ซูชิงอู่สังเกตสีหน้าของอัครเสนาบดีซู นางหาได้มีความรู้สึกให้บิดาผู้นี้แม้แต่น้อย นี่ก็เพื่อจะได้จัดการกับหลิงซื่อและซูเชียนหลิงโดยมิต้องเปลืองแรง อย่างไรเสียนางก็ชอบนั่งชมดูการแสดงจากด้านข้างมากกว่าจะลงมือด้วยตนเอง อัครเสนาบดีซูรู้สึกว่าคำพูดของซูชิงอู่ฟังดูมีเหตุผล ดังนั้นเขาจึงผ่อนท่าทีลงแล้วถามว่า "อาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดก็เป็นได้ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พ่อฟังเถอะ พ่อย่อมต้องให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าแน่" ซูชิงอู่เลิกคิ้ว "ช่างเถิดเจ้าค่ะ ต่อให้ข้าเล่าให้ท่านพ่อฟัง ท่านก็คงมิเชื่อข้าหรอก พรุ่งนี้ประมาณยามจื่อ ท่านไปดูที่สวนผูเถา[1]ที่ถูกทิ้งร้างอยู่ท้ายจวนเอาเองเถิด" ซูชิงอู่มิได้บอกเขาว่านางอยากให้เขาเห็นสิ่งใด ทั้งยังเจตนาเก็บเป็นความลับอีกต่างหาก ทว่ากลับทำให้อัครเสนาบดีซูสงสัยถึงขีดสุด ซูชิงอู่กับเย่เสวียนถิงมิได้อยู่ที่นี่ต่อ พวกเขากล่าวร่ำลาสามพี่น้องแล้วขึ้นรถม้ากลับตำหนักไป ราตรีนั้นขวดโอสถที่ซูเชียนหลิงได้มาถูกส่งมาที่ตำหนักองค์ชายสามที่อยู่นอกวังหลวง เขาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักและมิได้รับอนุญาตให้ออกจากตำหนักมาสามเดือนแล้ว ทั้งยังห้ามมิให้ผู้ใดมาเยี่ยมเขาอีกต่า
ซูเชียนหลิงเม้มริมฝีปากด้วยความพึงพอใจ นางเริ่มวาดฝันที่จะได้เป็นพระชายาขององค์ชายตอนนี้นางเป็นบุตรีคนโตที่ถูกต้องตามธรรมเนียมของจวนอัครเสนาบดี ตราบใดที่เย่อวิ๋นถูชอบนาง อนาคตของนางก็จะรุ่งโรจน์อย่างไร้ข้อจำกัดนอกจากนี้ ด้วยอำนาจอิทธิพลของตระกูลเดิมที่อยู่เบื้องหลังฮองเฮา เย่อวิ๋นถูจึงเป็นคนที่มีแนวโน้มจะได้ขึ้นครองบัลลังก์มากที่สุดนางเชื่อในการตัดสินใจของตนเองหลิงซื่ออ้างว่านางต้องการดูแลฮูหยินผู้เฒ่า จึงได้ร้องขอต่ออัครเสนาบดีซูเป็นกรณีพิเศษว่าต้องการไปพักอยู่ที่จวนฮูหยินผู้เฒ่าเป็นเวลาสองวันอัครเสนาบดีซูไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้ในตอนแรก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจข่มตาหลับได้สนิท ทำได้เพียงพลิกตัวไปมาอยู่ภายในห้องเพียงลำพังสวนหลังจวนที่ถูกทิ้งร้าง เกิดเป็นป่ารกทึบ…อัครเสนาบดีซูเหลือบมองไปยังบริเวณนั้นในเวลากลางคืน เขาอดไม่ได้ที่จะเกิดความอยากรู้อยากเห็น ถึงแม้ว่าจะหวาดกลัวอันตรายที่อาจเกิดขึ้นก็ตาม เมื่อถึงเวลากลางดึก เขาก็สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่อย่างลวก ๆ และเดินออกจากเรือนนอนไปภายใต้แสงจันทร์และด้วยความคุ้นชินกับจวนหลังนี้ อัครเสนาบดีซูจึงไม่ได้จุดเทียนแต่อย่างใด ทันที
