ้านที่ใช้อยู่อาศัย มีเตียงขนาดใหญ่วางอยู่ตรงกลาง นอกจากตรงจุดนี้ที่ได้รับการทำความสะอาดแล้ว ส่วนอื่น ๆ ก็ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาเป็นชั้น เห็นได้ชัดว่าเย่เสวียนถิงเข้ามาทำความสะอาดให้เมื่อครู่ซูชิงอู่รู้สึกอบอุ่นใจทว่านางไม่ได้ออกปาก
ทันใดนั้นก็มีเสื้อคลุมอีกตัวหนึ่งคลุมตัวของนางไว้ความหนาวเย็นบนร่างกายของนางถูกขจัดออกไปในทันที และจู่ ๆ เย่เสวียนถิง ก็โน้มตัวลงมาและดึงนางให้ลุกขึ้นยืน“อาอู่ มากับข้าสิ”ซูชิงอู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยืนขึ้นต่อหน้าทุกคน กองไฟตรงหน้านางยังคงปะทุอยู่ และผู้คนที่นั่งรอกันอย่างเบื่อหน่ายก็มองตรงไปยังทิศทางที่พวกเขาทั้งสองจากไปทุกคนยังคงหิวอยู่ ตอนนี้ดึกมากแล้ว แม้กระทั่งการกินข้าวจึงกลายเป็นปัญหา หลินอิงย่างกระต่ายป่าที่นางเพิ่งจับได้และมอบให้นายน้อยของนางอย่างระมัดระวัง“นายน้อย ทานสิเจ้าคะ”หลิ่วจ้งอิ๋นเหลือบมองหลินอิง เดิมทีเขาต้องการทิ้งเด็กคนนี้ไว้ที่บ้านเพื่อดูแลคนชรา แต่นางไม่ยอม จึงกลายเป็นว่ามีสตรีติดตามเขาไปทุกที่เขารับกระต่ายขึ้นมาแล้วมองสายตาของเด็กน้อยที่แอบมองเขา แต่ก็ลังเลที่จะพูด จากนั้นเขาก็ยื่นขากระต่ายทั้งสองข้างให้นางแม้หลินอิงจะไม่ได้พูดตลอดการเดินทาง แต่ในระหว่างการต่อสู้ไม่นานมานี้ นางซึ่งเป็นสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมดาบในมือ สิ่งนี้ทำให้เขาดูเป็นคนใจร้าย และนั่นก็ค่อนข้างน่าสะเทือนใจในฐานะนายน้อยตระกูลหลิ่ว เขามีชีวิตที่ราบรื่นและได
“เสวียนถิง ท่านมองข้าสิ”ม่านตาของเย่เสวียนถิงสั่นไหวเล็กน้อย เขาคว้าข้อมือของซูชิงอู่ไว้ดาบในมือของเขาหล่นลงกับพื้นทั้งที่ยังคงเปื้อนเลือด“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทิ้งท่านไปไหนอีก”ซูชิงอู่ตอบอย่างจริงจัง น้ำเสียงของนางมั่นคงหนักแน่นนางจะไม่ทำให้ตัวเองต้องเสียใจทีหลังอีก“ดูสิ ตอนนี้ข้าสามารถปกป้องตัวเองได้แล้ว ท่านกลับจากชายแดนเมื่อไร ช่วยสอนวรยุทธให้ข้าได้หรือไม่?”นางปลอบประโลมอารมณ์ในดวงตาของเย่เสวียนถิงได้เขาใช้นิ้วลูบหลังมือของนางเบา ๆ“เอาล่ะ อาอู่ หนอนกู่พวกนั้นก็อันตรายมากเช่นกัน จากนี้เจ้าไม่…”ซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ พลางก้มหน้า “กู่เหล่านั้นเป็นวิธีที่ข้าใช้ปกป้องตัวเอง อีกทั้งท่านอ๋องก็ไม่สามารถอยู่เคียงข้างข้าได้ตลอด หากข้าไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ท่านจะเป็นห่วงข้ามากกว่าเดิมหรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่เสวียนถิงก็เลิกคิ้วและพยักหน้าเขารู้สึกไม่ชอบใจที่ตัวเขาไร้ประโยชน์ทั้งยังทำให้อาอู่ตกอยู่ในอันตรายหากเขาอยู่เคียงข้างนาง เขายังสามารถจับตาดูนางได้ แต่เมื่อเขาต้องจากที่นี่ไปยังสนามรบชายแดน ถึงตอนนั้น…เย่เสวียนถิงไม่กล้านึกถึงความฝันที่เขาพูดถึงเหตุผลท
