เย่อวิ๋นถูเต็มไปด้วยความโกรธ เขาระงับโทสะเอาไว้และพูดว่า "มารดาของเขาป่วยหนักเจียนตายมิใช่หรือ? พวกเจ้าใช้วิธีการเช่นไร? เขาจึงได้ต่อต้านไม่ยอมเป็นคนของข้าเช่นนี้!” "เรื่องนั้น…" หน้าผากของบุรุษผู้นั้นเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ จะบอกท่านอ๋องได้เช่นไรว่าสวีชิงโม่ผู้นั้นมาขอความช่วยเหลือ แต่เขากลับถูกคนงานในโรงยาไล่กลับและสาปส่ง แผนเดิมคือการขอให้ชายแก่เพื่อนบ้านรายงานข่าวล่วงหน้าเพื่อจะทันได้เตรียมพร้อมเสนอน้ำใจเพื่อชนะใจคน แต่สุดท้ายไม่เพียงแต่ล้มเหลวที่ไม่อาจชนะใจคนได้ แต่ยังต้องลงเอยด้วยความอับอายอีกด้วย บุรุษผู้นั้นไม่กล้าพูด เขาทำได้เพียงอธิบายว่าสวีชิงโม่เป็นคนร้ายกาจหยิ่งผยอง ดวงตาของเย่อวิ๋นถูเต็มไปด้วยความเย็นชาอย่างมาก เดิมทีเขาไม่ใช่คนใจกว้างเป็นทุนเดิม เมื่อได้ยินผู้ใต้บังคับบัญชาพูดเช่นนี้ก็เห็นได้ชัดว่าความประทับใจของเขาที่มีต่อสวีชิงโม่ผู้นั้นลดลงไปเรื่อย ๆ “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าก็ไม่ต้องการคนอย่างเขา ทว่า...ในเมื่อข้าไม่ได้เขามา เช่นนั้นจึงไม่อาจปล่อยให้คนอื่นได้ไปเหมือนกัน!” “กระหม่อมเข้าใจแล้ว ท่านอ๋อง โปรดวางใจเถิด” ……
ท้ายที่สุดแล้ว เย่เสวียนถิงก็มีภารกิจอยู่ในมือ การจับกุมกลุ่มกบฏเหล่านั้นเป็นงานที่อันตรายอย่างแน่นอน หากนางเสนอขอไปด้วย เขาย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอนนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ซูชิงอู่แสร้งทำเป็นหลับและรอให้เย่เสวียนถิงออกไปก่อน จากนั้นจึงค่อยลงมือแผนการจับกุมถูกกำหนดไว้ในเวลากลางคืน และจะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกได้ซึ่งจะทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เรื่องเช่นนี้จะทำให้ผู้คนขุ่นเคืองไม่น้อย เย่เสวียนถิงแตกต่างจากเย่อวิ๋นถูในชีวิตครั้งก่อน เขาไม่ได้เป็นผู้คุมสอบครั้งใหญ่นี้ เหล่าบัณฑิตจะต้องไม่พอใจอีกฝ่ายอย่างแน่นอนหากมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาซูชิงอู่ลุกขึ้นจากเตียง นางนั่งอยู่หน้ากระจกทองเหลือง พร้อมหยิบอุปกรณ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่สวยงามออกมาจากห่อเล็ก ๆ ที่นางถือติดตัวไปด้วยจากนั้นจึงเริ่มแต่งหน้าหอจวี๋เสียนตั้งอยู่บนถนนสายหลักทางตะวันออกของเมืองหลวง ซึ่งค่อนข้างเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่านซูชิงอู่ส่ายพัดเบา ๆ นางรวบผมยาวนั้นขึ้นมัดไว้ แล้วเดินเข้าไปข้างในโดยสวมเสื้อคลุมลายพระจันทร์และเมฆขาวใบหน้าของนางถูกแต่งแต้มจนไม่อาจมองเห็นความนุ่มนวลของสตรีดั้งเ
