สีหน้าเช่นนั้นพกพาอารมณ์แห่งชัยชนะมาด้วยอย่างเห็นได้ชัด ซูชิงอู่เหลือบมองกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ข้างบนแล้วค่อยหันมามองหลินเสวี่ยอิ๋งที่เบิกบานใจถึงเพียงนั้น นางก็พลันเข้าใจขึ้นมาทันที เสียงตีกลองและดอกไม้ที่โปรยไปทั่วเพื่อสร้างความขบขันให้ฮ่องเต้ ก็เพียงเพื่อจะได้เห็นนางกระทำตัวโง่งม นางทำให้หลินเสวี่ยอิ๋งเป็นตัวตลกมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว สร้างความอับอายให้แก่นางและเสื่อมเสียชื่อเสียงครั้งใหญ่ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงมาที่นี่เพื่อก่อเรื่อง! หลังจากเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ซูชิงอู่ก็อดมิได้ที่จะค่อย ๆ ยกมือขึ้นปิดบังรอยยิ้มตรงมุมปาก เกรงว่าอีกฝ่ายจะยกหินทุ่มเท้าตนเองเสียแล้ว เมื่อเสียงกลองดังขึ้น เจียวกุ้ยเฟยก็โยนดอกไม้ผ้าไหมที่กำลังโบกสะบัดเข้ามาในมือของพระสนมคนแรก พระสนมผู้นั้นรีบส่งดอกไม้ผ้าไหมราวกับเป็นเผือกร้อนหัวหนึ่ง ตอนนี้บรรยากาศกลับตึงเครียดอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ทุกคนต่างจ้องมองดอกไม้ผ้าไหมที่กำลังจะมาหาพวกนาง เมื่อถึงทีของตนเอง พวกนางก็ส่งดอกไม้ผ้าไหมให้คนถัดไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเสียงตีกลองก็หยุดลง ดอกไม้ผ้าไหมถูกนางกำนัลคว้าเอาไว้ ก่อนที่พระสนมผู้นั้นจะทันได้ส่งต่อไป
แต่สิ่งที่ทำให้หลินเสวี่ยอิ๋งรู้สึกผิดหวังมากที่สุดก็คือ หามีแววอับอายหรือโทสะบนใบหน้าของซูชิงอู่แม้แต่น้อย นางเพียงแค่เลิกคิ้วด้วยท่าทีสงบนิ่ง "แค่นั้นเองหรือ?" หลินเสวี่ยอิ๋งตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยกยิ้มมุมปากพลางเอ่ยวาจายั่วยุขึ้นมาว่า "เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันเล่า เจ้ากลัวว่าจะพ่ายแพ้หรือ?" ซูชิงอู่ลุกขึ้นพลางกล่าวว่า "เรื่องนี้มีอันใดให้กลัวด้วยหรือ?" ระหว่างที่พูดอยู่นั้น ซูชิงอู่ก็ถอดสายคาดเอวและชุดขี่ม้าออก จากนั้นทุกคนก็ต้องดวงตาเบิกค้าง เพราะทุกคนเห็นว่าซูชิงอู่สวมกระโปรงยาวพอดีตัวเอาไว้ในชุดขี่ม้าบางเฉียบ หามีผู้ใดบอกได้ว่านางสวมเอาไว้ในนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่! ซูชิงอู่ตบรอยยับย่นอันทบทวีบนกระโปรงยาวของนาง จากนั้นก็จัดกระโปรงให้เรียบร้อยแล้วนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง นางมองสีหน้าตะลึงงันของหลินเสวี่ยอิ๋งที่อยู่ตรงข้ามกับตนพลางยิ้มแล้วเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า "เล่นต่อสิ" หลินเสวี่ยอิ๋งตกตะลึงไปเสียแล้ว อีกฝ่ายชี้นิ้วใส่ซูชิงอู่พลางกล่าวว่า "ไยเจ้าถึงสวมอาภรณ์มากมายถึงเพียงนั้น?" ซูชิงอู่ทำสีหน้าฉงน "ยามออกไปข้างนอกจะสวมอาภรณ์ให้เยอะสักหน่อยก็ผิดกระนั้นหรือ?" ทว่า
