“อย่างไรก็เถอะ หลังจากได้เห็นพวกเขาแล้ว ท่านจะรู้เอง”นางจงใจหยอกเย้าเย่เสวียนถิงเย่เสวียนถิงเม้มริมฝีปากบางทันที ดวงตาของเขาดูมืดมน ก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดว่า "ข้าจะไปเดี๋ยวนี้"ขณะที่ซูชิงอู่เฝ้าดูเย่เสวียนถิงกำลังยุ่งวุ่นวายกับการหาใครบางคน ใบหน้าของนางก็ไม่อาจเก็บซ่อนความพึงพอใจไว้ได้เมื่อเย่เสวียนถิงพบกับคนที่มีความสามารถเหล่านี้ เขาจะต้องพอใจในตัวพวกนั้นอย่างแน่นอนและคนเหล่านี้จะกลายเป็นมือขวาของเขาในอนาคต...นางเป็นคนเห็นแก่ตัวเนื่องจากนางได้ก้าวเข้าสู่วังวนแห่งการแย่งอำนาจของราชวงศ์แล้ว เช่นนั้นนางจึงต้องมีอำนาจไว้ในมือด้วยเช่นกันอย่าได้กลายเป็นปลาบนเขียงเพื่อรอให้ใครคนมาเชือดอีก…เย่เสวียนถิงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วคืนนั้น เขากลับไปที่จวนอ๋องเพื่อพบกับซูชิงอู่ซูชิงอู่ลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อนางเห็นเขา ก่อนที่จะรีบก้าวเท้าเดินออกจากห้องเพื่อทักทายเขา“ท่านอ๋อง เป็นเช่นไรบ้าง… ท่านได้พบทุกคนแล้วหรือไม่?” เย่เสวียนถิงพยักหน้าเล็กน้อยให้ซูชิงอู่ "ข้าพาพวกเขาทั้งหมดมาที่นี่แล้ว เจ้าเล่า อยากพบพวกเขาหรือไม่?"ซูชิงอู่เพียงเคยได้ยินชื่อคนเหล่านี้ แต่นางไม่เคยเห็นหน้าของพว
ดวงตาสีเหลืองอำพันนั้นทั้งเย็นชาและถมึงทึง รูปลักษณ์ภายนอกดูงดงามสมสมรรถภาพทั้งสามยืนขึ้นและทักทายกันสวีชิงโม่ถามอวิ๋นเซียงหรู "ท่านเป็นผู้เข้าสอบขุนนางปีนี้ด้วยหรือไม่?"เซียวเฝิงตอบว่า "ข้ามาที่นี่เพื่อสอบศิลปะการต่อสู้เท่านั้น ข้ามั่นใจว่าท่านทั้งสองคงเป็นบัณฑิต"อวิ๋นเซียงหรูพยักหน้าเล็กน้อย แต่ยังคงนิ่งเงียบดวงตาคู่นั้นดูเย็นชา ทำให้ผู้คนที่มองมารู้สึกโดดเดี่ยวอย่างไม่อาจอธิบายได้สวีชิงโม่เอ่ยปากอย่างไม่เกรงใจ "คนเหล่านั้นถามข้าอย่างเป็นปริศนาว่าข้าอยากทำงานให้พวกเขาหรือไม่ แต่ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นใคร ข้าจึงปฏิเสธไปในตอนนั้น คิดไม่ถึงว่าผู้คนจากจวนอ๋องจวนองค์ชายนั้นจะกล้าทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้!”เซียวเฝิงพยักหน้าซ้ำ ๆ "เมื่อครู่ท่านบอกว่าคนเหล่านั้นเป็นคนขององค์ชายสาม เช่นนั้นท่านรู้ได้อย่างไร?"สวีชิงโม่เย้ยหยัน "ข้ารับใช้ของจวนองค์ชายสวมเสื้อผ้าอาภรณ์แตกต่างจากคนรับใช้ของตระกูลขุนนางทั่วไป ข้าโชคดีที่ได้เห็นอาภรณ์ที่คนเหล่านั้นสวมใส่เข้า"เซียวเฝิงตระหนักได้ในทันทีว่า "ข้าเข้าใจแล้ว... ข้าไม่คิดว่าองค์ชายสามจะใช้วิธีการโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ พวกเราไม่เห็นด้วยก
