"โอ๊ย เจ็บเหลือเกิน หยุดนะ!" หลิงซื่อกรีดร้อง ทว่านางมิใช่คู่ประมือของซูชิงอู่ ต่อให้นางรับใช้ข้างกายทั้งสองคนคิดจะเข้ามาช่วย แต่พวกนางก็มิอาจขวางเอาไว้ได้ ซูชิงอู่ดึงปิ่นปักผมทองคำหลายเล่มที่อยู่บนศีรษะของอีกฝ่ายเอาไว้ในมือ เส้นผมบางส่วนของหลิงซื่อยังพันอยู่รอบปิ่นปักผม ผมของนางยุ่งเป็นกระเซิงแล้วล้มลงกับพื้น สิ้นสภาพราวกับขอทานผู้หนึ่ง ซูชิงอู่เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชาพร้อมแววยิ้มเยาะที่ผุดขึ้นมาจากมุมปากของนาง จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า "ท่านอ๋อง ไปกันเถอะ" "ซูชิงอู่!" เสียงตะโกนของหลิงซื่อดังสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทว่ากลับหามีผู้ใดสนใจนาง ราวกับว่าทั่วทั้งจวนอัครเสนาบดีถูกรื้อค้น และหลงเหลือเอาไว้เพียงของไร้ค่า ซูหัวจิ่นแต่งงานออกเรือนและย้ายออกจากจวนอัครเสนาบดีไปแล้ว ฉะนั้นเขาย่อมไม่สนใจว่าจวนอัครเสนาบดีจะลงเอยเช่นใด เขาจะพาซูฉางเซิงไปอยู่ด้วยเป็นการชั่วคราว ส่วนซูเชียนหมิง เขาลำพังตัวคนเดียวทั้งยังประจำการอยู่ในวังหลวงตลอดทั้งปี เขากลับมาเพียงเดือนละครั้งไม่ก็สองครั้งเท่านั้นซึ่งแน่นอนว่าย่อมมิได้ส่งผลกับเขา เมื่อซูชิงอู่เห็นหีบใบใหญ่หลายสิบใ
เมื่อมีกุญแจดอกนี้ ซูชิงอู่ก็สามารถใช้เงินได้ตามใจ เงินประจำเดือนของบ่าวรับใช้ในตำหนักก็ต้องให้นางอนุมัติจึงจะเบิกถอนได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ยามนี้ซูชิงอู่กุมอำนาจของพระชายาเอาไว้หมดแล้ว หลังจากกลับมาที่เรือนหลัก ซูชิงอู่ก็ตั้งป้ายวิญญาณของมารดาตนเองเอาไว้อีกห้อง จากนั้นก็ตระเตรียมทุกอย่างเพื่อจะได้จุดธูปเซ่นไหว้ทุกวัน จากนั้นนางก็พาตัวแม่นมหลินกลับมาแล้วขังนางเอาไว้ในห้องเก็บฟืนต่อไป เพราะนางรู้สึกว่าอีกฝ่ายคงจะมีความลับซุกซ่อนอยู่ มิหนำซ้ำยังเป็นความลับที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าถึงขนาดขอร้องแทนอีกฝ่าย... มิฉะนั้นเมื่อพิจารณาจากอุปนิสัยของฮูหยินผู้เฒ่า นางคงจัดการกับแม่เฒ่าอูที่มาถึงจวนเพื่อวิงวอนขอความเมตตาไปแล้ว ทว่าเรื่องกลับดำเนินมาถึงขั้นที่นางต้องสอดมือเข้ามายุ่งด้วยตนเอง ชะรอยเรื่องนี้คงจะมีเหตุผลอยู่เป็นแน่ ทันทีที่งานวิวาห์สิ้นสุดลง หลังจากกลับถึงตำหนัก วันรุ่งขึ้นเย่เสวียนถิงก็ต้องเดินทางมาเข้าเฝ้าถวายรายงาน จากนั้นข่าวเรื่องที่เมื่อวานนี้จวนอัครเสนาบดีถูกรื้อค้นก็แพร่สะพัดราวกับไฟลามทุ่งโดยมิทราบสาเหตุ ยิ่งไปกว่านั้น สตรีทุกนางของตระกูลซูต่างก็ล้มหมอนนอนเสื่อใน
ถึงแม้ว่าซูชิงอู่จะรู้ว่าโจวหรุ่ยมิได้เชิญนางเข้ามาด้วยเจตนาดี แต่ยามที่นางเห็นเย่อวิ๋นถูก็ยังตะลึงงันไปชั่วขณะ ทันใดนั้นนางก็รีบทำสีหน้าตื่นตกใจแล้วหันหลังวิ่งออกไปข้างนอก "ช่วยด้วย มีมือสังหารเจ้าค่ะ!" ทั้งสองคนในห้องต่างตกตะลึงกับท่าทางที่จู่ ๆ ก็เปลี่ยนไปของซูชิงอู่ ต่อให้เย่อวิ๋นถูนึกถึงฉากที่ได้พบซูชิงอู่มานับไม่ถ้วน เขาก็มิคาดว่าเหตุการณ์จะพลิกผันเช่นนี้ อย่างไรเสียนี่ก็คือจวนเสนาบดีกรมพระคลัง หลังจากได้ยินเสียงตะโกนของซูชิงอู่ บ่าวรับใช้นับไม่ถ้วนก็วิ่งเข้ามาทันที