นักเต้นถอยกลับไปราวกับกระแสน้ำ และผู้คนที่อยู่ด้านล่างที่กำลังดื่มและพูดคุยก็หยุดเคลื่อนไหว บุรุษวัยกลางคนที่มีหนวดเคราเดินออกมาจากเวที เขายิ้มให้ทุกคนที่อยู่ด้านล่าง“เจ้าของหอทราบว่าเหล่าผู้เข้าสอบทุกท่านจะต้องเข้าสอบในวันมะรืนนี้ เช่นนั้นเขาจึงเตรียมกิจกรรมชื่มชมบทกวีนี้ไว้เป็นพิเศษ ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดไม่เพียงแต่จะถูกเชื้อเชิญเป็นการส่วนตัวโดยเจ้าของหอ ยังได้รับการยกเว้นค่าใช้จ่ายทั้งหมดในวันนี้ด้วย แม้แต่เดือนหน้าก็สามารถกินดื่มอย่างสำราญใจที่หอจวี๋เสียนได้โดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว!”เหล่าบัณฑิตหลายคนนั่งตัวตรงทันทีพวกเขารู้ดีว่าค่าใช้จ่ายในการพักในหอจวี๋เสียนนั้นแพงมาก และที่นั่นยังเป็นสถานที่ขึ้นชื่อในเมืองหลวงอีกด้วยแม้แต่สุราของที่นี่ก็ไม่อาจหาที่ไหนเทียมได้ ไม่ว่าจะเป็นบัณฑิตหรือผู้ใดที่มาเมืองหลวง หากไม่ได้มายังสถานที่แห่งนี้ก็ไม่อาจพูดได้อย่างเต็มปากว่าเคยมาเมืองหลวง! บรรยากาศเดือดพล่านทันที บุรุษผู้นั้นไม่มัวรีรอให้เสียเวลา ด้วยการส่งสัญญาณมือของเขา ป้ายกระดาษทั้งหมดก็ถูกม้วนขึ้นและหันหน้าไปทางฝูงชน “ต่อไปข้าจะขอให้ใครสักคนจัดเตรียมพู่กันและแท่นฝนหม
บุรุษวัยกลางคนยังคงอ่านกลอนต่อไปในบรรยากาศที่เงียบสงบและน่าขนลุกนี้“เทียมเขาทับซ้อน ถนนคดเคี้ยว ทิวไม้สูงใหญ่ และน้ำพุไหลหลั่ง…”กลอนคำคู่หลายสิบคู่ติดต่อกัน แต่ละคู่มีฉันทลักษณ์เฉพาะตัวหลังจากที่บุรุษวัยกลางคนอ่านจบแล้ว แต่ผู้คนด้านล่างก็ยังคงสนใจที่จะฟังหลังจากนั้นเป็นเวลานาน เสียงปรบมือนับไม่ถ้วนก็ดังขึ้นบางคนมองไปที่ม่านของห้องที่ห้า โดยหวังว่าจะสามารถมองทะลุสิ่งกีดขวางและดูได้ว่าใครอยู่ข้างในนั้นซูชิงอู่มีท่าทีสงบ สีหน้าของนางยังคงเรียบเฉย นางฉลาดมาตั้งแต่เล็ก เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และมีความสามารถโดดเด่น ทว่าในฐานะสตรีแล้ว ไม่ว่าจะมีความสามารถมากเพียงใดก็ไม่มีใครยอมรับในความสามารถของนางซูเชียนหลิงเป็นสตรีซึ่งมีความสามารถเป็นที่รู้จักกันดีในเมืองหลวง คนนอกต่างชื่มชมนางที่ทั้งมั่งคั่งร่ำรวยมากด้วยความรู้ความสามารถทั้งด้านดนตรี หมากรุก การประดิษฐ์ตัวอักษร และการวาดภาพ แต่นางกลับไม่ได้เข้าใจทุกเรื่องอย่างถ่องแท้ในชีวิตครั้งก่อนนั้น ซูเชียนหลิงไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของนาง เช่นนั้นจึงเกลี้ยกล่อมซูชิงอู่ไม่ให้เปิดเผยความฉลาดในสิ่งที่นางรู้นอกจากนี