เสียงตะโกนได้ทำลายความเงียบของตรอกลงทันทีไม่นานหลังจากนั้น ร่าง ๆ หนึ่งก็หมดสติไปด้วยความตื่นตระหนกซูชิงอู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนว่าคืนนี้นางจะมาถูกเวลาพอดีนางเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน สวีชิงโม่กับแม่และน้องสาวของเขาอาศัยอยู่ด้วยกัน แต่แม่ของเขาป่วยด้วยโรคปอดอย่างรุนแรง รวมถึงต้องการสมุนไพรราคาแพงเพื่อยืดอายุขัยของนางในเวลานั้นเย่อวิ๋นถูบังเอิญเป็นผู้คุมสอบบุรุษผู้นี้ หลังจากได้รู้ว่าบุรุษผู้นี้มากไปด้วยความสามารถ เขาจึงสืบค้นข้อมูลรอบตัวของอีกฝ่ายทันที จนกระทั่งได้ช่วยชีวิตมารดาของเขาในช่วงเวลาวิกฤติซูชิงอู่จดจำวันนั้นได้อย่างขึ้นใจ ช่วงเวลาสองคืนก่อนการสอบครั้งใหญ่ช่างบังเอิญอย่างยิ่ง เหลือเวลาอีกเพียงสองวันก่อนถึงวันสอบใหญ่…ทันใดนั้น เย่เสวียนถิงก็ดูคล้ายจะเห็นอะไรบางอย่างขณะที่มีคนมาลงจากกำแพงไม่นานนัก เขาก็แบกใครบางคนมาซูชิงอู่ตกตะลึงเล็กน้อย "ท่านอ๋อง คนผู้นี้คือ..."เย่เสวียนถิงเอ่ยว่า "คนผู้นี้อยู่ข้างบ้านสวีชิงโม่ หลังจากที่สวีชิงโม่ออกจากที่นี่แล้ว เขาก็สังเกตสังกาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงออกมา บางทีเขาอาจต้องการส่งสารแจ้งให้ใครบางคนรับรู้"ซูชิงอู่ชะงั
เขาหยุดอยู่หน้าประตูทางเข้าโรงยาอิ๋งชุนพร้อมหอบหายใจอย่างหนัก ด้านหน้าของโรงยาขนาดใหญ่ดูโอ่อ่ากว่าโรงยาขนาดเล็กย่อมหลายเท่า“มีใครอยู่หรือไม่? ข้าอยากพบท่านหมอ!”เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังมาจากประตูบานนั้น…ประตูไม้ถูกผลักให้เปิดจากด้านในคนงานในโรงยาที่เดินออกมามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าเขาสวมอาภรณ์เก่าซอมซ่อ“ท่านป่วยด้วยโรคอะไรมา?”สวีชิงโม่รีบตอบ "ข้าอยากจะขอให้หมอไปรักษามารดาของข้าที่บ้าน ที่นี่มีหมอคนใดพอจะรักษานางได้หรือไม่?"ทันใดนั้น คนงานในโรงยาก็แบมือออกมา “กลางดึกเช่นนี้ ข้าจะต้องไปตามหมอก่อน อีกทั้งยังไม่รู้ว่าต้องประสบความยากลำบากเพียงใด การเดินทางไกลขนาดนี้จะทำให้หมอเหนื่อยไปอีกครึ่งวัน เช่นนั้นท่านต้องจ่ายเงินมาก่อน"สวีชิงโม่ตัวค้างแข็งเขาเอื้อมมือแตะกระเป๋าตนเองเพียงเพื่อจะพบว่าข้างในมีเงินอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นนี่คือเงินที่แม่ของเขาทิ้งไว้ให้เขาซื้อพู่กันและแท่งหมึกเพื่อการสอบขุนนางในปีนี้ เขาพาแม่และน้องสาวเดินทางไกลมายังเมืองหลวง เขาจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเดินมานานเพียงใด อีกทั้งต้องทนทรมานต่อความยากลำบากมากเพียงใด เพื่อจะได้เป
