ซูชิงอู่ลอบหัวเราะอยู่ในใจ หามีละอองเกสรดอกไม้อยู่จริงแต่อย่างใดไม่ ทว่ายามที่นางชักมือออกมาต่างหากเล่าที่มีละอองเกสรดอกไม้ หมอหลวงซุนเองก็เอ่ยขึ้นมาว่า "น่าจะเป็นชนิดพิเศษที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้น ละอองเกสรดอกไม้ชนิดนี้พบได้ยากยิ่งและใช่ว่าจะพบได้ทั่วไปในหุบเขา ฉะนั้นก็น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ..." ฮ่องเต้ชราพยักหน้า "ดูเหมือนว่าตัวการของเรื่องน่าขบขันในครั้งนี้คือ ละอองเกสรดอกไม้บนตัวขององค์ชายสาม กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือสาเหตุอยู่กับองค์ชายสามกระนั้นหรือ?" หามีผู้ใดกล้าเอ่ยวาจา ฮองเฮาทรงพิโรธเสียจนพระพักตร์แทบจะเขียวคล้ำ "ฝ่าบาทเพคะ เรื่องนี้ช่างไร้สาระสิ้นดี ละอองเกสรดอกไม้จะออกฤทธิ์รุนแรงถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน? หม่อมฉันมิเชื่อหรอกเพคะ!" เมื่อหมอหลวงซุนถูกฮองเฮามองด้วยสายตาข่มขู่เข้าก็รู้สึกสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งร่าง ยามนี้ผมที่เหลือเพียงไม่กี่เส้นกลับยิ่งบางลงไปอีก "ถ้าฮองเฮามิทรงเชื่อ กระหม่อมจะสั่งให้คนเอาละอองเกสรดอกไม้ชนิดนี้ไป" "ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะรอดูก็แล้วกัน!" ฮองเฮามิเชื่อและพระนางก็ไม่ยินยอมให้ผู้ใดมาสาดโคลนใส่เย่อวิ๋นถู มิฉะนั้นต่อให้บาดแผลที่ขาของเย่
เย่เสวียนถิงเอียงศีรษะแล้วมุมปากที่แต่เดิมเม้มแน่นก็ยกขึ้นเล็กน้อย เหตุผลหลักที่ทำให้เขาสังหารม้าก็เพราะคำเตือนของซูชิงอู่ นางบอกเขาว่าจัดการม้าสองตัวนั้นไปแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมมิได้เกิดจากสมุนไพรที่บ่าวรับใช้ป้อนให้เป็นแน่ ฉะนั้นเขาก็จะพิสูจน์ถึงความบริสุทธิ์ของตนเองได้ทันที ขอเพียงพบเงื่อนงำก็จะเบนความสนใจของทุกคนได้ จากนั้นก็จะจัดการกับปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังได้ง่ายขึ้นมาก ต้องขอบคุณซูชิงอู่ที่ทำให้เรื่องราวดำเนินไปอย่างราบรื่นเช่นนั้น ยามที่เย่เสวียนถิงมองนาง ดวงตาของเขาก็ฉายแววลึกซึ้งอยู่บ้างแล้วเขาก็กระดกนิ้วมือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวขึ้น ก่อนที่จะปล่อยให้ร่วงตกอีกครั้ง แต่ก่อนที่นิ้วมือจะหดกลับเข้าไปในแขนเสื้อ ก็มีมือนุ่มสอดประสานเอาไว้ นิ้วมือของพวกเขาเกาะเกี่ยวกันแล้วปลายนิ้วก็สัมผัสกับฝ่ามืออบอุ่นของกันและกัน ตอนนี้ดูเหมือนหัวใจของพวกเขาจะใกล้ชิดกันด้วย เหตุผลที่ทำให้ม้าจู่โจมเพียงแค่ฮองเฮา ก็เพราะฮองเฮามีพระอาการแพ้ละอองเกสรดอกไม้ขั้นรุนแรง ทำให้พระนางจึงต้องเสวยโอสถล่วงหน้าก่อนที่จะออกจากวังหลวง หลังจากเสวยโอสถเข้าไปแล้ว พระวรกายของพร
