ยิ่งฟัง เย่อวิ๋นถูก็ยิ่งโกรธจัด เมื่อก่อนซูชิงอู่มักจะนอบน้อมเอาใจใส่และรอบคอบต่อเขาเสมอมา เขาสั่งให้นางไปทิศตะวันออก นางก็ไม่มีทางไปทิศตะวันตก... ทว่ายามนี้ ดูเหมือนว่านางจะกลายเป็นเม่นที่มีหนามรอบตัว เขาแค่เข้าใกล้นิดเดียว ใบหน้าก็ถูกทิ่มแทงจนได้เลือดเสียแล้ว! เย่อวิ๋นถูเคยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เขาชะงักฝีเท้าพลางข่มกลั้นโทสะที่กำลังปะทุขึ้นมา "ชิงอู่ มาละวางอดีตอันมิน่าอภิรมย์แล้วมาคุยกันดี ๆ เถอะ!" ซูชิงอู่ยิ้มเยาะเย็นชา "ท่านกับข้าหามีสิ่งใดต้องพูดคุยกันอีกไม่" สีหน้าของเย่อวิ๋นถูแสดงความเจ็บปวดออกมา ราวกับซูชิงอู่เป็นสตรีไร้หัวจิตหัวใจที่ทอดทิ้งเขาไป! "อย่างไรเสียหลายปีมานี้พวกเราก็เติบโตขึ้นมาด้วยกัน เจ้าไร้หัวจิตหัวใจถึงขนาดนั้นได้เชียวหรือ?" ซูชิงอู่เลิกคิ้ว "ข้าหามีความรู้สึกให้ท่านไม่ เช่นนั้นจะบอกว่าข้าไร้หัวจิตหัวใจได้อย่างไรกัน?" เย่อวิ๋นถูโกรธจัด "เจ้าสงบสติอารมณ์แล้วพูดคุยกับข้าดี ๆ มิได้หรือ?" ซูชิงอู่ยักไหล่ด้วยท่าทีไม่นำพาใส่ใจ "ข้าใช่ว่าจะมีเวลามาเสวนากับสุนัขให้มากนักหรอกนะ" เมื่อได้ยินวาจาจาบจ้วงของซูชิงอู่ เย่อวิ๋นถ
นางยกมือข้างหนึ่งปิดปากตนเอง สีหน้าเผยแววประหลาดใจอยู่บ้าง จากนั้นนางก็หลุบตาลงเล็กน้อยพลางเอ่ยถามต่อหน้าทุกคนว่า "อ้อ ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นพี่สะใภ้ของท่าน องค์ชายสามก็มิจำเป็นต้องมอบของขวัญชิ้นใหญ่เช่นนี้ก็ได้ นี่มิใช่วันปีใหม่หรือวันเทศกาลเลย ข้าไม่ตกรางวัลให้ท่านหรอกนะ..." "อันใดนะ ท่านมิอยากลุกขึ้นกระนั้นหรือ? ท่านกำลังขอโทษที่เมื่อสักครู่ล่วงเกินข้าใช่หรือไม่? องค์ชายสามช่างเกรงใจเกินไปแล้วจริง ๆ..." เย่อวิ๋นถูโมโหจนตัวสั่น ทว่าริมฝีปากและฟันกลับชาหนึบจนเขาส่งเสียงไม่ออก หามีผู้ใดทราบไม่ว่ามีเข็มเงินเล่มเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ในเล็บมือของซูชิงอู่ เมื่อชีวิตตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้อื่น เย่อวิ๋นถูก็ราวกับเนื้อปลาบนเขียงที่พร้อมจะถูกแล่ได้ทุกเมื่อ เจตนาสังหารพลันปะทุขึ้นในใจ นับเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เย่อวิ๋นถูคิดจะทรมานคนให้ถึงตาย ซูชิงอู่...ซูชิงอู่! ! เสียงตะโกนของบ่าวรับใช้ที่เคาะหม้อไหอยู่นอกประตูแพร่สะพัดออกไป ดึงดูดความสนใจของผู้สัญจรไปมาให้หยุดมองพลางชี้ไม้ชี้มือมาที่จวนเสนาบดีกรมพระคลัง โจวหรุ่ยร้องไห้หนักเสียจนหายใจแทบไม่ออก ท่าทีแสร้งเป็นมิตรก่อนหน้านี้ที่มีต่อซูชิงอู่
