เจียวกุ้ยเฟยพินิจพิเคราะห์สีหน้าของซูชิงอู่โดยละเอียดถี่ถ้วน แต่พระนางกลับมิพบความผิดปกติใดบนใบหน้าของอีกฝ่าย หรือว่าตนจะคาดเดาผิดไป? เจียวกุ้ยเฟยที่รู้สึกคลางแคลงใจรีบปรับสีหน้าทันที "หามีอันใดไม่ ข้าแค่รู้สึกเบื่อนิดหน่อยก็เลยคิดจะเชิญพี่ ๆ น้อง ๆ สักสองสามคนมาสังสรรค์กัน" ทันใดนั้นพระนางก็โบกมือแล้วสั่งนางกำนัลข้างพระวรกายว่า "ไปเชิญพระชายาองค์ชายสามกับท่านหญิงเสวี่ยอิ๋งมาที" นับตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่พบหลินเสวี่ยอิ๋งก็ไม่เจอกันมากว่าเดือนหนึ่งแล้ว ซูชิงอู่ก็เม้มปากเล็กน้อย เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเจตนาทำเช่นนี้และมิใช่คนดิบดีอันใดเลย ทว่านางก็หาได้ใส่ใจขุนพลพ่ายศึกทั้งสองคนนี้ หลังจากนั้นไม่นาน หลินเสวี่ยอิ๋งกับโจวหรุ่ยพร้อมด้วยเหล่านางรับใช้และหมัวมัวก็เข้ามาแสดงคำนับกุ้ยเฟย "เสวี่ยอิ๋งขอถวายบังคมฮ่องเต้กับเจียวกุ้ยเฟย รวมทั้งเสด็จป้าและพระสนมทุกพระองค์เพคะ" เมื่อเจียวกุ้ยเฟยได้ยินเช่นนี้เข้า พระนางก็ยกยิ้มมุมปาก "นับวันท่านหญิงเสวี่ยอิ๋งก็ยิ่งรูปโฉมงดงามมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้ารู้สึกเบิกบานใจที่ได้เจอเจ้านัก" "ขอบพระทัยเสด็จป้าที่ทรงชมเพคะ เสวี่ยอิ๋งมิบังอาจรับไว้" ขณะที
สีหน้าเช่นนั้นพกพาอารมณ์แห่งชัยชนะมาด้วยอย่างเห็นได้ชัด ซูชิงอู่เหลือบมองกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ข้างบนแล้วค่อยหันมามองหลินเสวี่ยอิ๋งที่เบิกบานใจถึงเพียงนั้น นางก็พลันเข้าใจขึ้นมาทันที เสียงตีกลองและดอกไม้ที่โปรยไปทั่วเพื่อสร้างความขบขันให้ฮ่องเต้ ก็เพียงเพื่อจะได้เห็นนางกระทำตัวโง่งม นางทำให้หลินเสวี่ยอิ๋งเป็นตัวตลกมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว สร้างความอับอายให้แก่นางและเสื่อมเสียชื่อเสียงครั้งใหญ่ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงมาที่นี่เพื่อก่อเรื่อง! หลังจากเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ซูชิงอู่ก็อดมิได้ที่จะค่อย ๆ ยกมือขึ้นปิดบังรอยยิ้มตรงมุมปาก เกรงว่าอีกฝ่ายจะยกหินทุ่มเท้าตนเองเสียแล้ว เมื่อเสียงกลองดังขึ้น เจียวกุ้ยเฟยก็โยนดอกไม้ผ้าไหมที่กำลังโบกสะบัดเข้ามาในมือของพระสนมคนแรก พระสนมผู้นั้นรีบส่งดอกไม้ผ้าไหมราวกับเป็นเผือกร้อนหัวหนึ่ง ตอนนี้บรรยากาศกลับตึงเครียดอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ทุกคนต่างจ้องมองดอกไม้ผ้าไหมที่กำลังจะมาหาพวกนาง เมื่อถึงทีของตนเอง พวกนางก็ส่งดอกไม้ผ้าไหมให้คนถัดไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเสียงตีกลองก็หยุดลง ดอกไม้ผ้าไหมถูกนางกำนัลคว้าเอาไว้ ก่อนที่พระสนมผู้นั้นจะทันได้ส่งต่อไป