ฮ่องเต้หรี่พระเนตรเล็กน้อย แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ พระองค์ก็ยังคงเอ่ยขึ้นมาว่า "พวกเราต้องการหลักฐานเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ" ซูชิงอู่พลันเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยกับฮ่องเต้ว่า "เสด็จพ่อเพคะ ชิงอู่เชื่อว่าหลักฐานก็คือละอองเกสรดอกไม้บนตัวองค์ชายสาม ส่วนพยานก็อยู่ที่นี่มิใช่แล้วหรือเพคะ?" นางหันหน้าไปมองบ่าวรับใช้หนุ่มที่กำลังคุกเข่าอยู่กับพื้น ซูชิงอู่เดินเข้ามาทางด้านหลังของอีกฝ่าย น้ำเสียงของนางมิได้อ่อนโยนดังเช่นเย่เสวียนถิง ถึงแม้ว่านางจะกำลังแย้มยิ้ม แต่น้ำเสียงของนางกับฟังดูราวกับซ่อนใบมีดน้ำแข็งเอาไว้ "ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนสั่งให้เจ้าป้อนสมุนไพรให้ม้าทั้งสามตัวกิน ทำให้ม้าทุกตัวเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาถูกหรือไม่?" บ่าวรับใช้รู้ว่าเรื่องราวดำเนินไปในทิศทางที่มิอาจคาดเดาได้แล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าหลักฐานอันพร้อมมูล วาจาโป้ปดที่เขาเพิ่งจะกล่าวออกไปกลับไร้ประโยชน์ บ่าวรับใช้คุกเข่าแล้วคลานสองสามก้าวมาหาเย่เสวียนถิง ด้วยหมายจะเอื้อมมือคว้าชายเสื้อคลุมของเขา "ท่านอ๋อง ได้โปรดช่วยบ่าวด้วย บ่าวถูกบีบบังคับให้ทำ..." ทว่าซูชิงอู่กลับถีบอีกฝ่ายทันที ก่อนที่อีกฝ่ายจะทั
เมื่อฮ่องเต้มองดูก็เห็นราชองครักษ์ผู้หนึ่งกำลังนำเป้าธนูเข้ามา "ฝ่าบาท ลูกธนูดอกนี้คือลูกธนูที่ท่านอ๋องเสวียนยิงออกไปก่อนที่ม้าจะคลุ้มคลั่งพ่ะย่ะค่ะ!" เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้เข้าก็รู้สึกตกตะลึง เหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ ยังคงทำให้บรรดาผู้ที่กำลังชมดูอยู่โดยรอบรู้สึกหวาดกลัว แต่พวกเขาไม่นึกว่าลูกธนูที่คิดว่าพลาดเป้าไปแล้วจะยิงเข้าเป้าจริง ๆ นี่มันพลังอันใดกัน! เมื่อฮ่องเต้ชรามองเห็นลูกธนูได้ชัดเจนก็อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมา พระองค์เดินเข้ามาหาเย่เสวียนถิงแล้วยกพระหัตถ์ขึ้นมาตบไหล่ของอีกฝ่าย "โอรสของข้าช่างน่าเกรงขามจริง ๆ คู่ควรให้ผู้คนขนานนามว่าเทพสงครามแล้ว ถ้าหากขาของเจ้ามิได้รับบาดเจ็บ...เฮ้อ!" ฮ่องเต้ชราทอดถอนใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความเสียดาย ขันทีข้างพระวรกายรีบเอ่ยขึ้นมาทันทีว่า "ฝ่าบาท นี่ย่อมเป็นพรสวรรค์ที่เทพเซียนก็ต้องอิจฉาเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!" เงามืดวูบผ่านดวงตาของเย่เสวียนถิงไป เขาขยับขาซ้ายไปข้างหลังเล็กน้อยโดยไร้ซึ่งพิรุธใด ๆ ซูชิงอู่ยังคงยืนฟังฮ่องเต้ชราเอ่ยปากชื่นชมเย่เสวียนถิงอยู่ข้างกายเขา นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เย่เสวียนถิงได้รับ