หลังจากเย่เสวียนถิงก้าวเท้าพ้นประตู ภาพที่เขาเห็นคือซูชิงอู่คว้าข้อมือของเย่อวิ๋นถูอยู่และเย่อวิ๋นถูที่กำลังคุกเข่าต่อหน้านางเขาหยุดชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย มองดูเหตุการณ์ด้วยความสับสนเขารู้ดีว่าเย่อวิ๋นถูเป็นคนเช่นไร เขาจะคุกเข่าลงให้นางได้อย่างไร?แม้ว่าเขาจะเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่หากไม่ใช่งานประเพณีหรือบางโอกาสที่พิเศษ เขาก็ไม่จำเป็นที่ต้องคุกเข่าลงเช่นนี้เมื่อซูชิงอู่ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น นางก็หันกลับไปมองทันที จึงได้เห็นเย่เสวียนถิงยืนอยู่ ใบหน้าของนางไร้ซึ่งความกังวลใจ อีกทั้งยังคลี่ยิ้มหวานออกมาด้วยรอยยิ้มนั้นสดใสมากจนผู้คนไม่อาจละสายตาได้ซูชิงอู่ค่อย ๆ ปล่อยมือของนางแล้วก้าวถอยหลังอาการชาของเย่ออวื๋นถูหายไป เขาค่อย ๆ รู้สึกได้ถึงแขนขาของตนเองอีกครั้ง ก่อนจะบีบนวดที่ฝ่ามือและพยายามหยัดกายลุกขึ้นยืนเขามายังจวนซ่างซูอย่างลับ ๆ เพียงลำพัง เช่นนั้นแล้วในเวลานี้จึงไม่มีใครเข้ามารบกวนเขาได้ก่อนที่เย่เสวียนถิงจะทันได้เปิดปากพูด ซูชิงอู่ก็เข้ามาหาเขาอย่างร่าเริง นางเชิดคางขึ้น เอามือไพล่ไว้ด้านหลัง นางดูใสซื่อและไร้เดียงสาทันทีในสายตาของเขา“เสวียนถิง เหตุใดท
ดวงตาของเย่อวิ๋นถูดูดุร้าย ความไม่พอใจที่ปรากฏชัดในดวงตาของเขาคล้ายจะเอ่อล้นออกมาเมื่อถูกเปิดเผย เขาเย้ยหยันและพูดขึ้นว่า "ซูชิงอู่มีความรักอันลึกซึ้งต่อข้ามาตลอด ไม่มีทางที่นางจะชอบเจ้า ตราบใดที่ข้าไม่ยอมปล่อยนางไป นางก็จะกลับมาอยู่ข้าง ๆ ข้าคนนี้วันยันค่ำ!"เมื่อซูชิงอู่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ดวงตาก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน“ท้องฟ้าแจ่มใส ดวงอาทิตย์ก็สดใสเช่น ท่านมัวมาฝันกลางวันอะไรอยู่ องค์ชายสาม?”ในอดีตนางเป็นเพียงคนโง่เขลา นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงถูกคนเจ้าเล่ห์เหล่านี้หลอกลวง!เย่อวิ๋นถูไม่เคยเอ่ยปากว่าชอบนางเลยสักครั้ง แต่นางกลับเข้าใจผิดคิดไปเองว่านางกับเขารักกัน…เมื่อก่อนนางหลงเชื่ออีกฝ่ายอย่างสุดหัวใจเพียงเพราะการกระทำอันคลุมเครือและคำพูดให้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของอีกฝ่าย ครานั้นนางแทบจะมอบทั้งหมดของหัวใจให้กับเขาทว่าหากไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่ของนางถูกลอบสังหารระหว่างการเดินทางจนทำให้ได้รู้ว่าเย่อวิ๋นถูเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด นางคงจะยอมมอบตำรับยาเกือบทั้งหมดของตระกูลฝางให้เขาไปแล้ว…ซูชิงอู่ไม่ได้ปฏิเสธตัวตนที่โง่เขลาอย่างโงหัวไม่ขึ้นของนางแต่ตอนนี้หัวใจ