ริมฝีปากสวีชิงโม่สั่นไหว มือของเขาที่ถือเศษเงินก็สั่นเทาด้วยเช่นกัน"แต่ว่าข้า..."ซูชิงอู่ดูคล้ายจะเข้าใจสถานการณ์ของเขา เช่นนั้นนางจึงพูดขึ้นว่า "พิจารณาจากการแต่งกายของท่านแล้ว ท่านคงจะเป็นบัณฑิตผู้เข้าสอบขุนนาง โรงยาตระกูลฟางในเวลานี้เป็นของจวนท่านอ๋องเสวียนแล้ว เพื่อไม่ให้มีปัญหาเกิดขึ้นกับผู้เข้าสอบ เช่นนั้นท่านอ๋องเสวียนจึงกำชับโรงยาไว้โดยเฉพาะว่าหากผู้เข้าร่วมการสอบมาที่นี่เพื่อทำการรักษา ก็ไม่อาจเก็บเงินจากพวกเขาแม้แต่แดงเดียวได้"“ไม่… ไม่เก็บเงินจริงหรือ?”สวีชิงโม่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกราวกับโชคหล่นมาจากฟ้าเขาดูสงวนท่าทีเล็กน้อย "ข้าน้อยขาดเงินเพียงเล็กน้อยชั่วคราว หลังจากนี้ไม่นาน ไม่ว่าจะเป็นหนี้จำนวนเท่าใด ข้าน้อยก็จะจ่ายคืนเต็มจำนวนอย่างแน่นอน..."การแสดงของซูชิงอู่ยังคงนิ่งสงบ “นี่ไม่ใช่สิทธิพิเศษของท่านเพียงผู้เดียว ผู้เข้าสอบทุกคนล้วนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมเช่นกัน จะเป็นการดี หากท่านพอมีเวลาปรึกษาเรื่องยาและอาการเจ็บป่วยที่ท่านต้องการได้”สวีชิงโม่ตอบสนองทันที “ท่านแม่ของข้า จู่ ๆ นางก็ไอเป็นเลือด ข้าอยากเชิญท่านหมอ… ไปตรวจดูนางที่จวน
หลังจากพูดคำเหล่านี้แล้ว เขาก็มองดูซูชิงอู่อย่างเลื่อนลอย ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า "ท่านแม่ของข้าอยู่ข้างใน เชิญท่านทั้งสองเข้ามาเถอะ"ซูชิงอู่พยักหน้าและเดินเข้าไปในห้องสวีชิงโม่ไม่ได้คาดหวังในทักษะทางการแพทย์ของนางมากนัก สีหน้าของเขาจึงดูกระสับกระส่ายเล็กน้อยซูชิงอู่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ แต่นางกลับนั่งลงบนเตียงแล้วจับชีพจรของสตรีที่ดูชรามากนางนั้นหลังจากตรวจเพียงเล็กน้อย ซูชิงอู่ก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งทันทีฮูหยินผู้เฒ่าไอเป็นเลือดเนื่องจากวัณโรค ซึ่งเป็นโรคที่ส่วนใหญ่เกิดจากการทำงานหนักในวัยเยาว์และดูเหมือนว่านางจะเลี้ยงดูสองพี่น้องเพียงลำพัง ฝ่ามือของนางจึงเต็มไปด้วยหนังด้านซูชิงอู่ถอนสายตาที่จ้องมองออกไปโรคนี้ไม่อาจรักษาหายได้ในสายตาของหมอธรรมดาทั่วไป ทำได้เพียงบำรุงร่างกายด้วยสมุนไพรราคาแพงบางชนิดเท่านั้น และในไม่ช้าจะค่อย ๆ ตายลงในเรื่องนี้ สวีชิงโม่ทำหน้าที่ได้ดีมากหากเขาสอบผ่านการคัดเลือกขุนนางในฐานะจอหงวนแล้ว เขาคงไม่มีชีวิตที่น่าสังเวชเช่นนี้บุรุษผู้นี้กตัญญู เพียงแต่ค่อนข้างโง่เขลาและซื่อสัตย์ อีกทั้งยังรู้คุณคนเป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะไม่ไปเป็