เย่เสวียนถิงหรี่ตาเล็กน้อย คาดไม่ถึงเลยว่าจะได้อำนาจทางการทหารของหน่วยราชองครักษ์มาไว้ในมือด้วยเหตุนี้ เขาประสานมือคำนับพลางกล่าวว่า "ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ไว้วางพระทัย กระหม่อมจะมิทำให้ทรงผิดหวังเป็นอันขาดเลยพ่ะย่ะค่ะ!" ฮ่องเต้โบกมือ "หลังสิ้นสุดเทศกาลงานล่าสัตว์ช่วงสารทฤดู ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้ ยามนี้ก็สายไม่น้อยแล้ว เช่นนั้นก็อย่าทำให้ช่วงเวลาดี ๆ ในเทศกาลเทศกาลงานล่าสัตว์ต้องล่าช้าเลย" หลังจากเย่เสวียนถิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็หลีกทางให้ ซูชิงอู่รู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้างเพราะนางรู้ว่าเย่เสวียนถิงต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่ในเมืองหลวง อำนาจทางการทหารในมือของเขาถูกยึดกลับคืนไปนานแล้ว เขาได้แต่รับผิดชอบเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในกรมกลาโหม ในฐานที่เป็นท่านอ๋อง เขากลับหามีตำแหน่งที่แน่ชัด แต่ขอเพียงฮ่องเต้ตรัสมาเพียงคำเดียว เขาก็จะมีสิทธิ์ควบคุมทั้งหกกรมได้ ทว่ายามนี้จู่ ๆ เย่เสวียนถิงก็บัญชาการราชองครักษ์ในเมืองหลวงกว่าสองหมื่นนาย ทำให้เขาเป็นผู้ที่น่าสะพรึงกลัวและยากจะรับมือที่สุดในเมืองหลวง หลังจากเย่เสวียนถิงยิงธนูดอกแรก เทศกาลงานล่าสัตว์ก็เริ่มต้นขึ้น อีกด้านหนึ่ง เย่อวิ๋นถูท
เจียวกุ้ยเฟยพินิจพิเคราะห์สีหน้าของซูชิงอู่โดยละเอียดถี่ถ้วน แต่พระนางกลับมิพบความผิดปกติใดบนใบหน้าของอีกฝ่าย หรือว่าตนจะคาดเดาผิดไป? เจียวกุ้ยเฟยที่รู้สึกคลางแคลงใจรีบปรับสีหน้าทันที "หามีอันใดไม่ ข้าแค่รู้สึกเบื่อนิดหน่อยก็เลยคิดจะเชิญพี่ ๆ น้อง ๆ สักสองสามคนมาสังสรรค์กัน" ทันใดนั้นพระนางก็โบกมือแล้วสั่งนางกำนัลข้างพระวรกายว่า "ไปเชิญพระชายาองค์ชายสามกับท่านหญิงเสวี่ยอิ๋งมาที" นับตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่พบหลินเสวี่ยอิ๋งก็ไม่เจอกันมากว่าเดือนหนึ่งแล้ว ซูชิงอู่ก็เม้มปากเล็กน้อย เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเจตนาทำเช่นนี้และมิใช่คนดิบดีอันใดเลย ทว่านางก็หาได้ใส่ใจขุนพลพ่ายศึกทั้งสองคนนี้ หลังจากนั้นไม่นาน หลินเสวี่ยอิ๋งกับโจวหรุ่ยพร้อมด้วยเหล่านางรับใช้และหมัวมัวก็เข้ามาแสดงคำนับกุ้ยเฟย "เสวี่ยอิ๋งขอถวายบังคมฮ่องเต้กับเจียวกุ้ยเฟย รวมทั้งเสด็จป้าและพระสนมทุกพระองค์เพคะ" เมื่อเจียวกุ้ยเฟยได้ยินเช่นนี้เข้า พระนางก็ยกยิ้มมุมปาก "นับวันท่านหญิงเสวี่ยอิ๋งก็ยิ่งรูปโฉมงดงามมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้ารู้สึกเบิกบานใจที่ได้เจอเจ้านัก" "ขอบพระทัยเสด็จป้าที่ทรงชมเพคะ เสวี่ยอิ๋งมิบังอาจรับไว้" ขณะที