เนื่องจากอากาศร้อน นางจึงสวมเพียงกระโปรงตัวนอกโดยมีเอี๊ยมอยู่ข้างใต้เท่านั้น ขืนถอดออก ก็คง... "ไม่นะ! ข้ามิได้สวมอาภรณ์ไว้ข้างในมากมายเช่นเจ้า!" ซูชิงอู่ยิ้มเยาะ "ต่างอันใดกันด้วยหรือ? ตอนที่เจ้าเสนอข้อเรียกร้องเช่นนี้ มิใช่ว่าเจ้าเห็นข้าสวมอันใดอยู่หรอกหรือ?" "แต่……" "ถ้าหากท่านหญิงมิยอมลงมือ เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าเองก็แล้วกัน!" ซูชิงอู่ลุกขึ้นราวกับว่านางพร้อมจะเดินเข้ามาหาได้ทุกเมื่อ หลินเสวี่ยอิ๋งรีบยกมือกุมหน้าอกแล้วถอยหลังไปสองสามก้าว "ช่วยด้วย ข้าไม่อยากเล่นแล้ว ข้าไม่อยากเล่นอีกต่อไปแล้ว" นางหันหลังเตรียมที่จะจากไปภายใต้การดูแลของหมัวมัวและนางรับใช้ ซูชิงอู่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วแววเยียบเย็นก็วูบผ่านดวงตาของนางไป นางมิได้ไล่ตามอีกฝ่ายไป แต่รอคอยอยู่เงียบ ๆ สักพัก ทันใดนั้นทุกคนก็เห็นหลินเสวี่ยอิ๋งที่กำลังจะออกไปจากที่นี่ จู่ ๆ ก็หยุดเดินแล้วเริ่มเกาเนื้อตัวพลางร้องอุทานด้วยความตื่นตกใจ "อ๊า คันเหลือเกิน มีบางอย่างไต่ไปทั่วตัวข้า รีบดูให้ทีว่าเกิดอันใดขึ้นกับร่างกายของข้ากันแน่!" เมื่อเห็นสีหน้าร้อนรนกังวลใจบนใบหน้าของท่านหญิง นางรับใช้คนอื่น ๆ ก็รี
ความโกรธเกรี้ยวของนางแผ่ซ่านออกมาจากในใจทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายเล่นละครตบตาหลินเสวี่ยอิ๋งไม่อาจทนความคับข้องใจได้อีกต่อไป "ท่านป้า ดูสิซูชิงอู่แอบหัวเราะเยาะข้าอยู่!"แต่ทว่ายามเมื่อนางชี้นิ้วไปยังซูชิงอู่ นางกลับเห็นว่าสีหน้าของซูชิงอู่เปลี่ยนไปแล้วสีหน้าของนางทั้งตกตะลึงและไร้เดียงสา ดวงตาคู่สวยต็มไปด้วยหยาดน้ำตา พร้อมทั้งความสับสนบนใบหน้าซูชิงอู่กัดริมฝีปากแล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า "ท่านหญิง ข้าหัวเราะเยาะท่านเมื่อใดกัน?"“เจ้า… เจ้า…”หลินเสวี่ยอิ๋งจวนจะระเบิดด้วยความโกรธเต็มทน เมื่อนางเห็นซูชิงอู่เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วซูเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าหลินเสวี่ยอิ๋งไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย“เสวี่ยอิ๋ง แม้ว่าชายาเสวียนจะทำให้เจ้าขุ่นเคืองในครั้งก่อน แต่นางก็เป็นพี่สะใภ้ของเจ้า เจ้าอย่าได้ทำเรื่องยุ่งยากให้นางต้องอับอายอีก!”“ท่านป้า...นางทำจริง ๆ ข้าเห็นอย่างชัดเจน เหตุใดท่านจึงไม่เชื่อข้าเล่า?”ซูเฟยถอนหายใจ ก่อนจะถอดสร้อยข้อมือดอกไม้ออกจากข้อมือและวางมันลงบนมือของหลินเสวี่ยอิ๋งเสียงของนางยังคงอบอุ่นและอ่อนโยน “นี่สำหรับเจ้า จะได้ไม่ต้องถูกแมลงกัดอีก แมลงที่เจ้าเห็นเมื่อค