เขาหรี่ตาลงอย่างมีเลศนัย มองดูซูชิงอู่อย่างมีความหมายลึกซึ้ง“อาอู่...”ทันทีที่ซูชิงอู่ได้ยินเสียงทุ้มลึกดังก้องอยู่ในหู... นางก็รู้สึกอ่อนระทวยลงเล็กน้อยนางไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้เป็นอะไร แต่เขาชอบเรียกชื่อนางเช่นนี้ในเวลาแบบนี้เสมอแก้มของซูชิงอู่แดงระเรื่อ ขณะที่นางละสายตาออกไป จากนั้นจึงถามอวิ๋นจื่อซึ่งเพิ่งมารายงานข่าวอยู่ด้านหน้าว่า “เจ้ารู้ไหมว่าอัครเสนาบดีซูจะจัดการกับหลิงซื่อเช่นไร?”อวิ๋นจื่อตอบว่า “หลิงซื่อถูกทุบตี ไม่เพียงเท่านั้น นางยังถูกจับขังอยู่ในห้องเก็บฟืนอีกด้วย ทั้งวันทั้งคืนไม่ได้ดื่มกระทั่งน้ำ คุณหนูใหญ่ไปร้องขอความเมตตาจากฮูหยินผู้เฒ่าที่เพิ่งหายป่วย ทั้งยังอ้างถึงความโปรดปรานจากองค์ชายสาม เช่นนั้นอัครเสนาบดีจึงยอมไว้ชีวิตนาง”ที่ผ่านมา นางคอยให้คนจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของหลิงซื่ออยู่เสมอจนบังเอิญสังเกตเห็นว่าหลิงซื่อมักจะนัดพบกับบุรุษร่างเตี้ยในชุดดำบ่อยครั้งเพียงแต่คนรับใช้ที่คอยเป็นสายให้นางได้ค้นพบว่าบุรุษผู้นี้มีทักษะศิลปะการต่อสู้และมีกำลังวังชา หากเขาติดตามใกล้ชิดมากเกินควรไปเพียงเล็กน้อย ในไม่ช้าจะต้องถูกจับได้อย่างแน่นอนทว่าคนผู้นี้กลับไม่ใช
“อย่างไรก็เถอะ หลังจากได้เห็นพวกเขาแล้ว ท่านจะรู้เอง”นางจงใจหยอกเย้าเย่เสวียนถิงเย่เสวียนถิงเม้มริมฝีปากบางทันที ดวงตาของเขาดูมืดมน ก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดว่า "ข้าจะไปเดี๋ยวนี้"ขณะที่ซูชิงอู่เฝ้าดูเย่เสวียนถิงกำลังยุ่งวุ่นวายกับการหาใครบางคน ใบหน้าของนางก็ไม่อาจเก็บซ่อนความพึงพอใจไว้ได้เมื่อเย่เสวียนถิงพบกับคนที่มีความสามารถเหล่านี้ เขาจะต้องพอใจในตัวพวกนั้นอย่างแน่นอนและคนเหล่านี้จะกลายเป็นมือขวาของเขาในอนาคต...นางเป็นคนเห็นแก่ตัวเนื่องจากนางได้ก้าวเข้าสู่วังวนแห่งการแย่งอำนาจของราชวงศ์แล้ว เช่นนั้นนางจึงต้องมีอำนาจไว้ในมือด้วยเช่นกันอย่าได้กลายเป็นปลาบนเขียงเพื่อรอให้ใครคนมาเชือดอีก…เย่เสวียนถิงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วคืนนั้น เขากลับไปที่จวนอ๋องเพื่อพบกับซูชิงอู่ซูชิงอู่ลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อนางเห็นเขา ก่อนที่จะรีบก้าวเท้าเดินออกจากห้องเพื่อทักทายเขา“ท่านอ๋อง เป็นเช่นไรบ้าง… ท่านได้พบทุกคนแล้วหรือไม่?” เย่เสวียนถิงพยักหน้าเล็กน้อยให้ซูชิงอู่ "ข้าพาพวกเขาทั้งหมดมาที่นี่แล้ว เจ้าเล่า อยากพบพวกเขาหรือไม่?"ซูชิงอู่เพียงเคยได้ยินชื่อคนเหล่านี้ แต่นางไม่เคยเห็นหน้าของพว