แต่สิ่งที่ทำให้หลินเสวี่ยอิ๋งรู้สึกผิดหวังมากที่สุดก็คือ หามีแววอับอายหรือโทสะบนใบหน้าของซูชิงอู่แม้แต่น้อย นางเพียงแค่เลิกคิ้วด้วยท่าทีสงบนิ่ง "แค่นั้นเองหรือ?" หลินเสวี่ยอิ๋งตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยกยิ้มมุมปากพลางเอ่ยวาจายั่วยุขึ้นมาว่า "เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันเล่า เจ้ากลัวว่าจะพ่ายแพ้หรือ?" ซูชิงอู่ลุกขึ้นพลางกล่าวว่า "เรื่องนี้มีอันใดให้กลัวด้วยหรือ?" ระหว่างที่พูดอยู่นั้น ซูชิงอู่ก็ถอดสายคาดเอวและชุดขี่ม้าออก จากนั้นทุกคนก็ต้องดวงตาเบิกค้าง เพราะทุกคนเห็นว่าซูชิงอู่สวมกระโปรงยาวพอดีตัวเอาไว้ในชุดขี่ม้าบางเฉียบ หามีผู้ใดบอกได้ว่านางสวมเอาไว้ในนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่! ซูชิงอู่ตบรอยยับย่นอันทบทวีบนกระโปรงยาวของนาง จากนั้นก็จัดกระโปรงให้เรียบร้อยแล้วนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง นางมองสีหน้าตะลึงงันของหลินเสวี่ยอิ๋งที่อยู่ตรงข้ามกับตนพลางยิ้มแล้วเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า "เล่นต่อสิ" หลินเสวี่ยอิ๋งตกตะลึงไปเสียแล้ว อีกฝ่ายชี้นิ้วใส่ซูชิงอู่พลางกล่าวว่า "ไยเจ้าถึงสวมอาภรณ์มากมายถึงเพียงนั้น?" ซูชิงอู่ทำสีหน้าฉงน "ยามออกไปข้างนอกจะสวมอาภรณ์ให้เยอะสักหน่อยก็ผิดกระนั้นหรือ?" ทว่า
เนื่องจากอากาศร้อน นางจึงสวมเพียงกระโปรงตัวนอกโดยมีเอี๊ยมอยู่ข้างใต้เท่านั้น ขืนถอดออก ก็คง... "ไม่นะ! ข้ามิได้สวมอาภรณ์ไว้ข้างในมากมายเช่นเจ้า!" ซูชิงอู่ยิ้มเยาะ "ต่างอันใดกันด้วยหรือ? ตอนที่เจ้าเสนอข้อเรียกร้องเช่นนี้ มิใช่ว่าเจ้าเห็นข้าสวมอันใดอยู่หรอกหรือ?" "แต่……" "ถ้าหากท่านหญิงมิยอมลงมือ เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าเองก็แล้วกัน!" ซูชิงอู่ลุกขึ้นราวกับว่านางพร้อมจะเดินเข้ามาหาได้ทุกเมื่อ หลินเสวี่ยอิ๋งรีบยกมือกุมหน้าอกแล้วถอยหลังไปสองสามก้าว "ช่วยด้วย ข้าไม่อยากเล่นแล้ว ข้าไม่อยากเล่นอีกต่อไปแล้ว" นางหันหลังเตรียมที่จะจากไปภายใต้การดูแลของหมัวมัวและนางรับใช้ ซูชิงอู่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วแววเยียบเย็นก็วูบผ่านดวงตาของนางไป นางมิได้ไล่ตามอีกฝ่ายไป แต่รอคอยอยู่เงียบ ๆ สักพัก ทันใดนั้นทุกคนก็เห็นหลินเสวี่ยอิ๋งที่กำลังจะออกไปจากที่นี่ จู่ ๆ ก็หยุดเดินแล้วเริ่มเกาเนื้อตัวพลางร้องอุทานด้วยความตื่นตกใจ "อ๊า คันเหลือเกิน มีบางอย่างไต่ไปทั่วตัวข้า รีบดูให้ทีว่าเกิดอันใดขึ้นกับร่างกายของข้ากันแน่!" เมื่อเห็นสีหน้าร้อนรนกังวลใจบนใบหน้าของท่านหญิง นางรับใช้คนอื่น ๆ ก็รี
