… "พระชายา ได้เวลาแต่งตัวแล้วเจ้าค่ะ" ยามเที่ยงวันถัดมา นางรับใช้ตัวน้อยทั้งสองคนก็มาเคาะประตู "เข้ามาได้……" น้ำเสียงแหบแห้งที่ฉายแววเกียจคร้านอยู่บ้างของซูชิงอู่ดังขึ้นมาจากในห้อง เห็นได้ชัดว่าใช้เสียงมากเกินไป นางรับใช้ตัวน้อยทั้งสองคนสบตากันแล้วแก้มแดงก่ำ แม้แต่ยามที่เดินเข้าประตูมา พวกนางก็มิกล้าเงยหน้ามองมาที่ซูชิงอู่ ซูชิงอู่ฝืนลุกขึ้นนั่ง ถึงแม้ว่าร่างกายจะรู้สึกสดชื่นขึ้นแล้ว ทว่าความเจ็บปวดและอ่อนเพลียก็ทำให้นางต้องขมวดคิ้ว นางกุมหน้าผากแล้วนวดคิ้ว มีบางอย่างไม่ถูกต้อง เมื่อครั้งอดีตชาติ เย่เสวียนถิงไม่เคยทำตัวเช่นนี้! อย่างไรเสียทั้งสองคนก็เป็นสามีภรรยากัน ต่อให้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเหินห่างกัน ทว่าพวกเขาก็แนบชิดกันอยู่หลายครั้งหลายครา แต่เย่เสวียนถิงก็เอาแต่สงวนท่าทีจนนางคิดว่าบุรุษผู้นี้ไร้ความรู้สึกในเรื่องนั้น... เมื่อเดือนก่อน เย่เสวียนถิงเองก็ฝึกการอดกลั้นและควบคุมตนเอง ส่วนนางก็รู้สึกว่าตนเองสามารถรับมือได้อย่างดีเยี่ยม แต่เมื่อคืนเขาแทบมิต่างอันใดจากพยัคฆ์และสุนัขป่า ถ้านางหาได้มีร่างกายแข็งแรงก็คงจะตายคาเตียงไปแล้ว นางคร้านจะใส่ใจแล้ว! ยาม
เย่ชิวหมิงจึงยกมือขึ้นแล้วกดลงไป ชั่วครู่ถัดมา เขาก็ล้มลงพื้นพร้อมบิดตัวด้วยความเจ็บปวด "อึก……" ความเจ็บปวดรุนแรงทำให้เขาถึงกับร้องไม่ออกไปชั่วขณะ มีเพียงแค่เสียงคำรามต่ำ ๆ ดังออกมาจากลำคอ ทั้งหน้าผากและแผ่นหลังของเขาพลันชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อกาฬ ราวกับว่าเย่ชิวหมิงกำลังหายใจไม่ออกจนต้องกุมหน้าอกแล้วหอบหายใจแรง ๆ ความรู้สึกหวาดกลัวที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาท่วมท้นจิตใจของเขา จากนั้นเย่ชิวหมิงก็อดมิได้ที่จะเงยหน้ามองซูชิงอู่ ซูชิงอู่จึงยิ้มเยาะพลางถามวว่า "เป็นอย่างไรบ้างเพคะ น่าตื่นเต้นใช่หรือไม่?" เมื่อเย่ชิวหมิงรู้สึกว่าความเจ็บปวดทุเลาลงแล้ว เขาก็ลุกขึ้นจากพื้นด้วยท่าทีมืออ่อนเท้าอ่อน อาภรณ์ที่อยู่บนร่างเกิดรับย่นขึ้นมาเสียแล้ว ทว่ายามนี้สีหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยหวาดกลัวและหาได้สนใจเรื่องรูปลักษณ์อีกต่อไปแล้ว เย่ชิวหมิงรีบเอ่ยถามขึ้นมาทันทีว่า "ซูชิงอู่ ในเมื่อเจ้ามีวิธีเช่นนั้นอยู่ เจ้าก็น่าจะสามารถควบคุมชีวิตของทุกคนได้ไม่ยากเย็น ไยเจ้าต้องเลือกข้าด้วยเล่า?" เขารู้สึกสับสนและแค้นใจอยู่บ้าง ความรู้สึกของการที่ความเป็นความตายตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้ใดสักคนหาใช่เรื่