เย่ชิวหมิงลงจากหลังม้าทันทีจากนั้นเขาก็โค้งคำนับต่อฮ่องเต้ "ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!"ฮ่องเต้ลูบคางของตน คิ้วและดวงตาแทบจะโค้งงอด้วยรอยยิ้มการล่าสัตว์ครั้งนี้ช่วยทำให้องค์ชายหลายพระองค์ได้เชิดหน้าชูตาต่อหน้าเหล่าขุนนางทั้งขุนนางและนายน้อยเหล่านั้น พวกเขาต่างยังตามหลังองค์ชายอยู่มากแต่ในขณะนั้นเอง กลับมีการเคลื่อนไหวในป่าด้านหลังอีกครั้งมีบางคนออกจากป่าด้วยสภาพที่ดูไม่จืด ขณะที่บางคนดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บซูชิงอู่เงยหน้าขึ้น นางเห็นว่าเย่เสวียนถิงอยู่ในหมู่คนเหล่านั้นด้วย ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิงเล็กน้อย ผ้าคาดผมบนศีรษะก็หลุดออกจนหมดด้วยเช่นกันเขาดูค่อนข้างสมบุกสมบันมาก เมื่อเทียบกับเย่ชิวหมิงที่เรียบร้อยนางยกกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งออกไปลมพัดผ่านชายกระโปรงของนาง ทำให้นางดูราวกับผีเสื้อเมื่อองครักษ์ของเย่เสวียนถิงเห็นชายาเสวียนวิ่งเข้ามา พวกเขาจึงรีบออกไปอีกทางทันทีบางคนยังคงมีคราบเลือดบนใบหน้า อาภรณ์ของพวกเขาถูกกรงเล็บอันแหลมคมเกี่ยวจนขาดวิ่น เศษชิ้นส่วนอาภรณ์ห้อยอยู่บนไหล่อย่างน่าขบขัน"พระชายาเสวียน!"เจ้าสิบเจ็ดเป็นคนแรกที่โต้ตอบ และพาคนอื่นให้โค้งคำนับต่อซูชิงอู่ซูชิงอ
ซูชิงอู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งด้วยความรู้สึกว่างเปล่าในฝ่ามือของนางเย่เสวียนถิงไม่ได้มองหน้านาง ใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อยเขาเดินกะเผลกลากขาที่เคยได้รับบาดเจ็บไปข้างหน้า แผ่นหลังของเขาดูอ้างว้างและโดดเดี่ยวเจ้าสิบเจ็ดเหลือบมองท่านอ๋องแล้วมองไปที่ซูชิงอู่เขาลดเสียงลงและพูดกับซูชิงอู่ว่า “ท่านอ๋องอาจเป็นเช่นนี้เพราะปัญหาของเขาเอง กระหม่อมอยู่กับท่านอ๋องมาหลายปีแล้ว เขาเป็นคนเฉยชา พระชายาได้โปรดอย่าเข้าใจท่านอ๋องผิดไป!”ดวงตาของซูชิงอู่จ้องมองไปยังใบหน้าของเจ้าสิบเจ็ดทันใดนั้น นางก็มีความชื่นชอบเล็กน้อยต่อองครักษ์เงาตัวน้อยผู้ภักดีที่อยู่ข้าง ๆ เย่เสวียนถิงนางยกยิ้มมุมปากเบา ๆ มองดูเจ้าสิบเจ็ดด้วยสายตามีความหมาย จากนั้นจึงเร่งฝีเท้าเพื่อไล่ตามเย่เสวียนถิง“ท่านอ๋อง รอข้าด้วย!”นางไล่ตามไปอย่างไม่ลดละ เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ยอมเข้ามา นางจึงเป็นฝ่ายโน้มตัวเข้าใกล้มากยิ่งขึ้นแทนในชีวิตนี้ นางเป็นเพียงคนที่ไม่คู่ควรจะได้อยู่เคียงข้างเย่เสวียนถิงเมื่อเขาตกเป็นเป้าหมายของนางแล้ว นางก็ไม่อาจปล่อยให้เขาหลุดมือไปไหนได้นางคล้องแขนของเย่เสวียนถิงเอาไว้ เขาจึงยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ทัน