ความโกรธเกรี้ยวของนางแผ่ซ่านออกมาจากในใจทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายเล่นละครตบตาหลินเสวี่ยอิ๋งไม่อาจทนความคับข้องใจได้อีกต่อไป "ท่านป้า ดูสิซูชิงอู่แอบหัวเราะเยาะข้าอยู่!"แต่ทว่ายามเมื่อนางชี้นิ้วไปยังซูชิงอู่ นางกลับเห็นว่าสีหน้าของซูชิงอู่เปลี่ยนไปแล้วสีหน้าของนางทั้งตกตะลึงและไร้เดียงสา ดวงตาคู่สวยต็มไปด้วยหยาดน้ำตา พร้อมทั้งความสับสนบนใบหน้าซูชิงอู่กัดริมฝีปากแล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า "ท่านหญิง ข้าหัวเราะเยาะท่านเมื่อใดกัน?"“เจ้า… เจ้า…”หลินเสวี่ยอิ๋งจวนจะระเบิดด้วยความโกรธเต็มทน เมื่อนางเห็นซูชิงอู่เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วซูเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าหลินเสวี่ยอิ๋งไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย“เสวี่ยอิ๋ง แม้ว่าชายาเสวียนจะทำให้เจ้าขุ่นเคืองในครั้งก่อน แต่นางก็เป็นพี่สะใภ้ของเจ้า เจ้าอย่าได้ทำเรื่องยุ่งยากให้นางต้องอับอายอีก!”“ท่านป้า...นางทำจริง ๆ ข้าเห็นอย่างชัดเจน เหตุใดท่านจึงไม่เชื่อข้าเล่า?”ซูเฟยถอนหายใจ ก่อนจะถอดสร้อยข้อมือดอกไม้ออกจากข้อมือและวางมันลงบนมือของหลินเสวี่ยอิ๋งเสียงของนางยังคงอบอุ่นและอ่อนโยน “นี่สำหรับเจ้า จะได้ไม่ต้องถูกแมลงกัดอีก แมลงที่เจ้าเห็นเมื่อค
เย่ชิวหมิงลงจากหลังม้าทันทีจากนั้นเขาก็โค้งคำนับต่อฮ่องเต้ "ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!"ฮ่องเต้ลูบคางของตน คิ้วและดวงตาแทบจะโค้งงอด้วยรอยยิ้มการล่าสัตว์ครั้งนี้ช่วยทำให้องค์ชายหลายพระองค์ได้เชิดหน้าชูตาต่อหน้าเหล่าขุนนางทั้งขุนนางและนายน้อยเหล่านั้น พวกเขาต่างยังตามหลังองค์ชายอยู่มากแต่ในขณะนั้นเอง กลับมีการเคลื่อนไหวในป่าด้านหลังอีกครั้งมีบางคนออกจากป่าด้วยสภาพที่ดูไม่จืด ขณะที่บางคนดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บซูชิงอู่เงยหน้าขึ้น นางเห็นว่าเย่เสวียนถิงอยู่ในหมู่คนเหล่านั้นด้วย ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิงเล็กน้อย ผ้าคาดผมบนศีรษะก็หลุดออกจนหมดด้วยเช่นกันเขาดูค่อนข้างสมบุกสมบันมาก เมื่อเทียบกับเย่ชิวหมิงที่เรียบร้อยนางยกกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งออกไปลมพัดผ่านชายกระโปรงของนาง ทำให้นางดูราวกับผีเสื้อเมื่อองครักษ์ของเย่เสวียนถิงเห็นชายาเสวียนวิ่งเข้ามา พวกเขาจึงรีบออกไปอีกทางทันทีบางคนยังคงมีคราบเลือดบนใบหน้า อาภรณ์ของพวกเขาถูกกรงเล็บอันแหลมคมเกี่ยวจนขาดวิ่น เศษชิ้นส่วนอาภรณ์ห้อยอยู่บนไหล่อย่างน่าขบขัน"พระชายาเสวียน!"เจ้าสิบเจ็ดเป็นคนแรกที่โต้ตอบ และพาคนอื่นให้โค้งคำนับต่อซูชิงอู่ซูชิงอ