"พระชายา ท่านอ๋องกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!" ยามที่ซูชิงอู่รำลึกถึงอดีตอยู่นั้น จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกขานของบ่าวรับใช้ที่อยู่นอกประตู รอยยิ้มบนใบหน้าพลันแข็งทื่อไปทันที ซูชิงอู่รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่นางกลับขาอ่อนจนเกือบล้มลงกับพื้น "พระชายา!" อวิ๋นจื่อกับอวิ๋นชิงรู้สึกตกใจแล้วรีบเข้าไปหมายจะช่วยนาง แต่กลับโดนซูชิงอู่ผลักออกไป นางเอ่ยด้วยท่าทีร้อนรนกังวลใจว่า "พวกเจ้าสองคนบอกท่านอ๋องว่าข้ายังนอนหลับอยู่ ห้ามมิให้มารบกวนข้า!" นางรู้สึกหวาดกลัวจริง ๆ! เรื่องเมื่อคืนเกือบจะทิ้งเงามืดเอาไว้ให้ซูชิงอู่แล้ว! นางยกกระโปรงแล้ววิ่งผ่านประตูข้าง ทิ้งไว้เพียงประตูโถงรับรองแขกเอาไว้เบื้องหลัง เมื่อเย่เสวียนถิงเปิดประตูโถงรับรองแขกที่อยู่เบื้องหลังของนาง เงาร่างสูงเพรียวของบุรุษผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้น อวิ๋นจื่อกับอวิ๋นชิงจึงรีบเข้ามาโค้งคำนับและแสดงความคารวะ "ท่านอ๋อง!" เย่เสวียนถิงเอ่ยถามว่า "พระชายาอยู่ที่ไหนกัน?" หลังจากเขากลับมาก็รีบไปหาซูชิงอู่ที่ห้องนอนใหญ่พร้อมกับซื้อขนมซิ่งเหรินของโปรดของนางมาให้ด้วย แต่เขากลับไม่พบนาง ทันทีที่เขาได้ยินจากบ่าวรับใช้ของตนบอกว่าซูชิงอู่
เย่เสวียนถิงยิ้มจาง ๆ พลางกล่าวว่า "เขาถูกโบยห้าสิบไม้และถูกกักบริเวณสามเดือน" ซูชิงอู่พยักหน้า นางคาดเดาเกือบถูกต้องแล้ว "เขาเป็นโอรสของฮองเฮา ทั้งยังมีตระกูลมู่หรงคอยหนุนหลังอยู่ ถ้ามิใช่เพราะเจียวกุ้ยเฟยสอดเข้ามายุ่ง เขาก็น่าจะมิถูกโบยห้าสิบไม้" เย่เสวียนถิงหลุบตาลง "ไม่หรอก" ซูชิงอู่เลิกคิ้ว "ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน?" เมื่อเย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้น ดวงเนตรสีดำสนิทราวกับสระน้ำเย็นของเขาก็มิอาจมองเห็นประกายแสงใด ๆ "ข้าจะหักขาของเขาอีกข้าง" ระหว่างที่กำลังกินขนมอยู่นั้น ซูชิงอู่ก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ เมื่อเห็นสีหน้าของเย่เสวียนถิงกลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว นางก็รู้สึกว่าเมื่อสักครู่ตนคงจะเข้าใจผิด ในใจของนางแล้ว ท่านอ๋องมีอุปนิสัยเด็ดเดี่ยวและเที่ยงธรรม มิหนำซ้ำยังมีจิตใจเมตตาธรรม เขาจะทำเรื่องต่ำช้าอย่างการลักพาตัวคนกลางดึกได้อย่างไรกันเล่า? ซูชิงอู่ส่ายหน้าพลางหรี่ตาด้วยท่าทีพึงพอใจพร้อมเพลิดเพลินไปกับขนม เย่เสวียนถิงรินน้ำชาให้นาง "ค่อย ๆ กิน ระวังสำลักเข้าล่ะ" ซูชิงอู่เชิดคางเล็กน้อยพลางมองเสี้ยวหน้าหล่อเหลาของเขาแล้วยิ้มอ่อนโยน นางคิดว่าหากตอนนี้หยุดเวลาลงได้ก็คง
แคว้นหนานเย่ให้ความสำคัญกับความกตัญญู ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง ซูชิงอู่กับอัครเสนาบดีจะร้าวฉานสักเพียงใด แต่นางก็ยังต้องรักษาหน้าตาเอาไว้ เย่เสวียนถิงย่อมเข้าใจความจริงข้อนี้ ฉะนั้นเขาจึงให้หน้าแก่ซูชิงอู่ ซูชิงอู่เดินเคียงเย่เสวียนถิงพลางกุมมือเขาไว้เบา ๆ ทันทีที่อัครเสนาบดีซูเห็นนาง เขาก็อดมิได้ที่จะเส้นโลหิตบนหน้าผากเต้นดังตุบ ๆ ผ่านไปเพียงแค่เดือนกว่านับตั้งแต่เกิดเรื่อง ยามนี้โทสะในใจที่แต่เดิมสลายไปแล้วกลับปะทุขึ้นมาอีกครั้ง "การที่พระชายามาเยี่ยมเยือนโดยมิได้คำนึงถึงความแค้นเมื่อครั้งเก่าก่อน ชวนให้กระหม่อมซาบซึ้งใจยิ่งนัก" อัครเสนาบดีซูช่างเจ้าคารมคมคายยิ่งนัก เขามักจะเตือนให้ซูชิงอู่สำเหนียกตนเองอยู่เสมอ เย่เสวียนถิงจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชาว่า "เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ" เขาพาซูชิงอู่กลับเข้าไปในจวนอัครเสนาบดีอีกครั้ง บ่าวรับใช้ทั้งสองข้างทางต่างแสดงคำนับ แม้แต่หลิงซื่อเองก็ยังก้มหน้าด้วยท่าทีนอบน้อมและมิกล้าผลีผลามเอ่ยวาจาใดออกไป ตลอดทางที่เดินมาถึงเรือนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังพักฟื้น ซูชิงอู่ก็เห็นพี่ชายทั้งสามคนมาเช่นกัน พี่ใหญ่ซูหัวจิ่นสีหน้าเคร่งขรึมอย่างเห็
เมื่อซูชิงอู่ได้ยินคำว่าโอสถรักษาชีวิต นางก็เข้าใจทันที นางหันหน้าไปมองอัครเสนาบดีซูแล้วพลันเอ่ยถามขึ้นมาทันที "ท่านเล่าเรื่องนี้ให้หลิงซื่อฟังกระนั้นหรือ?" "เจ้าเรียกมารดาตนเองด้วยชื่อนางได้อย่างไรกัน?" ซูชิงอู่หรี่ตา ต่อให้เขาไม่ตอบ ทว่านางก็รู้คำตอบแล้ว นางมองมาที่บรรดาพี่ชายของตนเองอีกครั้ง ในที่สุดนางก็ทอดสายตามองมาที่ซูหัวจิ่น ซูหัวจิ่นมีอุปนิสัยสุขุมรอบคอบและมีอนาคตไกลที่สุดในตระกูลเลยก็ว่าได้ เขาประสบความสำเร็จในเส้นทางขุนนางตั้งแต่อายุยังน้อย และนับได้ว่าเป็นผู้ที่คล้ายกับอัครเสนาบดีซูมากที่สุด เพราะฉะนั้นภายในอุปนิสัยเถรตรงจึงมีความไม่กล้าคิดตัดสินใจอยู่ด้วย "พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าข้าควรจะมอบโอสถนี้ให้ท่านย่าหรือไม่เจ้าคะ?" เห็นได้ชัดว่านางกำลังลองใจอยู่ ซูชิงอู่เชื่อว่าเธอได้พยายามช่วยชีวิตพี่ใหญ่ของนางในลานล่าสัตว์อย่างสุดความสามารถแล้ว ซูหัวจิ่นเม้มปาก ทว่ากลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้นมาว่า "นั่นเป็นสิ่งที่ท่านแม่มอบให้แก่เจ้า หามีผู้ใดสั่งให้เจ้ามอบให้ผู้อื่นได้ไม่" ซูเชียนหมิงเองก็พลันยืนอยู่ตรงหน้าซูชิงอู่ เขาอ้าปากร้องตะโกนใส่อัครเสนาบดีซูขึ้นม
"ท่านอัครเสนาบดี!" หลิงซื่อพลันดวงตาเบิกกว้างแล้วมองอัครเสนาบดีซูด้วยความเหลือเชื่อ ความไม่ยินยอมพร้อมใจจวนเจียนจะพรั่งพรูออกมาอยู่รอมร่อ ทว่าอัครเสนาบดีซูกลับกดไหล่นางเอาไว้ "ชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่ากำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย ต่อให้เจ้ายอมก้มหัวลง แต่จะแตกต่างอันใดกระนั้นหรือ?" หลิงซื่อโมโหเสียจนหน้าตาแดงก่ำและทรวงอกกระเพื่อมรุนแรง ทว่าเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าซูชิงอู่เกิดต่อต้านขึ้นมาและมิยอมมอบโอสถให้ หลิงซื่อก็จะได้ชื่อว่าอกตัญญู พาลให้ชื่อเสียงต้องมัวหมองไปทั่วทั้งเมืองหลวง! แต่ซูชิงอู่กลับหาได้เอ่ยเช่นนั้นไม่ แค่ขอร้องให้นางมอบโอสถล้ำค่าออกมาก็ทำมิได้หรือ? นางก็เพียงแต่อยากได้คำขอโทษจากบิดาของนางกับหลิงซื่อ ถ้าหากอัครเสนาบดีซูกับหลิงซื่อมิได้ฉวยโอกาสเช่นนี้ นางก็จะถอยหลังก้าวใหญ่และยินดีมอบโอสถให้พวกเขาอีกต่างหาก ทว่านางเปลี่ยนใจและชักโอสถกลับคืนมา ดูท่าพวกเขาคงต้องเป็นคนอกตัญญูเสียแล้ว ดังนั้นหลิงซื่อจึงได้แต่ทนรับความอัปยศอดสูแล้วคุกเข้าลงกับพื้น "ข้าผิดไปแล้ว ข้ามิควรจะเอาสิ่งใดไปจากฮูหยินผู้ล่วงลับ พระชายา ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย..." ซูชิงอู่มองดูอีกฝ่าย ทว
ซูฉางเซิง "..." หลังจากรอคอยอยู่เป็นนาน ซูฉางเซิงก็ได้คำตอบ "เช่นนั้น...ถ้าหากท่านย่ากินเข้าไป..." ซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ "ยังไม่ถึงกับหมดหวังไปเสียทีเดียวหรอก ถ้ากินเข้าไปก็อาจจะเกิดอาการพิษต้านพิษก็ได้" ซูฉางเซิงรู้สึกว่าคำพูดของซูชิงอู่ฟังดูสมเหตุสมผลอย่างน่าประหลาด ทันใดนั้นซูชิงอู่ก็พลันยกยิ้มมุมปาก "ยิ่งไปกว่านั้น ท่านอ๋องก็อยู่ที่นี่ด้วย ต่อให้พวกเขารู้ ผู้ใดจะกล้าลงไม้ลงมือกับข้าเล่า?" สายตาของซูฉางเซิงทอดมองอ๋องเสวียนที่มีสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็กระตุกมุมปาก เกรงว่าต่อให้ระดมยอดฝีมือจากแคว้นหนานเย่มาที่นี่ พวกเขาก็คงมิอาจต่อกรกับคนผู้นี้ เขาตบไหล่ของซูชิงอู่ "พอเจ้ามีคนคอยหนุนหลังก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว" ซูชิงอู่ยิ้มโดยมิได้กล่าวสิ่งใด ซูเชียนหลิงตามท่านหมอเดินผ่านประตูเข้าไป นางยื่นมือออกมาหาท่านหมอ "มอบโอสถรักษาชีวิตมาให้ข้าเสีย" ท่านหมอรีบยื่นขวดโอสถให้พร้อมรอยยิ้มประจบประแจง "คุณหนูใหญ่ ได้โปรดอย่าลืมดอกผลของข้าน้อยเชียวนะขอรับ" ซูเชียนหลิงกลอกตาใส่เขาแล้วคว้าเอาขวดโอสถไป "ข้าไม่ลืมหรอกน่า เมื่อข้าอภิเษกกับองค์ชายสามก็จะกลายเป็นพระชายารัชทายาทและฮองเ
หลังจากความเงียบงัน ไม่รู้ว่าใครเริ่มตะโกนขึ้นมาท่ามกลางฝูงชน“ท่านอ๋องผู้เกรียงไกร!”เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความยินดีทำให้ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นพูดตามกันไปทันที และสีหน้าที่ตึงเครียดของคนเหล่านั้นก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลงหลังจากที่เซียวเฝิงและคนอื่น ๆ กลับมาที่เมือง เย่เสวียนถิงก็พูดคุยสั้น ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของทางแคว้นอู๋ตะวันตก“ตอนนี้กองทัพแคว้นอู๋ตะวันตกกำลังขาดเสบียง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะมุ่งเน้นไปที่การหาเสบียงให้กับของกองทัพ จงส่งคนไปเฝ้าคลังเสบียงเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หน่วยสอดแนมของแคว้นอู๋ตะวันตกลอบเข้ามาโจมตี”ดวงตาของเซียวเฝิงเป็นประกาย เขายอมรับงานสำคัญนี้ทันที“ท่านอ๋องโปรดวางใจ กระหม่อมจะนำคนไปเฝ้าคลังเสบียงทั้งกลางวันและกลางคืนเลยพ่ะย่ะค่ะ”เย่เสวียนถิงพยักหน้าเบา ๆ "ทหารม้านับหมื่นที่ข้าพามานั้นล้วนมาจากเมืองฉี เจ้าจงจัดการรวมพวกเขาเข้ากองทัพโดยเร็วที่สุด"เซียวเฝิงรับคำสั่งและออกไปพร้อมกับคนอื่น ๆเย่เสวียนถิงสั่งให้ทุกคนออกไป เหลือเพียงซูชิงอู่ที่อยู่ข้างหลังตน เขาพานางเข้าไปในกระโจมทหาร ทันทีที่หันไปมอง นางก็เห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบพร้อมกับเบิกตาก