สีหน้าเช่นนั้นพกพาอารมณ์แห่งชัยชนะมาด้วยอย่างเห็นได้ชัด ซูชิงอู่เหลือบมองกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ข้างบนแล้วค่อยหันมามองหลินเสวี่ยอิ๋งที่เบิกบานใจถึงเพียงนั้น นางก็พลันเข้าใจขึ้นมาทันที เสียงตีกลองและดอกไม้ที่โปรยไปทั่วเพื่อสร้างความขบขันให้ฮ่องเต้ ก็เพียงเพื่อจะได้เห็นนางกระทำตัวโง่งม นางทำให้หลินเสวี่ยอิ๋งเป็นตัวตลกมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว สร้างความอับอายให้แก่นางและเสื่อมเสียชื่อเสียงครั้งใหญ่ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงมาที่นี่เพื่อก่อเรื่อง! หลังจากเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ซูชิงอู่ก็อดมิได้ที่จะค่อย ๆ ยกมือขึ้นปิดบังรอยยิ้มตรงมุมปาก เกรงว่าอีกฝ่ายจะยกหินทุ่มเท้าตนเองเสียแล้ว เมื่อเสียงกลองดังขึ้น เจียวกุ้ยเฟยก็โยนดอกไม้ผ้าไหมที่กำลังโบกสะบัดเข้ามาในมือของพระสนมคนแรก พระสนมผู้นั้นรีบส่งดอกไม้ผ้าไหมราวกับเป็นเผือกร้อนหัวหนึ่ง ตอนนี้บรรยากาศกลับตึงเครียดอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ทุกคนต่างจ้องมองดอกไม้ผ้าไหมที่กำลังจะมาหาพวกนาง เมื่อถึงทีของตนเอง พวกนางก็ส่งดอกไม้ผ้าไหมให้คนถัดไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเสียงตีกลองก็หยุดลง ดอกไม้ผ้าไหมถูกนางกำนัลคว้าเอาไว้ ก่อนที่พระสนมผู้นั้นจะทันได้ส่งต่อไป
แต่สิ่งที่ทำให้หลินเสวี่ยอิ๋งรู้สึกผิดหวังมากที่สุดก็คือ หามีแววอับอายหรือโทสะบนใบหน้าของซูชิงอู่แม้แต่น้อย นางเพียงแค่เลิกคิ้วด้วยท่าทีสงบนิ่ง "แค่นั้นเองหรือ?" หลินเสวี่ยอิ๋งตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยกยิ้มมุมปากพลางเอ่ยวาจายั่วยุขึ้นมาว่า "เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันเล่า เจ้ากลัวว่าจะพ่ายแพ้หรือ?" ซูชิงอู่ลุกขึ้นพลางกล่าวว่า "เรื่องนี้มีอันใดให้กลัวด้วยหรือ?" ระหว่างที่พูดอยู่นั้น ซูชิงอู่ก็ถอดสายคาดเอวและชุดขี่ม้าออก จากนั้นทุกคนก็ต้องดวงตาเบิกค้าง เพราะทุกคนเห็นว่าซูชิงอู่สวมกระโปรงยาวพอดีตัวเอาไว้ในชุดขี่ม้าบางเฉียบ หามีผู้ใดบอกได้ว่านางสวมเอาไว้ในนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่! ซูชิงอู่ตบรอยยับย่นอันทบทวีบนกระโปรงยาวของนาง จากนั้นก็จัดกระโปรงให้เรียบร้อยแล้วนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง นางมองสีหน้าตะลึงงันของหลินเสวี่ยอิ๋งที่อยู่ตรงข้ามกับตนพลางยิ้มแล้วเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า "เล่นต่อสิ" หลินเสวี่ยอิ๋งตกตะลึงไปเสียแล้ว อีกฝ่ายชี้นิ้วใส่ซูชิงอู่พลางกล่าวว่า "ไยเจ้าถึงสวมอาภรณ์มากมายถึงเพียงนั้น?" ซูชิงอู่ทำสีหน้าฉงน "ยามออกไปข้างนอกจะสวมอาภรณ์ให้เยอะสักหน่อยก็ผิดกระนั้นหรือ?" ทว่า
เย่เสวียนถิงตัวแข็งทื่อทันทีม้าของเขาเดินหมุนเป็นวงกลม สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความลังเลอย่างชัดเจนซูชิงอู่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่และพูดว่า "ข้าสัญญากับท่านว่าจะไม่ไปสถานที่อันตราย"เย่เสวียนถิงถอนหายใจ "ค่ายทหารไม่มีกฎให้สตรีเข้าร่วม"ซูชิงอู่ยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น "ถ้าอย่างนั้น ข้าจะปลอมตัวเป็นบุรุษ"เย่เสวียนถิง "..."