คนมากกว่าหนึ่งพันคนก็กลายเป็นม่านดำหนาทึบ แม้พวกเขาจะพบกับสถานการณ์ที่วุ่นวาย แต่พวกเขาก็มีเวลาจัดการเหลือเฟือทว่าในขณะที่เย่เสวียนถิงโยนลูกปัดอสนีบาตเข้าไปในฝูงชน และผู้คนยังคงถูกโจมตีอย่างโหดร้าย ทหารของตระกูลเจียวที่เดิมต้องการเร่งรุดไปข้างหน้าก็เริ่มถอยหนีอย่างรวดเร็วเย่เสวียนถิงสามารถบังคับให้คนเหล่านั้นล่าถอยไปได้ด้วยความแข็งแกร่งของเขาไม่มีใครอยากตายโดยไม่รู้ตัว เพราะอาวุธที่ซูชิงอู่หยิบออกมานั้นเกินความคาดหมายของทุกคน“มีอันตราย ถอยออกไปเร็ว!”ใครบางคนในฝูงชนตะโกนเสียงดัง และรูปขบวนทั้งหมดก็หยุดชะงักหลิ่วจ้งอิ๋นและคนอื่น ๆ รู้สึกว่าบรรยากาศภายนอกเปลี่ยนไป พวกเขาจึงเอื้อมมือออกไปและเปิดประตูด้านหน้าออก “ทุกคน ออกไปฆ่ามัน!”ตอนนี้เป็นโอกาสของพวกเขาที่จะลงมือนี่คือโอกาสที่ท่านอ๋องและพระชายาสร้างขึ้นเพื่อทำการตอบโต้!แม้คนเหล่านี้จะมีความสามารถไม่มากนัก แต่ตอนนี้พวกเขาเกือบตายในอารามนี้แล้ว และทุกคนก็เก็บความหวาดหวั่นไว้ในใจเพื่อเป็นพลังเสียงตะโกนแห่งการสังหารยังคงดำเนินต่อไป และคนของตระกูลเจียวเหล่านั้นต่างได้รับบาดเจ็บสาหัส ประกอบกับการจู่โจมที่น่าเกรงขามของหลิ่วจ
ความมืดทำให้พวกเขามีที่กำบังที่ดีแม้บางคนจะสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นหนอนกู่ตัวเล็ก ๆ เช่นนี้ได้เย่เสวียนถิงคว้าดาบมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ พลางโอบซูชิงอู่ไว้ในมือข้างหนึ่ง และอีกมือหนึ่งก็สกัดกั้นลูกธนูที่พุ่งเข้ามาหลังจากที่ซูชิงอู่ขว้างขวดไป เขาก็พานางไปที่กำแพงอีกฝั่งหนึ่งที่ค่อนข้างปกปิดได้ดี และต่อต้านการโจมตีของนักธนูที่อยู่ด้านบนไปด้วยขณะนี้ ทหารของในตระกูลเจียวที่บุกเข้ามาจากประตูวัดรู้สึกปั่นปวนและไม่สบายใจเพราะแมงมุมม่ายสวรรค์ซูชิงอู่เลิกคิ้วเล็กน้อย มองผู้คนเหล่านั้นที่วิ่งหนีไปราวกับพวกเขาเห็นผี นางก็ยิ้มมุมปากโดยอัตโนมัติทว่าคนที่อยู่ตรงนั้นก็มีปฏิกิริยาเช่นกัน และคนที่เป็นผู้นำก็ตะโกนเสียงดังทันที “จดจ่อกับการป้องกันและสังหารคนสองคนที่ออกมาเมื่อครู่นี้เสีย!”ผู้ที่ไม่ได้ถูกแมงมุมม่ายสวรรค์กัดตายก็เข้ามาหาทันทีโชคดีที่ขึ้นไปบนภูเขาได้ทันท่วงที และเส้นทางแคบจึงมีคนไม่มากนักที่จะขึ้นมาได้ในคราวเดียวเย่เสวียนถิงยืนขวางทางอยู่เพียงคนเดียวคู่กับดาบหนึ่งเล่ม เหมือนกับบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าศัตรูนับหมื่น一夫当关万夫莫开的架势บรรดาผู้ที่ร