อันที่จริงแล้วบทกวีทั้งสองนั้นใกล้เคียงกันมากโดยเฉพาะในการเปรียบเทียบกันแล้ว เป็นการยากที่จะตัดสินว่าอันไหนดีกว่าหรือแย่กว่ากันแต่ทุกคนล้วนมีความคิดแบบเดียวกัน พวกเขาต่างประทับใจกับบทกวีของซูชิงอู่ในนามของคุณชายห้องที่ห้า พร้อมทั้งรู้สึกว่านางลึกลับเป็นอย่างมากผู้คนต่างอยากรู้อยากเห็น"ตอนนี้ขอประกาศว่า ผู้ชนะในวันนี้คือคุณชายห้องที่ห้า!"“คุณชายหวังหรือ? ดูเหมือนข้าจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของคนผู้นี้มาก่อนเลย...”“ภายในเมืองหลวง มีตระกูลขุนนางมากมายนับไม่ถ้วน หากจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”“แต่เหตุใดผู้มีความสามารถเช่นนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมาจึงไร้ชื่อเสียงเล่า?”หลายคนเริ่มถกเกียงกันซูชิงอู่นั่งเงียบ ๆ อยู่ภายในห้อง นางรู้ดีว่าถึงแม้นางจะไม่ได้มองหาเขา แต่ในไม่ช้า คนผู้นั้นจะต้องตกหลุมพรางนางอย่างแน่นอนเสียงเคาะประตูดังขึ้นอวิ๋นชิงเปิดประตูห้องทันทีอย่างรวดเร็วซูชิงอู่มองตามไป นางเห็นร่างหนึ่งปรากฏที่ประตู ร่าง ๆ นั้นสูงสง่าราวกับต้นสนและไม้ไผ่นางรู้ดีว่าบุรุษผู้มีความสามารถและเยือกเย็นผู้นี้จะสนใจใครก็ตามที่สามารถเอาชนะเขาได้ในทางบทกวี
เจ้าของหอที่อยู่ด้านหลังพูดขึ้น“หาที่นั่งให้แขกผู้มีเกียรติทั้งสอง”"ขอรับ!"บุรุษวัยกลางคนเตรียมเก้าอี้ เขาขอให้ทั้งสองนั่งข้างโต๊ะน้ำชาด้านหนึ่งของห้อง เขาเติมชาลงในถ้วยแล้วหันหลังกลับแล้วจึงออกไปและปิดประตูอย่างระมัดระวังเหลือเพียงสามคนเท่านั้นในห้องเจ้าของหอพูดอีกครั้ง เสียงนั้นคล้ายกับเสียงที่ซูชิงอู่คุ้นเคย เมื่อตั้งใจฟังก็ยิ่งรู้สึกคุ้นชินมากขึ้นเรื่อยๆ“นี่คือชาปี้หลัวชุนที่ดีที่สุด ท่านทั้งสองลองลิ้มรสดูได้”ชิงอู่หยิบถ้วยชาขึ้นมา แต่ทันใดนั้นนางกลับได้กลิ่นพิเศษในถ้วยชาทันทีนางหรี่ตาลงอย่างเงียบ ๆ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจิบมันอวิ๋นเซียงหรูให้ความสำคัญกับมารยาทเป็นอย่างมาก เช่นนั้นหลังจากที่อีกฝ่ายเชื้อเชิญให้ดื่มน้ำชาแล้ว เขาก็ไม่อาจมีว่าความสงสัยใดหลงเหลืออยู่ เขาจึงจิบน้ำชาตามมารยาททันทีเมื่อเห็นว่าทั้งคู่ดื่มชาแล้ว เจ้าของหอที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นก็เดินออกมาเมื่อซูชิงอู่เห็นคนผู้นั้น นางแทบจะพ่นชาที่นางเพิ่งดื่มเข้าไปออกมาทันที มือของนางสั่นเทาถ้วยชาแทบจะหล่นลงพื้นนางคิดไม่ถึงมาก่อนเลยว่าเจ้าของหอผู้ลึกลับที่ซ่อนอยู่หลังฉากกั้นจะเป็น... เย่อวิ๋นถู!เม