ตามที่พวกเขาคาดไว้ ใช้เวลาไม่นานก่อนที่ม้าหลายหมื่นตัวจะปรากฏตัวที่พื้นราบ พวกเขาค่อย ๆ เข้าใกล้เมืองชายแดนผ่านขอบฟ้าและแสงสลัวดวงตาของเซียวเฝิงเป็นประกาย เขาตะโกนเสียงดัง “เปิดประตูเมือง!"ทุกคนต่างลงไปต้อนรับ เมื่อพวกเขาเห็นเย่เสวียนถิงอยู่บนหลังม้า พวกเขาทั้งหมดดูเหมือนได้พบกับเสาหลักที่พึ่ง และหัวใจที่หวาดหวั่นก็กลับมาสู่สภาวะปกติในสายตาของคนกลุ่มนี้ การดำรงอยู่ของเย่เสวียนถิงคือการสนับสนุนทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา บุคคลที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาได้กลายเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามที่มีอำนาจทุกอย่างและอยู่ยงคงกระพันในใจพวกเขาน่าเสียดายที่พวกเขาไม่รู้ว่าเย่เสวียนถิงอดทนต่อความกดดันมากเพียงใด และยากเพียงใดที่จะก้าวไปทีละก้าวตั้งแต่อายุยังน้อยมาจนถึงจุดที่เขาอยู่ทุกวันนี้เขาเป็นเพียงมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้ามิฉะนั้นเขาคงไม่สูญเสียขาข้างหนึ่งไปด้วยน้ำมือของศัตรูเพราะถูกทรยศจากคนที่ไว้ใจทว่าคนหนุ่มที่เคยแพ้พ่ายก็กลับมาสู่สนามรบอย่างยืนหยัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน“กระหม่อมขอถวายความเคารพท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวเฝิงเป็นคนแรกที่ก้าวไปข้างหน้า พลางถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดว่า "ภารกิ
เมื่อพูดถึงกุ้ยเฟย แม้แต่เหยียนจั๋วก็แสดงความกลัวขึ้นมาโชคดีที่อีกฝ่ายแอบมาเข้าฝ่ายเขาและช่วยเหลือเขาในการเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไปครั้งนี้ในระหว่างการเดินทางไปยังแคว้นหนานเย่ พี่ชายสองคนของกุ้ยเฟยผู้นั้นได้ถูกส่งมาช่วยเหลือหลังจากได้เห็นความร้ายกาจของปรมาจารย์กู่ที่อยู่ในมือเย่เสวียนถิงแล้ว เหยียนจั๋วก็แทบรอไม่ไหวกับการมาถึงของสองคนนั้นทักษะการใช้กู่ไม่มีผลในสงครามขนาดใหญ่ แต่สามารถมีบทบาทสำคัญในสงครามเล็ก ๆ เช่นหมู่ทหารเป็นพันนายนี้ได้เช่นเดียวกับนักธนูที่เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ...แผนนี้ทำให้การสนับสนุนจากกองทัพแนวหลังไม่สามารถมาได้ทันเวลาเมื่อทหารที่ติดตามเหยียนจั๋ว ได้ยินคำพูดของผู้เป็นแม่ทัพ พวกเขาทั้งหมดก็ดูหวาดกลัว และพวกเขาก็เข้าใจถึงความน่าสะพรึงกลัวของสิ่งนี้“ท่านแม่ทัพ ไม่มีวิธีป้องกันเลยหรือขอรับ?”เหยียนจั๋วหลุบตาลง "ใช่ แต่ก็ยังต้องรอ ตอนกลางคืนทุกคนควรระวังตัวและอย่าปล่อยให้แมลงวันตัวไหนบินเข้ามาได้อีก!""ขอรับ!"หลังจากรับคำสั่ง กองทัพทั้งหมดของแคว้นอู๋ตะวันตกจึงทำความสะอาดจัดระเบียบเมืองโม่เฉิงทันทีและเหยียนจั๋วเองก็ร่วมเดินทางไปยังกับเจ้าชายและคนอื่น