ดวงตาสีเหลืองอำพันนั้นทั้งเย็นชาและถมึงทึง รูปลักษณ์ภายนอกดูงดงามสมสมรรถภาพทั้งสามยืนขึ้นและทักทายกันสวีชิงโม่ถามอวิ๋นเซียงหรู "ท่านเป็นผู้เข้าสอบขุนนางปีนี้ด้วยหรือไม่?"เซียวเฝิงตอบว่า "ข้ามาที่นี่เพื่อสอบศิลปะการต่อสู้เท่านั้น ข้ามั่นใจว่าท่านทั้งสองคงเป็นบัณฑิต"อวิ๋นเซียงหรูพยักหน้าเล็กน้อย แต่ยังคงนิ่งเงียบดวงตาคู่นั้นดูเย็นชา ทำให้ผู้คนที่มองมารู้สึกโดดเดี่ยวอย่างไม่อาจอธิบายได้สวีชิงโม่เอ่ยปากอย่างไม่เกรงใจ "คนเหล่านั้นถามข้าอย่างเป็นปริศนาว่าข้าอยากทำงานให้พวกเขาหรือไม่ แต่ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นใคร ข้าจึงปฏิเสธไปในตอนนั้น คิดไม่ถึงว่าผู้คนจากจวนอ๋องจวนองค์ชายนั้นจะกล้าทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้!”เซียวเฝิงพยักหน้าซ้ำ ๆ "เมื่อครู่ท่านบอกว่าคนเหล่านั้นเป็นคนขององค์ชายสาม เช่นนั้นท่านรู้ได้อย่างไร?"สวีชิงโม่เย้ยหยัน "ข้ารับใช้ของจวนองค์ชายสวมเสื้อผ้าอาภรณ์แตกต่างจากคนรับใช้ของตระกูลขุนนางทั่วไป ข้าโชคดีที่ได้เห็นอาภรณ์ที่คนเหล่านั้นสวมใส่เข้า"เซียวเฝิงตระหนักได้ในทันทีว่า "ข้าเข้าใจแล้ว... ข้าไม่คิดว่าองค์ชายสามจะใช้วิธีการโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ พวกเราไม่เห็นด้วยก
เสียงตะโกนได้ทำลายความเงียบของตรอกลงทันทีไม่นานหลังจากนั้น ร่าง ๆ หนึ่งก็หมดสติไปด้วยความตื่นตระหนกซูชิงอู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนว่าคืนนี้นางจะมาถูกเวลาพอดีนางเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน สวีชิงโม่กับแม่และน้องสาวของเขาอาศัยอยู่ด้วยกัน แต่แม่ของเขาป่วยด้วยโรคปอดอย่างรุนแรง รวมถึงต้องการสมุนไพรราคาแพงเพื่อยืดอายุขัยของนางในเวลานั้นเย่อวิ๋นถูบังเอิญเป็นผู้คุมสอบบุรุษผู้นี้ หลังจากได้รู้ว่าบุรุษผู้นี้มากไปด้วยความสามารถ เขาจึงสืบค้นข้อมูลรอบตัวของอีกฝ่ายทันที จนกระทั่งได้ช่วยชีวิตมารดาของเขาในช่วงเวลาวิกฤติซูชิงอู่จดจำวันนั้นได้อย่างขึ้นใจ ช่วงเวลาสองคืนก่อนการสอบครั้งใหญ่ช่างบังเอิญอย่างยิ่ง เหลือเวลาอีกเพียงสองวันก่อนถึงวันสอบใหญ่…ทันใดนั้น เย่เสวียนถิงก็ดูคล้ายจะเห็นอะไรบางอย่างขณะที่มีคนมาลงจากกำแพงไม่นานนัก เขาก็แบกใครบางคนมาซูชิงอู่ตกตะลึงเล็กน้อย "ท่านอ๋อง คนผู้นี้คือ..."เย่เสวียนถิงเอ่ยว่า "คนผู้นี้อยู่ข้างบ้านสวีชิงโม่ หลังจากที่สวีชิงโม่ออกจากที่นี่แล้ว เขาก็สังเกตสังกาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงออกมา บางทีเขาอาจต้องการส่งสารแจ้งให้ใครบางคนรับรู้"ซูชิงอู่ชะงั