นี่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนสตรีที่อยู่ข้างหน้าเขายังคงเป็นซูชิงอู่ที่เขารู้จักแต่ทว่า บุคลิกของนางก็นับว่าเปลี่ยนไปจริง ๆ เช่น เมื่อก่อนนางเคยใจดีต่อผู้อื่นและไม่เคยทะเลาะกับผู้ใดเลยนางเชื่อฟังบิดามารดาและย่าของตนเป็นอย่างมาก รวมทั้งเชื่อฟังคำพูดของเย่อวิ๋นถูอีกด้วย…แต่ตอนนี้นางเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ และไม่ใช่ว่านางแสร้งทำเสียอีกต่างหากเย่เสวียนถิงยังคงไตร่ตรองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ราวกับว่ามีกำแพงกั้นอยู่เหนือเขา ทำให้เขามองไม่เห็นความจริง ไม่ว่าจะพยายามมากเพียงใดก็ตามทันทีที่นางกลับมาถึงจวนอ๋อง ซูชิงอู่ก็ผลักเย่เสวียนถิงเข้าไปในห้องของนางทันทีนางตรวจดูขาของเขาอย่างระมัดระวัง สีหน้าดูไม่พอใจ“ยังไม่ทันหายดีท่านก็ขี่ม้าวิ่งวุ่นไปทั่ว ท่านไม่คิดจะเอาขาไว้อีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่?”นางมุ่ยหน้าด้วยความโกรธเคืองเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองของนางกลมโตเป็นประกายสิ่งที่เย่เสวียนถิงรู้สึกได้คือความห่วงใยอันลึกซึ้งเสียงของเขาทุ้มต่ำและแหบเล็กน้อย "อาอู่ มานี่หน่อย"เมื่อซูชิงอู่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น นางก็มองเขาด้วยความสงสัยจากนั้นนางก็โน้มตัวเข้าไปใกล้เขาอย่างเชื่อฟัง ร่า
"ปัง!"ซูชิงอู่ตบโต๊ะหัวใจของอวิ๋นจื่อเต้นรัว เมื่อนางเห็นสีหน้าโกรธแค้นบนใบหน้าของซูชิงอู่ดวงตาสีดำสนิทเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยความโกรธเช่นกันโต๊ะที่นางเพิ่งตบก็ปรากฏรอยแยกตรงกลางอวิ๋นจื่อคล้ายจะเวียนศีรษะแต่ทว่ามีเพียงเท้าได้รูปราวกับหยกโผล่ออกมาจากม่าน ผมเส้นยาวและนุ่มสลวยของซูชิงอู่พาดลงบนไหล่ของนาง แม้ว่าจะไม่แต่งหน้า แต่พวงแก้มสีขาวอมชมพูก็ยังคงสวยงามอยู่นิ้วเรียวยาวดังลำเทียน ผิวขาวดุจหิมะ คอยาวราวกับหงส์ ฟันเรียงสวยราวกับเม็ดข้าวโพด…พระชายาสมควรได้รับถ้อยคำชมเชยทั้งหมดในโลกนี้เพื่อบรรยายถึงนางอวิ๋นจื่อรู้สึกเพียงว่าองค์ชายสามเย่อวิ๋นถูผู้นั้นตาบอด เขามองไม่เห็นความงามของซูชิงอู่เลยแม้แต่น้อยแน่นอนว่านางลืมข้อบกพร่องบางอย่างของบุรุษไป เช่นของที่ได้มาง่าย ๆ มักจะไม่ได้รับการยกย่องอวิ๋นจื่อก้มศีรษะลงแล้วกระซิบว่า “ทางฝั่งของอัครเสนาบดีซู ฮูหยินผู้เฒ่าและหลิงซื่อต่างก็ป่วยหนัก อัครเสนาบดีซูได้เชิญหมอหลวงมารักษาพวกนางแต่อาการก็ไม่ดีขึ้นเลย และด้วยความโกรธนายท่านซูก็พลั้งปากพูดออกไปว่าจะตัดสัมพันธ์พ่อลูกกับท่าน…”ซูชิงอู่ยิ้มทันทีหลังจากที่ได้ยินแม้ว่าอัครเสนาบดี