ซูชิงอู่ลองคำนวณดู ทองคำแผ่นเมื่อครู่มีมูลค่าอย่างน้อยหนึ่งร้อยตำลึง ทองคำราคาสูงพอที่จะซื้อคฤหาสน์ในหวงเฉิงได้ ทองคำจำนวนสามเท่านั้น ผู้ใดได้ไปเกรงว่าจะได้มีชีวิตที่มั่งคั่งไปอีกสิบปี สำหรับครอบครัวยากจนแล้ว ถือเป็นโชคลาภมหาศาลอย่างแน่นอน! แต่ซูชิงอู่เป็นคนขาดเงินเช่นนั้นหรือ? นางไม่ใช่…… ร้านขายยาตระกูลฟางที่นางถืออยู่ในมือทำกำไรได้มากที่สุดในเมืองหลวง และยังมีสินเดิมหลายแสนตำลึงที่นางเพิ่งได้รับจากจวนอัครเสนาบดี แม้จะพูดไม่ได้ว่าร่ำรวยเท่าที่สุดในแคว้น แต่นางก็เป็นหนึ่งในสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในหวงเฉิง เพียงแต่ไม่มีเหตุผลใดที่นางจะไม่รับทองคำที่ได้มาฟรี ๆ เท่านั้นเอง ซูชิงอู่ลังเลและหวั่นไหวมาก จากนั้นนางก็พูดว่า “เป็นเกียรติของกระหม่อมยิ่งนักที่พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับสามัญชน แต่กระหม่อมมีคำขอพ่ะย่ะค่ะ” เย่อวิ๋นถูเลิกคิ้ว “คำขออะไร?” “มอบทองให้กระหม่อมก่อนได้ไหม?” เย่อวิ๋นถู “...” อวิ๋นเซียงหรู “...” อวิ๋นเซียงหรูคิดไม่ถึงว่าเพื่อนที่เขาเพิ่งรู้จักจะรักเงินมากขนาดนี้ เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ และดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ซูชิงอู่สังเกตเห็นว่าเขาไม่พอใจ แ
ใบหน้าหล่อเหลาของอวิ๋นเซียงหรูยิ่งซีดลง หากเขาถูกคนเหล่านี้พาตัวไป เกรงว่าเขาจะไม่สามารถออกมาได้อีก จู่ ๆ คนสองสามคนก็บุกเข้ามาจากข้างนอก แม้ว่าคนเหล่านั้นจะสวมชุดธรรมดาแต่กลับมีอาวุธติดตัว สีหน้าของเย่อวิ๋นถูเย็นชาและเคร่งขรึม เขาไม่มีความอดทนเลยแม่แต่นิด “เอาตัวไป!”มือและเท้าของอวิ๋นเซียงหรูเย็นเฉียบและมีเหงื่อไหลออกมาบนหน้าผากของเขา แต่เขาทำได้เพียงหลับตาด้วยความสิ้นหวังรอถูกจับ ท้ายที่สุดแล้ว เขาเป็นเพียงบัณฑิตที่อ่อนแอไม่สามารถต้านทานผู้มีอำนาจได้ แต่พฤติกรรมเช่นนี้ขององค์ชายสามแสดงให้เห็นว่าเมื่อสิ่งใดที่ตนไม่ได้มาครองก็ขอทำลายมันทิ้งเสียแขนของเขาถูกรัดไว้แน่น ทำให้อวิ๋นเซียงหรูไม่สามารถขยับได้ ความเกลียดชังลึก ๆ นี้แวบขึ้นมาในแววตาของเขา นิ้วพลันประสานเข้ากับฝ่ามือ เย่อวิ๋นถูเดินเข้ามาเขาด้วยสีหน้าเย็นชา เขามองบัณฑิตรูปงามที่โดนจับกดจนตัวโค้งงอ ดวงตาเรียวของเขาหรี่ลงเล็กน้อย และเขาก็เยาะเย้ยอย่างเหยียดหยาม “อย่าลืมว่านี่คือเมืองหลวง เจ้าควรรู้ว่าไม้ซีกไม่อาจงัดไม้ซุง เอามันออกไป!” “ช้าก่อน!” จู่ ๆ เย่อวิ๋นถูก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง ก่อนที่เขาจะทันได้โต