เมื่อนึกถึงทักษะการปลอมตัวอันยอดเยี่ยมของซูชิงอู่ เย่เสวียนถิงก็ลังเลขึ้นมาอีกครั้งด้วยความสามารถของนาง คงไม่มีใครสามารถจับได้ว่านางปลอมตัวเป็นบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นการปลอมตัวหรือเปลี่ยนเสียง นางก็ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบเย่เสวียนถิงเห็นความกระตือรือร้นในดวงตาของซูชิงอู่ พลางถอนหายใจเล็กน้อย จากนั้นก็มองนางอย่างจนใจและพูดว่า "ก็ได้ แต่เจ้ารับปากข้ามาก่อนว่าจะไม่ปล่อยให้ตัวเองบาดเจ็บ"ทันใดนั้นดวงตาของซูชิงอู่ก็ส่องประกาย "ท่านอ๋อง ไปกันเถอะ"นี่เป็นครั้งแรกที่ซูชิงอู่ไปที่ชายแดนชาติก่อนนางวางตัวเป็นกุลสตรี จึงแทบไม่ได้ออกจากเมืองหลวงเลยผู้คนนับหมื่นในเมืองฉี ก่อนหน้านี้ถูกพวกเขาพาไปอยู่เมืองอื่น และเมื่อเย่เสวียนถิงจากมาก็พาพวกเขามาด้วยอย่างน้อยผู้คนมา
นางออกมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ พ่อแม่ของนางเสียชีวิตด้วยน้ำมือของคนเหล่านั้น และนางต้องการแก้แค้นเย่เสวียนถิงเหลือบมองนาง จากนั้นก็พยักหน้าเบา ๆ“อาอู่ อย่าเพิ่งเคลื่อนไหวคนเดียว ไว้รอข้ากลับมาก่อน”ตราบใดที่เขายังอยู่ใกล้ แคว้นอู๋ตะวันตกก็จะพ่ายแพ้อย่างแน่นอนเพียงแต่ยังไม่ทราบว่าสงครามนี้จะกินเวลานานเท่าใดเย่เสวียนถิงได้ปรากฏตัวต่อหน้าฝ่าบาท ข่าวการกลับมาของเขาต้องแพร่กระจายออกไปแน่ สิ่งที่เขาต้องทำคือเคลื่อนไหวให้เร็วกว่าคนส่งข่าวเหล่านั้นซูชิงอู่ที่เห็นว่าเขาเปิดเผยใบหน้า นางก็รู้ได้ว่าเขากำลังจะจากไปตอนนี้ปัญหาของตระกูลเจียวได้รับการแก้ไขแล้ว ไม่มีอุปสรรคในราชสำนัก และนางไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่ชายของนางและคนอื่น ๆ อีกต่อไปเย่ชิวหมิงจะนำกองทหารที่เหลืออยู่ในเมืองหลวงตามล่าตระกูลเจียวที่เหลือ และนางก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซงแล้ว“เสวียนถิง ท่านจะออกเดินทางวันนี้ใช่หรือไม่?”เย่เสวียนถิงพยักหน้าเขาเหลือบมองลูกชายอีกสองคนแล้วเดินไป แม้เขาจะไม่ได้กอดพวกเขา แต่อย่างน้อยก็ลูบหัวพวกเขาลูกชายคนโตเหมือนเขามากกว่าใบหน้าเล็ก ๆ ที่อ้วนท้วนเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแ
เย่เสวียนถิงออกบ้านมานานถึงเพียงนี้ ทำได้แค่คอยไปแอบมองเด็ก ๆ ลับหลังเท่านั้น และไม่เคยแม้แต่จะเข้าไปอยู่ใกล้เด็ก ๆ เลยคราวนี้เขาถอดหน้ากากออกเพื่อเปิดเผยตัวตน ซึ่งทำให้หลายคนในห้องตกใจอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงก้าวไปมองเย่เสวียนถิงด้วยสีหน้าตกใจซูชิงอู่เห็นเขายืนอยู่ข้างเตียงด้วยความระมัดระวัง และเห็นสายตาท่าทางของเขาที่กำลังจับจ้องไปเด็ก ๆ นางจึงยื่นตัวเจ้าหนูคนเล็กส่งให้อีกฝ่าย“มาสิ อุ้มลูกสาวท่านหน่อย”เด็กหญิงตัวเล็กผู้มีพี่ชายสองคนที่เกิดในเดือนเดียวกันหลังจากการเปลี่ยนแปลงภายในไม่กี่เดือน จากรูปร่างที่เล็กและบอบบางในตอนแรก