สวีชิงโม่เดินเข้าไปในห้องทันที เขาเห็นมารดาซึ่งจวนจะตายเมื่อคืนนี้ บนแก้มกลับปรากฏเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย นางมองดูเขาด้วยความรัก"ท่านแม่!" หัวใจของสวีชิงโม่สั่นไหว เขาประคองมารดาไว้ในอ้อมแขนทันที ซูชิงอู่ไม่ได้รบกวนเวลาครอบครัวของทั้งสาม นางเก็บกล่องยาเตรียมพร้อมที่จะจากไป นางเดินมาถึงลานบ้านแล้ว ทว่าทันใดนั้น นางก็เห็นร่างหนึ่งวิ่งตามนางมา ใบหน้าของสวีชิงโม่เปลี่ยนเป็นสีแดง ท่าทีของเขาที่มีต่อนางเมื่อคืนนี้ทำให้เขารู้สึกละอายใจและโกรธตัวเองเป็นอย่างยิ่ง "ขอบคุณท่านหมอหญิงมากที่ช่วยชีวิตมารดาข้าไว้!" เขาโค้งคำนับ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกตัญญู ซูชิงอู่เลิกคิ้ว "นี่เป็นเพียงความช่วยเหลือเล็กน้อย แม้ว่าอาการของฮูหยินผู้เฒ่าจะดีขึ้นแล้ว แต่ท่านยังต้องใส่ใจกับการพักฟื้นของนาง ข้าวางใบสั่งยาไว้บนโต๊ะแล้ว ท่านสามารถไปที่โรงยาเพื่อรับยาได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปได้” นางให้คำแนะนำอย่างละเอียด สวีชิงโม่รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง หลายครั้งที่เขาอยากจะมอบเงินที่ติวตัวอยู่ทั้งหมดให้แก่นางหรือให้คำมั่นสัญญาแต่หลังจากครุ่นคิดอย่างดีแล้ว เขาก็เลือกจะเก็
เย่อวิ๋นถูเต็มไปด้วยความโกรธ เขาระงับโทสะเอาไว้และพูดว่า "มารดาของเขาป่วยหนักเจียนตายมิใช่หรือ? พวกเจ้าใช้วิธีการเช่นไร? เขาจึงได้ต่อต้านไม่ยอมเป็นคนของข้าเช่นนี้!” "เรื่องนั้น…" หน้าผากของบุรุษผู้นั้นเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ จะบอกท่านอ๋องได้เช่นไรว่าสวีชิงโม่ผู้นั้นมาขอความช่วยเหลือ แต่เขากลับถูกคนงานในโรงยาไล่กลับและสาปส่ง แผนเดิมคือการขอให้ชายแก่เพื่อนบ้านรายงานข่าวล่วงหน้าเพื่อจะทันได้เตรียมพร้อมเสนอน้ำใจเพื่อชนะใจคน แต่สุดท้ายไม่เพียงแต่ล้มเหลวที่ไม่อาจชนะใจคนได้ แต่ยังต้องลงเอยด้วยความอับอายอีกด้วย บุรุษผู้นั้นไม่กล้าพูด เขาทำได้เพียงอธิบายว่าสวีชิงโม่เป็นคนร้ายกาจหยิ่งผยอง ดวงตาของเย่อวิ๋นถูเต็มไปด้วยความเย็นชาอย่างมาก เดิมทีเขาไม่ใช่คนใจกว้างเป็นทุนเดิม เมื่อได้ยินผู้ใต้บังคับบัญชาพูดเช่นนี้ก็เห็นได้ชัดว่าความประทับใจของเขาที่มีต่อสวีชิงโม่ผู้นั้นลดลงไปเรื่อย ๆ “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าก็ไม่ต้องการคนอย่างเขา ทว่า...ในเมื่อข้าไม่ได้เขามา เช่นนั้นจึงไม่อาจปล่อยให้คนอื่นได้ไปเหมือนกัน!” “กระหม่อมเข้าใจแล้ว ท่านอ๋อง โปรดวางใจเถิด” ……