นอกจากนี้จำนวนฝ่ายตรงข้ามยังมากกว่าจำนวนคนฝั่งเราอีกด้วย ไม่ต้องพูดถึงนักธนู ต้องมีศัตรูมาจากด้านล่างเพื่อมารอปิดประตูตีแมวแน่ ๆหลิ่วจ้งอิ๋นประหม่าและหันศีรษะไปมองซูชิงอู่โดยไม่รู้ตัว“พระชายา ท่านคงมีทางแก้ไขแล้วแน่ พวกเราควรทำอย่างไรกันดี?”เมื่อถูกนักธนูยิงกดธนูกดดันเอาไว้ พวกเขาก็ไม่สามารถออกไปได้เลย อีกทั้งทุกคนก็อยู่ในสภาพที่ไม่มีพลังงานพอให้ใช้แม้แต่ฉินชานก็มองนางด้วยเช่นกัน และผู้คนรอบตัวนางก็มีดวงตาที่เปล่งประกายด้วยความคาดหวังซูชิงอู่มองไปที่ดวงตาของทุกคน และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าทุกคนได้ฝากความหวังไว้กับนางนางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงน้ำหนักบนไหล่ของนางที่ไม่อาจมองข้ามได้เย่เสวียนถิงแอบจับมือนาง ราวกับเขาสังเกตเห็นบางสิ่งแปลก ๆ เกี่ยวกับนางความอบอุ่นจากมือใหญ่ทำให้ซูชิงอู่กลับมามีสติอีกครั้ง นางเงยหน้ามองออกไปข้างนอก ดวงตาของนางเริ่มเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ทันใดนั้นนางก็รู้สึกถึงความสำเร็จอย่างมากตอนนี้นางได้กลายเป็นกระดูกสันหลังของคนหลายพันคน และหนึ่งในการตัดสินใจของนางอาจต้องรับผิดชอบต่อชีวิตและความตายของทุกคนในชีวิตก่อนของนาง นางเป็นเพียงสตรีนางหนึ่งที่อาศัยอยู่ใน
ขณะที่ซูชิงอู่กำลังจะพาคนของนางลงจากภูเขา นางก็ได้ยินเสียงทหารของเมืองฉีที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกวิ่งเข้ามาทันทีน้ำเสียงของเขาดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด และน้ำเสียงของเขาก็เร่งขึ้นมากเช่นกัน “พระชายา...จู่ ๆ ข้างนอกก็มีคนประมาณสองพันปรากฎตัวพ่ะย่ะค่ะ!”ซูชิงอู่มีท่าทีสงสัยเล็กน้อย“สองพันคน…มาจากไหนกัน?”“ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ แต่ชุดเกราะที่คนเหล่านั้นสวมใส่นั้นแตกต่างจากชุดของกระหม่อมและทหารคุ้มกันเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ…”จู่ ๆ เย่เสวียนถิงก็พูดอยู่ข้าง ๆ นาง “เป็นคนของตระกูลเจียว”ซูชิงอู่เคยได้ยินมาว่าเจียวกุ้ยเฟยมีพี่สามซึ่งอยู่ข้างนอกและไม่เคยกลับมายังเมืองหลวงเลยดังนั้นเมื่อทุกคนในตระกูลเจียวถูกจับ ก็มีบางคนที่เล็ดลอดผ่านตาข่ายไปได้และครั้งนี้เจียวกุ้ยเฟยหนีออกจากวัง นางต้องได้รับการช่วยเหลือและชี้แนะจากบุคคลนี้ท่าทางของซูชิงอู่เคร่งขรึมเล็กน้อย “คนสองพันคน มีความได้เปรียบในด้านตัวเลข มากกว่าพวกเราถึงสองเท่า”คนอื่น ๆ เองก็เริ่มกังวล และทุกคนก็มองไปที่ซูชิงอู่อย่างเงียบ ๆท่าทีของหลิ่วจ้งอิ๋นค่อนข้างนิ่งเฉย “คนหนึ่งพันต่อสองพันคน จะสู้อย่างไร?”ทันใดนั้น ลูกธนูจำนวนมากก็พุ่งลงมาเฉ