นางก็กลายเป็นตุ๊กตากระเบื้องที่แกะสลักด้วยหยกสีชมพูลักษณะหน้าตาของนางเหมือนซูชิงอู่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัดดวงตาที่คล้ายองุ่นสีดำคู่นั้นงดงามราวกับอัญมณีที่บริสุทธิ์ที่สุดในใต้หล้าเย่เสวียนถิงรู้ดีอยู่แล้วเกี่ยวกับสถานการณ์ของเจ้าหนูคนเล็ก และใจของเขาก็ห่อเหี่ยวทันทีเมื่อเขานึกถึงการที่ซูชิงอู่เกือบจะประสบเหตุตอนที่นางให้กำเนิดเด็กคนนี้เขาแตะปลายจมูกของเจ้าหนูคนเล็กอย่างระมัดระวังสัมผัสที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อนทำให้หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่น“ฮัดชิ่ว
เย่เสวียนถิงไม่ได้อธิบายอะไรมาก แต่ยังไว้ซึ่งท่าทีเคารพนอบน้อม “เสด็จแม่ทรงไม่ต้องกังวลพ่ะย่ะค่ะ”“แม่จะไม่กังวลได้อย่างไร”ซูไทเฮาตอบกลับ แต่นางก็รู้เช่นกันว่านางทำอะไรไม่ได้ “ตอนนี้เจ้ากลับมาเช่นนี้ หลายคนก็น่าจะเห็นแล้ว เจ้าไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นหากทางชายแดนได้รับข่าวหรือ?”เย่เสวียนถิงพยักหน้าเบา ๆ "กลับมาคราวนี้ ประการแรกก็เพื่อความปลอดภัยของอาอู่ และประการที่สอง เพื่อล่องูออกจากรูและจู่โจมโดยไม่ให้ตั้งตัว ไม่สำคัญว่ากระหม่อมจะอยู่ที่ชายแดนหรือไม่ ขอเพียงกระหม่อมปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะสมก็พอพ่ะย่ะค่ะ”ซูไทเฮาตกตะลึง “ช่างเถอะ ข้าก็ค่อยไม่เข้าใจกลยุทธ์ในสนามรบของพวกเจ้านัก ขอเพียงพวกเจ้าทุกคนปลอดภัย ก็ดียิ่งกว่าสิ่งอื่นใดแล้ว"ซูไทเฮายังไม่รู้ว่าเจียวกุ้ยเฟยทำอะไรลงไป เมื่อซูชิงอู่ตามเข้าไปข้างใน นางก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนและหลังให้ซูไทเฮาฟังเมื่อซูไทเฮาได้ยินว่าเจียวกุ้ยเฟยแอบพาสตรีนางหนึ่งที่กำลังตั้งครรภ์ออกจากพระราชวัง และซ่อนนางไว้ในสำนักสงฆ์ฮุ่ยชิง ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด“หรือที่ตระกูลเจียวทำเช่นนี้เพราะต้องการก่อกบฏ?”ซู
ทหารม้าของตระกูลหลิ่วและเมืองฉีต่างหิวโหย พวกเขาเร่งฝีเท้าตามมาทันที เพื่อเตรียมหาสถานที่พักฟื้นเมื่อเย่ชิวหมิงเห็นภาพนี้ นิ้วมือของเขาที่ปล่อยอยู่ข้างลำตัวก็กระชับขึ้นเล็กน้อยเขามองลงไปที่พื้น “ศพทั้งหมดในสำนักสงฆ์ฮุ่ยชิงถูกกำจัดไปแล้วหรือยัง?"“ทูลฝ่าบาท จัดการเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทุกศพถูกรวมไว้ด้วยกันและให้คนนำไปฝังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”คนที่ส่งข่าวหยุดชะงักและถามว่า “มีอยู่หนึ่งศพที่กระหม่อมและคนอื่น ๆ ไม่สามารถตัดสินใจได้ ขอฝ่าบาทโปรดทรงช่วยตัดสินใจด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ศพหนึ่งถูกลากมาศพมีเลือดออกจากทุกช่องทวาร และมีคราบเลือดทั่วร่างกายขุนนางชันสูตรศพผู้หนึ่งก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบศพแล้วจึงรายงานด้วยเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท สตรีนางนี้ตั้งครรภ์ได้เกือบสามเดือนแล้ว และนางก็สวมหน้ากากหนังมนุษย์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ขณะที่ขุนนางชันสูตรพูด เขาก็ถอดหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าของอีกฝ่ายออกอย่างระมัดระวัง และเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางนางเป็นสตรีที่มีรูปร่างหน้าตาค่อนข้างงดงามเพียงแต่ว่าสภาพการตายของนางในเวลานี้ช่างน่าสังเวชอย่างยิ่ง สีหน้าของนางบิดเบี้ยว ริมฝีปากสีแดงของนางกลายเป็นสีดำ แ
ความรู้สึกนี้ว่างเปล่าเล็กน้อย และซูชิงอู่ก็รีบเดินออกจากประตูบ้านทันทีและมองออกไปข้างนอกเมื่อมองที่นี่ในเวลากลางวัน ทิวทัศน์ก็งดงามเป็นพิเศษไม่ง่ายเลยที่จะหาสถานที่เช่นนี้ในเขตชานเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงได้นางรีบวิ่งออกไป ไม่ไกลนัก นางเห็นเย่เสวียนถิงนำม้ามาที่นี่ เขาเร่งฝีเท้าเข้ามาหานาง พลางยื่นมืออุ้มนางขึ้นหลังม้า“เสวียนถิง ไปเอาม้ามาจากไหน?”เย่เสวียนถิงพูดข้างหูของนาง “เย่ชิวหมิงให้คนส่งมาให้”เมื่อได้ยินชื่อนี้ ซูชิงอู่ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เขาน่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับสำนักชีฮุ่ยชิงอันแล้ว ไปหาเขากันเถอะ"เย่เสวียนถิงไม่ได้สวมหน้ากาก และใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างยิ่งของเขาก็ถูกเปิดเผยต่อหน้าทุกคนอย่างน่าประทับใจกองทัพเมืองฉีรู้ตัวตนของท่านอ๋องมานานแล้ว ดังนั้นสีหน้าท่าทางของพวกเขาจึงเป็นธรรมชาติมาก ทว่าเหล่าแม่ทัพและรองแม่ทัพที่ยืนอยู่ด้านหลังเย่ชิวหมิงต่างก็เบิกตากว้าง“ทะ...ท่านอ๋องเสวียน!”“เหตุใดเขาถึงอยู่ที่นี่ล่ะ?”"หากอ๋องเสวียนอยู่ในเมืองหลวง แล้วที่ชาย..."ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างด้วยความเหลือเชื่อมีเพียงเย่ชิวหมิงเท่านั้นที่พอจะคาดเดาความจริงได้แล้
ซูชิงอู่คว้าเสื้อคลุมที่เขาสวมบนตัวนางแล้วถามอย่างไม่สบายใจว่า “แล้วท่านล่ะ?"เย่เสวียนถิงหลุบสายตาลงเล็กน้อย มีแสงจันทร์สะท้อนในดวงตาของเขา "บนภูเขาไม่ปลอดภัย ข้าจะเฝ้าอยู่ข้างนอก"ซูชิงอู่ไม่ถามอะไรอีก นางเดินไปที่บ่อน้ำและถอดเสื้อผ้าของนางออกหากเย่เสวียนถิงไม่อยู่ที่นี่ นางคงไม่สามารถอาบน้ำในป่าได้ง่าย ๆเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้ ๆ ซูชิงอู่จึงรู้สึกค่อนข้างปลอดภัยหลังจากอาบน้ำเสร็จก็เห็นเสื้อผ้าวางอยู่บนฝั่งขนาดกำลังพอดีสำหรับนาง ราวกับมันถูกเตรียมไว้เพื่อนางโดยเฉพาะหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ตั้งอยู่บนไหล่เขาขนาดไม่ใหญ่นัก นอกจากบ่อน้ำพุร้อนที่อยู่ในบริเวณบ้านพักแล้ว ก็มีบ้านเพียงห้าหลังเท่านั้นบ้านที่อยู่ตรงกลางคือหลังที่ใหญ่ที่สุด ซูชิงอู่เดินเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็พบว่าข้างในบ้านตกแต่งเรียบง่ายและสะอาดสะอ้านเดินเข้าไปข้างในก็คือบ้านที่ใช้อยู่อาศัย มีเตียงขนาดใหญ่วางอยู่ตรงกลาง นอกจากตรงจุดนี้ที่ได้รับการทำความสะอาดแล้ว ส่วนอื่น ๆ ก็ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาเป็นชั้น เห็นได้ชัดว่าเย่เสวียนถิงเข้ามาทำความสะอาดให้เมื่อครู่ซูชิงอู่รู้สึกอบอุ่นใจทว่านางไม่ได้ออกปาก