เขาหยุดอยู่หน้าประตูทางเข้าโรงยาอิ๋งชุนพร้อมหอบหายใจอย่างหนัก ด้านหน้าของโรงยาขนาดใหญ่ดูโอ่อ่ากว่าโรงยาขนาดเล็กย่อมหลายเท่า“มีใครอยู่หรือไม่? ข้าอยากพบท่านหมอ!”เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังมาจากประตูบานนั้น…ประตูไม้ถูกผลักให้เปิดจากด้านในคนงานในโรงยาที่เดินออกมามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าเขาสวมอาภรณ์เก่าซอมซ่อ“ท่านป่วยด้วยโรคอะไรมา?”สวีชิงโม่รีบตอบ "ข้าอยากจะขอให้หมอไปรักษามารดาของข้าที่บ้าน ที่นี่มีหมอคนใดพอจะรักษานางได้หรือไม่?"ทันใดนั้น คนงานในโรงยาก็แบมือออกมา “กลางดึกเช่นนี้ ข้าจะต้องไปตามหมอก่อน อีกทั้งยังไม่รู้ว่าต้องประสบความยากลำบากเพียงใด การเดินทางไกลขนาดนี้จะทำให้หมอเหนื่อยไปอีกครึ่งวัน เช่นนั้นท่านต้องจ่ายเงินมาก่อน"สวีชิงโม่ตัวค้างแข็งเขาเอื้อมมือแตะกระเป๋าตนเองเพียงเพื่อจะพบว่าข้างในมีเงินอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นนี่คือเงินที่แม่ของเขาทิ้งไว้ให้เขาซื้อพู่กันและแท่งหมึกเพื่อการสอบขุนนางในปีนี้ เขาพาแม่และน้องสาวเดินทางไกลมายังเมืองหลวง เขาจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเดินมานานเพียงใด อีกทั้งต้องทนทรมานต่อความยากลำบากมากเพียงใด เพื่อจะได้เป
ริมฝีปากสวีชิงโม่สั่นไหว มือของเขาที่ถือเศษเงินก็สั่นเทาด้วยเช่นกัน"แต่ว่าข้า..."ซูชิงอู่ดูคล้ายจะเข้าใจสถานการณ์ของเขา เช่นนั้นนางจึงพูดขึ้นว่า "พิจารณาจากการแต่งกายของท่านแล้ว ท่านคงจะเป็นบัณฑิตผู้เข้าสอบขุนนาง โรงยาตระกูลฟางในเวลานี้เป็นของจวนท่านอ๋องเสวียนแล้ว เพื่อไม่ให้มีปัญหาเกิดขึ้นกับผู้เข้าสอบ เช่นนั้นท่านอ๋องเสวียนจึงกำชับโรงยาไว้โดยเฉพาะว่าหากผู้เข้าร่วมการสอบมาที่นี่เพื่อทำการรักษา ก็ไม่อาจเก็บเงินจากพวกเขาแม้แต่แดงเดียวได้"“ไม่… ไม่เก็บเงินจริงหรือ?”สวีชิงโม่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกราวกับโชคหล่นมาจากฟ้าเขาดูสงวนท่าทีเล็กน้อย "ข้าน้อยขาดเงินเพียงเล็กน้อยชั่วคราว หลังจากนี้ไม่นาน ไม่ว่าจะเป็นหนี้จำนวนเท่าใด ข้าน้อยก็จะจ่ายคืนเต็มจำนวนอย่างแน่นอน..."การแสดงของซูชิงอู่ยังคงนิ่งสงบ “นี่ไม่ใช่สิทธิพิเศษของท่านเพียงผู้เดียว ผู้เข้าสอบทุกคนล้วนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมเช่นกัน จะเป็นการดี หากท่านพอมีเวลาปรึกษาเรื่องยาและอาการเจ็บป่วยที่ท่านต้องการได้”สวีชิงโม่ตอบสนองทันที “ท่านแม่ของข้า จู่ ๆ นางก็ไอเป็นเลือด ข้าอยากเชิญท่านหมอ… ไปตรวจดูนางที่จวน