"แต่……"เย่เสวียนถิงชะงักเล็กน้อยเพียงชั่วครู่ เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าซูชิงอู่จะใช้วิธีการเช่นไรแม้ว่าเขาจะจับเสือขาวได้ แต่ก็ไม่มีร่องรอยใดที่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นฝีมือเขา ในเวลานั้นมีเพียงทหารองครักษ์แค่สองคนเท่านั้น พวกเขาจึงไม่อาจเป็นพยานให้ได้เช่นนั้นแล้ว เย่ชิวหมิงจึงนำเสือขาวตัวนั้นไปหาฮ่องเต้และป่าวประกาศความเป็นเจ้าของต่อหน้าธารกำนัล แม้ว่าเขาจะรู้สึกโกรธ แต่ก็ทำได้เพียงกลืนความโกรธนี้ลงไปเท่านั้นเป็นเพราะทักษะของเขาด้อยกว่าคนอื่น ๆ และเขาก็ไม่ฉลาดแกมโกงเหมือนกับเย่ชิวหมิงซึ่งเขายอมรับได้ซูชิงอู่ขอให้เจ้าสิบเจ็ด เผาควันไล่หมาป่าในป่าก่อนจากนั้นนางก็ดึงเย่เสวียนถิง เพื่อขัดขวางเส้นทางของเย่ชิวหมิงและกลุ่มของเขาทหารองครักษ์หลายคนหยุดด้วยสีหน้าหวาดระแวงทันทีเมื่อเย่ชิวหมิงเห็นว่าเป็นเย่เสวียนถิงเขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ใบหน้าของเขายังคงเฉยชาเช่นเดิม ทั้งไร้รอยยิ้มและไม่เป็นมิตร“น้องรอง เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเจ้าถึงได้วิ่งมาขวางหน้าข้าเช่นนี้?”มุมปากของเย่เสวียนถิงขยับ แต่เขากลับไม่ส่งเสียงใด ๆ ออกมาซูชิงอู่ยิ้มและพูดขึ้นว่า "หม่อมฉันเพิ่งเห็นว่าเสด็จพี่จับเสือขา
เสียงฝีเท้าเย่ชิวหมิงและคนอื่น ๆ หยุดเดินทันทีกลุ่มของพวกเขาได้เดินออกนอกบริเวณที่ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากพื้นที่ล่าสัตว์และเข้าสู่ชายขอบของป่าลึกแล้วเดิมที เย่ชิวหมิงวางแผนจะหาสถานที่เงียบสงบไม่มีคนอาศัยอยู่เพื่อสังหารและถลกหนังเสือขาว ก่อนที่จะนำมันกลับมา"ท่านอ๋อง แย่แล้ว ในป่าแห่งนี้มีเสือขาวมากกว่าหนึ่งตัว!"เย่ชิวหมิงกัดฟันเล็กน้อย เขามองไปรอบ ๆ อย่างประหม่าแม้ว่ายังไม่มีร่องรอยของเสือขาว แต่เสียงคำรามของเสืออันน่าเกรงขามก็ทำให้ผู้คนต่างเสียวสันหลังพวกเขาไม่สามารถไปที่นั่นได้อีกแน่นอนเพื่อป้องกันไม่ให้เสือขาวเข้ามาใกล้ พวกเขาจึงไม่มีเวลาหากำลังเสริมได้ทันท่วงทีสิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือกลับไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยให้เร็วที่สุด!"ไปเถอะ กลับกันเดี๋ยวนี้!"แต่ทว่า จู่ ๆ เสือขาวที่ถูกหามอยู่ก็พยายามดิ้นรนมันเคยถูกปราบมาก่อนแล้ว แต่ในขณะนี้กลับระเบิดออกมาด้วยความแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเพียงชั่วครู่ แท่งไม้หนาที่แบกเสือไว้ก็ก็หักลง!"เหวอ!"ทหารองครักษ์ที่หามเสือขาวส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจ และทุกคนก็ล้มลงกับพื้นเสือขาวเองก็ล่วงหล่นลงกับพื้นเช่นกัน มันเง