“อุก…”ยาเม็ดในปากของสตรีนางนั้นละลายทันทีช่วงเวลาต่อมานางก็รู้สึกเป็นตะคริวที่ท้องอย่างรุนแรงสตรีนางนั้นนอนเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้น มีเสียงกรีดร้องออกมาจากปากของนาง และไม่นาน ก็มีแอ่งเลือดปรากฏขึ้นใต้ร่างของนางมันก็เป็นแค่กองเลือดเด็กที่ยังไม่มีรูปร่างไม่สามารถเรียกว่าทารกในครรภ์ได้ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กคนนี้จะเกิดมาเดิมทีซูชิงอู่คิดจะมอบสตรีนางนี้ให้กับเย่ชิวหมิง และปล่อยให้เขาจัดการกับนางด้วยตัวเอง แต่มาคิด ๆ ดูแล้วไม่เอาดีกว่าคำพูดของเย่เสวียนถิงช่วยเตือนสตินางการตัดรากถอนโคนยังน่าพึงพอใจมากกว่าเย่ชิวหมิงเป็นคนขี้ใจอ่อนไม่เด็ดขาด หากเจียวกุ้ยเฟยไม่ได้ทำอะไรผิดร้ายแรง เขาคงไม่มีใจที่จะลงมือโจมตีนางในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะต้องเก็บเด็กคนนี้ไว้อย่างแน่นอนแม้ตอนนี้หว่านเอ๋อร์จะตั้งครรภ์ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตนางจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ นางกำลังคิดหาวิธีรักษาแผลในช่องท้องของนางอยู่ อีกไม่นานก็จะบรรลุผลเจ้าสำนักชีฮุ่ยซินเฝ้าดูอย่างช่วยอะไรไม่ได้ ขณะที่สตรีผู้มีใบหน้าขององค์หญิงจาวหยวนนอนอยู่บนพื้นและในที่สุดก็ไม่เคลื่อนไหวหนึ่งเม็ด หนึ่งร
หญิงสาวมีท่าทีตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดนางเหงื่อออกมากด้วยความเจ็บปวด และถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “มีอะไรบกพร่องหรือ?”ตอนนี้จับคนได้แล้ว ซูชิงอู่จึงไม่รีบร้อนอีกต่อไปและตอบคำถามของนางอย่างอดทน“เจ้าไม่ติดตามเรื่องนี้ นอกจากเจ้าอยากแสดงความใจกว้างให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว เจ้าก็ยังอยากให้ข้าและคนอื่น ๆ ออกจากสำนักชีฮุ่ยชิงโดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องของเจ้าถูกเปิดเผย”หลังจากเดาได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ สตรีนางนั้นก็เงียบไปทันทีหลังจากหยุดไปชั่วครู่ นางก็กล่าวเสริม “นี่พิสูจน์อะไรไม่ได้ บางทีองค์หญิงจาวหยวนอาจอุทิศตนเพื่อพระพุทธองค์และมีความเมตตากระมัง?”ซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ“น่าเสียดายที่ข้าไม่เชื่อว่าจะมีใครทำเช่นนี้ได้จริง ๆ ”นางได้เห็นความชั่วร้ายสุดขีดในโลกนี้มาแล้วและยังคงกังขาต่อความดีของธรรมชาติของมนุษย์อย่างมากนี่คือเหตุผลสำคัญที่สุดว่าทำไมสตรีตรงหน้านางถึงถูกเปิดเผยยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็สามารถปลอมตัวได้ แต่คนอื่น ๆ ไม่สามารถทำได้องค์หญิงปลอมรู้ว่าคราวนี้นางหนีไม่พ้น นางได้จับใบหน้าเหี่ยวย่นเอาไว้ ส่วนมือที่หักก็ยกขึ้นมาครึ่งหนึ่งก่อนที่จะคุกเข่าลงกับพื้น她顶