กำแพงเมืองสูงถึงเพียงนี้ แต่ยังสามารถยิงจากข้างล่างขึ้นไปได้น่ากลัวเหลือเกิน“ความจริงเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมและคนอื่น ๆ แทบไม่อยากเชื่อ แต่อีกฝ่ายก็ได้ทำไปแล้ว หากศัตรูถือหน้าไม้ล้อมเมืองเอาไว้ ท่านแม่ทัพก็คงจะไม่ยื่นหน้าออกไป…”การป้องกันเมืองชายแดนแบบนี้สมบูรณ์มาก หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ การปิดล้อมเมืองจะใช้เวลานานตัวอย่างเช่น กองทัพของแคว้นอู๋ตะวันตกมีมากกว่าจำนวนนายทหารของปราการเจิ้นเป่ยถึงเท่าตัวอย่างชัดเจน แต่หากจะบุกเข้าไปนั้นไม่ง่ายเลยพวกเขาต้องใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเพื่อดูสัญญาณแรกของชัยชนะ แต่แล้วเมืองโม่เฉิงเล่า?ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วยาม อีกฝ่ายก็ยึดเมืองโม่เฉิงได้ทั้งเมืองได้ทั้ง ๆ ที่มีจำนวนคนมากกว่าพวกเขาหลายหมื่นคนแม้แต่ทหารชั้นยอดก็ไม่สามารถเร็วถึงเพียงนั้นได้!“เย่เสวียนถิงเปิดประตูเมืองได้อย่างไร?”“ข้าน้อยก็ไม่ทราบ...ไม่ทราบว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรขอรับ จู่ ๆ เหล่าทหารที่อารักเมืองก็หล่นลงมาจากกำแพงเมืองทีละคนในสภาพน้ำลายฟูมปาก แลดูน่ากลัวมาก ข้าน้อยไม่ได้อยู่ด้านบน ตอนนั้นจึงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น...”ท่าทางของเหยียนจั๋วแข็งทื่อไปเล็กน้อยแม้ในเ
เหยียนจั๋วโกรธจนดวงตาเป็นสีแดง“เป็นฝีมือของใคร ทหารอารักขาเมืองอยู่ที่ไหน?”ทันทีที่เขาตะโกนอย่างดุดัน บุรุษผู้หนึ่งก็วิ่งเข้ามาด้วยความสิ้นหวัง“เรียนท่านแม่ทัพ ทหารอารักขาเมืองระดับสูง ดะ…ได้ตายไปแล้วขอรับ…”สิ้นคำพูด เหยียนจั๋วก็มีสีหน้าโกรธจัดขณะเดียวกัน รถม้าขององค์รัชทายาทก็กำลังเข้ามาใกล้จากด้านหลัง และเสียงพูดแขวะของอู๋ถานก็ดังมาจากด้านใน“แม่ทัพเหยียน หากเจ้าไม่ชะลอการเปิดศึก ไม่พูดว่าเย่เสวียนถิงอยู่ในเมือง แล้วให้มีการสังเกตการณ์การสงบศึกเป็นเวลาสามวัน จะมีการลอบโจมตีจากแนวหลังได้อย่างไร!”คำพูดขององค์รัชทายาทเหมือนเป็นการทุบหัวของเหยียนจั๋ว ซึ่งทำให้เหยียนจั๋วโกรธมากยิ่งขึ้นแต่ถึงอย่างไรคนตรงหน้าก็เป็นองค์รัชทายาท เขาจึงไม่สามารถทำตัวเสียมารยาทอย่างเปิดเผยได้เขากล่าวเสียงทุ้ม “องค์รัชทายาท นี่เป็นแผนการตลบหลังของเย่เสวียนถิง ตราบใดที่เราทิ้งเมืองโม่เฉิงไว้กับคนของเรา เราก็จะถูกโจมตีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความเร็วในการเดินทัพของกองทัพที่แข็งแกร่งสี่แสนนายจะเทียบกับกองทัพที่มีทหารม้าเพียงไม่กี่หมื่นนายได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”องค์รัชทายาทหรี่ตาลง “เถียงข้าง ๆ คู ๆ !