เหล่าองครักษ์ที่ทางเข้าจวนขององค์ชายสาม มีสีหน้าตึงเครียดขึ้นทันที เมื่อสังเกตเห็นซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงอยู่หน้าประตูเขาหวังเพียงว่าหากเป็นไปได้ เขาอยากจะติดประกาศหน้าจวนว่าห้ามซูชิงอู่และสุนัขรับใช้ของนางเข้ามาข้างในแต่ทว่าเย่เสวียนถิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าประตูพร้อมกับรัศมีความแข็งแกร่ง ดวงตาหงส์ของเขาจ้องมองเหล่าองค์รักษ์ด้วยแววตาเยือกเย็นแววตานั้นทำให้หลายคนกลัวจนขาแข้งอ่อนในทันที“กรุณารอสักครู่ กระหม่อมจะไปรายงาน... เดี๋ยวนี้!”ไม่นานหลังจากนั้น ก็ปรากฏร่าง ๆ หนึ่งเดินออกมาจากข้างในด้วยความรีบร้อนเย่อวิ๋นถูซึ่งสวมชุดแต่งงานสีแดง มองดูคนทั้งสองที่ยืนอยู่นอกประตูด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว“ดูเหมือนว่าองค์ชายสามจะไม่ได้ส่งเทียบเชิญถึงท่านทั้งสอง!”ซูชิงอู่ยิ้มระรื่น นางไม่สนใจสายตาเย็นชาของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย“เทียบเชิญจะสำคัญอะไร เขาคือเสด็จพี่ของท่านและหม่อมฉันก็ไม่ใช่คนนอก ยิ่งกว่านั้น ทุกคนในเมืองหลวงก็ดูเหมือนจะรู้ว่าหม่อมฉันเป็นแม่สื่อแม่ชักให้กับองค์ชายสามกับแม่นางโจวไม่ใช่หรือ? หากหม่อมฉันไม่ได้เข้าร่วมอวยพรให้ท่านทั้งสองในงานอภิเษก เช่นนี้แล้วจะไม่แปลกไปหน่อยหรื
เมื่อองค์ชายสามมีงานรื่นเริง แม้ว่าจะเป็นงานเล็ก ๆ แต่ขุนนางส่วนใหญ่ในเมืองหลวงก็ย่อมต้องมารวมตัวกัน อัครเสนาบดีซูจึงอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นไปโดยปริยายรวมถึงซูเชียนหลิงด้วย นางนั่งอยู่ในที่นั่งฝั่งญาติเจ้าสาวเหมือนกันบุตรสาวของขุนนางข้างกายซูเชียนหลิงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า "นั่นชายาเสวียนอ๋องไม่ใช่หรือ?!"“พี่หญิงเชียนหลิง นางไม่อาจเป็นน้องสาวของท่านได้แล้วใช่หรือไม่? นางทำให้ท่านแม่และท่านย่าของท่านป่วย อีกทั้งยังจงใจใส่ร้ายท่านด้วย…”ซูเชียนหลิงพยักหน้าน้อย ๆ เมื่อนางได้ยินสิ่งนี้นางกัดริมฝีปากด้วยสีหน้าขุ่นเคือง“ข้าเองก็ไม่คิดเลยว่าจะเจอนางที่นี่เช่นกัน”“ตระกูลซูของท่านมีสตรีเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นสตรีที่เมื่อออกเรือนไปแล้ว อกตัญญูทันทีเฉกเช่นนาง”“ข้าได้ยินมาว่าอัครเสนาบดีซูตัดความสัมพันธ์บิดาบุตรกับนางโดยตรง ข้าเกรงว่าในอนาคตแม้แต่บ้านเดิมนางก็ไม่อาจจะกลับไปได้เสียด้วยซ้ำ...”“ถ้าท่านอ๋องเสวียนไม่พอใจนางและหย่ากับนางขึ้นมา นางจะไม่กลายเป็นพวกเร่ร่อนหรือ?”“ท่านอ๋องเสวียนมีสถานะสูงส่ง เขาจะมีเพียงนางผู้เดียวได้อย่างไร? ตอนนี้นางอาศัยว่าได