ทันใดนั้นก็มีเสื้อคลุมอีกตัวหนึ่งคลุมตัวของนางไว้ความหนาวเย็นบนร่างกายของนางถูกขจัดออกไปในทันที และจู่ ๆ เย่เสวียนถิง ก็โน้มตัวลงมาและดึงนางให้ลุกขึ้นยืน“อาอู่ มากับข้าสิ”ซูชิงอู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยืนขึ้นต่อหน้าทุกคน กองไฟตรงหน้านางยังคงปะทุอยู่ และผู้คนที่นั่งรอกันอย่างเบื่อหน่ายก็มองตรงไปยังทิศทางที่พวกเขาทั้งสองจากไปทุกคนยังคงหิวอยู่ ตอนนี้ดึกมากแล้ว แม้กระทั่งการกินข้าวจึงกลายเป็นปัญหา หลินอิงย่างกระต่ายป่าที่นางเพิ่งจับได้และมอบให้นายน้อยของนางอย่างระมัดระวัง“นายน้อย ทานสิเจ้าคะ”หลิ่วจ้งอิ๋นเหลือบมองหลินอิง เดิมทีเขาต้องการทิ้งเด็กคนนี้ไว้ที่บ้านเพื่อดูแลคนชรา แต่นางไม่ยอม จึงกลายเป็นว่ามีสตรีติดตามเขาไปทุกที่เขารับกระต่ายขึ้นมาแล้วมองสายตาของเด็กน้อยที่แอบมองเขา แต่ก็ลังเลที่จะพูด จากนั้นเขาก็ยื่นขากระต่ายทั้งสองข้างให้นางแม้หลินอิงจะไม่ได้พูดตลอดการเดินทาง แต่ในระหว่างการต่อสู้ไม่นานมานี้ นางซึ่งเป็นสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมดาบในมือ สิ่งนี้ทำให้เขาดูเป็นคนใจร้าย และนั่นก็ค่อนข้างน่าสะเทือนใจในฐานะนายน้อยตระกูลหลิ่ว เขามีชีวิตที่ราบรื่นและได
“เสวียนถิง ท่านมองข้าสิ”ม่านตาของเย่เสวียนถิงสั่นไหวเล็กน้อย เขาคว้าข้อมือของซูชิงอู่ไว้ดาบในมือของเขาหล่นลงกับพื้นทั้งที่ยังคงเปื้อนเลือด“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ทิ้งท่านไปไหนอีก”ซูชิงอู่ตอบอย่างจริงจัง น้ำเสียงของนางมั่นคงหนักแน่นนางจะไม่ทำให้ตัวเองต้องเสียใจทีหลังอีก“ดูสิ ตอนนี้ข้าสามารถปกป้องตัวเองได้แล้ว ท่านกลับจากชายแดนเมื่อไร ช่วยสอนวรยุทธให้ข้าได้หรือไม่?”นางปลอบประโลมอารมณ์ในดวงตาของเย่เสวียนถิงได้เขาใช้นิ้วลูบหลังมือของนางเบา ๆ“เอาล่ะ อาอู่ หนอนกู่พวกนั้นก็อันตรายมากเช่นกัน จากนี้เจ้าไม่…”ซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ พลางก้มหน้า “กู่เหล่านั้นเป็นวิธีที่ข้าใช้ปกป้องตัวเอง อีกทั้งท่านอ๋องก็ไม่สามารถอยู่เคียงข้างข้าได้ตลอด หากข้าไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ท่านจะเป็นห่วงข้ามากกว่าเดิมหรือไม่?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่เสวียนถิงก็เลิกคิ้วและพยักหน้าเขารู้สึกไม่ชอบใจที่ตัวเขาไร้ประโยชน์ทั้งยังทำให้อาอู่ตกอยู่ในอันตรายหากเขาอยู่เคียงข้างนาง เขายังสามารถจับตาดูนางได้ แต่เมื่อเขาต้องจากที่นี่ไปยังสนามรบชายแดน ถึงตอนนั้น…เย่เสวียนถิงไม่กล้านึกถึงความฝันที่เขาพูดถึงเหตุผลท