“นะ...นี่มันเกิดอะไรขึ้น แคว้นอู๋ตะวันตกถอนกำลังแล้ว!”เซียวเฝิงเก็บดาบและยืนอยู่บนกำแพงเมือง เขาลูบเลือดที่เลอะไปทั่วใบหน้าของตัวเองพลางหลุบตาลงเล็กน้อยแล้วพูดว่า "จะเป็นเพราะอะไรได้ล่ะ แน่นอนว่าเป็นฝีมือของท่านอ๋องน่ะสิ"เมื่อได้ยินเขาพูดข้อมูลดังกล่าว ทุกคนก็มองหน้ากันขณะเดียวกัน ณ เมืองโม่เฉิงบริเวณชายแดนของแคว้นอู๋ตะวันตกกองทหารอารักขาเมืองถูกกำจัดไปหมดแล้วปราการชายแดนแห่งนี้ตกมาอยู่ในมือของเย่เสวียนถิงอย่างสมบูรณ์เย่เสวียนถิงยืนอยู่ที่ประตูเมืองพร้อมกับหอกในมือ และสั่งให้คนตัดธงของแคว้นอู๋ตะวันตกออกคนผู้หนึ่งที่สวมชุดเกราะทหารธรรมดายืนอยู่ข้างหลังเขา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ก็เผยให้เห็นใบหน้าของซูชิงอู่ ซึ่งจงใจทำให้หน้าของตัวเองดำขึ้นมากนางไม่ได้ปลอมตัวเยอะเกินไป เพียงแค่เปลี่ยนลักษณะใบหน้าของนางเพียงเล็กน้อยเท่านั้นซูชิงอู่ไพล่มือไว้ด้านหลังพลางมองลงไปที่กำแพงเมืองด้วยท่าทางที่ค่อนข้างภาคภูมิใจ“ท่านอ๋อง พาข้ามาด้วยมีประโยชน์มากเลยใช่ไหมเล่า”เย่เสวียนถิงหันไปเหลือบมองนาง สายตาของเขาอบอุ่น และเสียงของเขาก็อ่อนโยนอย่างยิ่ง“อาอู่รู้ได้อย่างไรว่ามีทางลัดมาถึงที่นี
การต่อสู้ครั้งนี้ดุเดือดมากหินไฟกำลังทะยาน ลูกธนูถูกยิงออกไป มีเลือดและการสังหารอยู่ทุกหนแห่งเมื่อเวลาผ่านไป ทางปราการเจิ้นเป่ยก็เสียเปรียบรองแม่ทัพบางคนหมดแรงแล้ว เมื่อมองไปที่ศัตรูที่ดูเหมือนจะวิ่งเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด พวกเขาก็ถามด้วยเสียงแหบห้าว “ท่านแม่ทัพเซียว ท่านอ๋องอยู่ที่ใด?”เซียวเฝิงที่ตามตัวเต็มไปด้วยเลือดและเข่นฆ่าศัตรูจนหยุดไม่ได้ เขาเม้มริมฝีปากแน่นและหายใจหอบเล็กน้อยขณะใช้ดาบยาวค้ำกับพื้น“ไม่รู้”คำตอบของเขาทำให้สีหน้าของรองแม่ทัพผู้นั้นแข็งค้าง“ไม่รู้อะไร...ท่านอ๋องอยู่ในค่ายทหารไม่ใช่หรือ? ตอนนี้คนของเรากำลังจะสูญเสียขวัญกำลังใจไปหมดแล้ว รีบไปขอให้ท่านอ๋องช่วยคิดหาวิธีสิ!”กองกำลังศัตรูมีจำนวนมากกว่าสองเท่าแม้การป้องกันเมืองจะง่ายกว่าการโจมตี แต่หากยังฝืนต่อไป พวกเขาก็จะไม่สามารถปกป้องเมืองได้เซียวเฝิงไม่ได้พูดอะไร เพียงมองไปในระยะไกลและหัวเราะทันที “อย่าถามอะไรไร้สาระ ข้าสั่งให้ทำอะไรก็ตั้งใจทำไป”เขาตำหนิรองแม่ทัพ และหลังจากพักแล้วเขาก็นำคนของเขาออกไปสังหารศัตรูอีกครั้งมีบางคนปีนขึ้นไปตามบันไดบนกำแพงและถูกคนด้านบนทุบตีลงอีกครั้ง หมุนเวียนไปซ้ำแล้
เซียวเฝิงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองไปที่รองแม่ทัพที่อยู่ข้าง ๆ "เหตุใดอีกฝ่ายถึงไม่ขยับกัน?"รองแม่ทัพก็มีสีหน้าสับสนเช่นกัน "เป็นไปได้ว่าเขาจงใจวางกับดัก รอให้พวกเราย่ามใจ แล้วบุกฝ่าเข้ามาไปในคราวเดียว!"เมื่อเห็นว่าคำพูดของอีกฝ่ายหนักแน่นมาก เซียวเฟิงก็ไม่สามารถคิดถึงเหตุผลอื่นใดไปได้ชั่วขณะ “แม้จะต้องตื่นตัวเอาไว้ แต่ก็ต้องพักผ่อน จงรออยู่ที่นี่ดูท่าทีอีกฝ่าย ข้าจะสั่งให้มีการผลัดเปลี่ยนเวรยามเพื่อสลับกันพักผ่อน หากมีอะไรเกิดขึ้น ให้รีบรวมตัวกันโดยไว!”"ขอรับ!"หลังจากนั้น ฝ่ายปราการเจิ้นเป่ยทั้งหมดเริ่มผลัดกันเฝ้าประตูเมืองหลังจากเฝ้าระวังเป็นเวลาสามวันติดต่อกัน แต่กองทัพหลักของอีกฝ่ายก็ยังคงนิ่งเฉยทั้งสองฝ่ายต่างสับสนกับคำสั่งสายฟ้าแลบ พวกเขารออย่างวิตกกังวล และพลังของพวกเขาก็ลดลงไปอย่างมากเหตุผลที่เหยียนจั๋วไม่ได้นำคนของเขาเข้าโจมตีทันที เพราะเขาเคยปะทะกับเย่เสวียนถิงมาหลายครั้งแล้ว และรู้จักนิสัยของอีกฝ่ายค่อนข้างดีเขาใช้กลยุทธ์ม่านบังตาเพื่อสร้างความสับสนในการตัดสินของตนเองและผู้อื่น บางทีอาจคาดหวังให้เขาส่งทหารไปตอนนี้แล้วจับเขาโดยไม่ทันระวังตัวหากนายทหารระดับสูงที่
ชายบนหลังม้าตัวสูงและผิวที่เปลือยเปล่าของเขามีสีเข้มเล็กน้อย ใบหน้าของเขาคมคายและดวงตาที่เฉียบแหลม“เคยบอกว่ามีคนในเมืองหลวงเห็นเย่เสวียนถิงด้วยตาของพวกเขาเองไม่ใช่หรือ?”เหยียนจั๋วพูดเสียงเย็นและหลุบตาลงเล็กน้อย“ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ...”“หากข่าวที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริง ตอนนี้ก็ว่าเป็นสถานการณ์จั๊กจั่นลอกคราบ ประการแรกคือเย่เสวียนถิงทั้งสองมีหนึ่งคนที่เป็นตัวปลอม ประการที่สองคือข่าวที่พวกเจ้าได้รับมาเป็นข่าวปลอม!”“เรียนท่านแม่ทัพ ข่าวนี้เป็นความจริงอย่างแน่นอนขอรับ!”เหยียนจั๋วพยักหน้าเบา ๆ เขาเข้าใจความจริงของเรื่องนี้แล้วเขาเงยหน้ามองไปยังประตูชายแดน ขณะที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองทหารนับหมื่น ม่านตาของเขาหดตัวลงด้านหลังก็มีราชรถถูกลากออกมา และม่านก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างของบุคคลที่อยู่ข้างในองค์รัชทายาทแห่งแคว้นอู๋ตะวันตก สวมเครื่องแบบราชสำนักสีเหลืองสว่างขององค์รัชทายาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงตัวตนของเขา เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างมาก มีรูปร่างผอมเพรียวและผิวค่อนข้างซีดเหยียนจั๋วได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวที่อยู่ข้าง ๆ จึงหันกลับมาทันทีและทำความเคารพอย่างนอบน้อม “องค์รัชทายา