ซูชิงอู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งด้วยความรู้สึกว่างเปล่าในฝ่ามือของนางเย่เสวียนถิงไม่ได้มองหน้านาง ใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อยเขาเดินกะเผลกลากขาที่เคยได้รับบาดเจ็บไปข้างหน้า แผ่นหลังของเขาดูอ้างว้างและโดดเดี่ยวเจ้าสิบเจ็ดเหลือบมองท่านอ๋องแล้วมองไปที่ซูชิงอู่เขาลดเสียงลงและพูดกับซูชิงอู่ว่า “ท่านอ๋องอาจเป็นเช่นนี้เพราะปัญหาของเขาเอง กระหม่อมอยู่กับท่านอ๋องมาหลายปีแล้ว เขาเป็นคนเฉยชา พระชายาได้โปรดอย่าเข้าใจท่านอ๋องผิดไป!”ดวงตาของซูชิงอู่จ้องมองไปยังใบหน้าของเจ้าสิบเจ็ดทันใดนั้น นางก็มีความชื่นชอบเล็กน้อยต่อองครักษ์เงาตัวน้อยผู้ภักดีที่อยู่ข้าง ๆ เย่เสวียนถิงนางยกยิ้มมุมปากเบา ๆ มองดูเจ้าสิบเจ็ดด้วยสายตามีความหมาย จากนั้นจึงเร่งฝีเท้าเพื่อไล่ตามเย่เสวียนถิง“ท่านอ๋อง รอข้าด้วย!”นางไล่ตามไปอย่างไม่ลดละ เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ยอมเข้ามา นางจึงเป็นฝ่ายโน้มตัวเข้าใกล้มากยิ่งขึ้นแทนในชีวิตนี้ นางเป็นเพียงคนที่ไม่คู่ควรจะได้อยู่เคียงข้างเย่เสวียนถิงเมื่อเขาตกเป็นเป้าหมายของนางแล้ว นางก็ไม่อาจปล่อยให้เขาหลุดมือไปไหนได้นางคล้องแขนของเย่เสวียนถิงเอาไว้ เขาจึงยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ทัน
"แต่……"เย่เสวียนถิงชะงักเล็กน้อยเพียงชั่วครู่ เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าซูชิงอู่จะใช้วิธีการเช่นไรแม้ว่าเขาจะจับเสือขาวได้ แต่ก็ไม่มีร่องรอยใดที่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นฝีมือเขา ในเวลานั้นมีเพียงทหารองครักษ์แค่สองคนเท่านั้น พวกเขาจึงไม่อาจเป็นพยานให้ได้เช่นนั้นแล้ว เย่ชิวหมิงจึงนำเสือขาวตัวนั้นไปหาฮ่องเต้และป่าวประกาศความเป็นเจ้าของต่อหน้าธารกำนัล แม้ว่าเขาจะรู้สึกโกรธ แต่ก็ทำได้เพียงกลืนความโกรธนี้ลงไปเท่านั้นเป็นเพราะทักษะของเขาด้อยกว่าคนอื่น ๆ และเขาก็ไม่ฉลาดแกมโกงเหมือนกับเย่ชิวหมิงซึ่งเขายอมรับได้ซูชิงอู่ขอให้เจ้าสิบเจ็ด เผาควันไล่หมาป่าในป่าก่อนจากนั้นนางก็ดึงเย่เสวียนถิง เพื่อขัดขวางเส้นทางของเย่ชิวหมิงและกลุ่มของเขาทหารองครักษ์หลายคนหยุดด้วยสีหน้าหวาดระแวงทันทีเมื่อเย่ชิวหมิงเห็นว่าเป็นเย่เสวียนถิงเขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ใบหน้าของเขายังคงเฉยชาเช่นเดิม ทั้งไร้รอยยิ้มและไม่เป็นมิตร“น้องรอง เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเจ้าถึงได้วิ่งมาขวางหน้าข้าเช่นนี้?”มุมปากของเย่เสวียนถิงขยับ แต่เขากลับไม่ส่งเสียงใด ๆ ออกมาซูชิงอู่ยิ้มและพูดขึ้นว่า "หม่อมฉันเพิ่งเห็นว่าเสด็จพี่จับเสือขา
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้