องครักษ์ในจวนเองก็มาถึงประตูเรือนเช่นกัน บรรดาบ่าวรับใช้กับนางรับใช้ที่ซูชิงอู่พามาด้วยต่างรีบเข้ามาล้อมนางเอาไว้ "พระชายา เกิดอันใดขึ้นกระนั้นหรือ!" ซูชิงอู่มีสีหน้าตื่นตระหนก จากนั้นนางก็ชี้มาที่ห้องของโจวหรุ่ยด้วยมือไม้อันสั่นเทาพร้อมสีหน้าซีดเผือด "มะ... เมื่อสักครู่ตอนที่ข้าเดินเข้าห้องมาพร้อมกับคุณหนูโจว จู่ ๆ ข้าก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งอยู่ข้างใน อย่างไรเสียแม่นางโจวก็ยังเป็นสตรีที่ยังมิได้ออกเรือน เช่นนั้นจะมีคนแปลกหน้าอยู่ในห้องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ดังนั้นข้าจึงรู้สึกหวาดกลัวเหลือเกิน..." ทันท
ซูชิงอู่ใช่นิ้วหัวแม่มือถูข้อนิ้วเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มที่กดลึกขึ้นเรื่อย ๆ สีหน้าของโจวหรุ่ยพลันแปรเปลี่ยน ยิ่งนางได้ฟังกลับยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก บุรุษร่างสูงเพรียวที่มีสีหน้าเย็นชาผู้หนึ่งก้าวเดินออกมาจากข้างใน ตอนนี้ทุกคนต่างตื่นตกใจแล้วสายตาของพวกเขาก็จับจ้องมาที่เขา ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งตระกูลโจวรีบแสดงคำนับด้วยท่าทีตื่นตระหนก "ถวายบังคมองค์ชายสามเพคะ!" ฮูหยินโจวเองก็รู้สึกตกตะลึง นางจ้องมองบุรุษที่เดินออกมาจากห้องของบุตรีด้วยสีหน้าตื่นตะลึง นางรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นจวนจะล้มลงกับพื้นอยู่รอมร่อ "อะ...องค์ชายสามเสด็จ ขออภัยที่พวกหม่อมฉันมิได้ต้อนรับให้ดีเพคะ..." โจวหรุ่ยกัดริมฝีปากและสีหน้าซีดเผือด ยามนี้ทุกคนในเรือนต่างก็เห็นองค์ชายสามออกมาจากห้องของนาง ซูชิงอู่มิได้ใส่ใจอารมณ์ของทุกคนรอบตัวพลางเอ่ยเสียงดังลั่นขึ้นมาว่า "ที่แท้ก็เป็นองค์ชายสามนี่เอง ข้าก็นึกว่าเป็นมือสังหารหรือโจรเด็ดบุปผาคนใดที่เข้ามาเสียอีก กลางวันแสก ๆ อยู่แท้ ๆ องค์ชายสามก็ลอบเข้ามาในห้องของสตรี ใช่กำลังจะกระทำเรื่องน่าอับอายในหอห้องหรือไม่?" ดวงตาของโจวหร
ยิ่งฟัง เย่อวิ๋นถูก็ยิ่งโกรธจัด เมื่อก่อนซูชิงอู่มักจะนอบน้อมเอาใจใส่และรอบคอบต่อเขาเสมอมา เขาสั่งให้นางไปทิศตะวันออก นางก็ไม่มีทางไปทิศตะวันตก... ทว่ายามนี้ ดูเหมือนว่านางจะกลายเป็นเม่นที่มีหนามรอบตัว เขาแค่เข้าใกล้นิดเดียว ใบหน้าก็ถูกทิ่มแทงจนได้เลือดเสียแล้ว! เย่อวิ๋นถูเคยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เขาชะงักฝีเท้าพลางข่มกลั้นโทสะที่กำลังปะทุขึ้นมา "ชิงอู่ มาละวางอดีตอันมิน่าอภิรมย์แล้วมาคุยกันดี ๆ เถอะ!" ซูชิงอู่ยิ้มเยาะเย็นชา "ท่านกับข้าหามีสิ่งใดต้องพูดคุยกันอีกไม่" สีหน้าของเย่อวิ๋นถูแสดงความเจ็บปวดออกมา ราวกับซูชิงอู่เป็นสตรีไร้หัวจิตหัวใจที่ทอดทิ้งเขาไป! "อย่างไรเสียหลายปีมานี้พวกเราก็เติบโตขึ้นมาด้วยกัน เจ้าไร้หัวจิตหัวใจถึงขนาดนั้นได้เชียวหรือ?" ซูชิงอู่เลิกคิ้ว "ข้าหามีความรู้สึกให้ท่านไม่ เช่นนั้นจะบอกว่าข้าไร้หัวจิตหัวใจได้อย่างไรกัน?" เย่อวิ๋นถูโกรธจัด "เจ้าสงบสติอารมณ์แล้วพูดคุยกับข้าดี ๆ มิได้หรือ?" ซูชิงอู่ยักไหล่ด้วยท่าทีไม่นำพาใส่ใจ "ข้าใช่ว่าจะมีเวลามาเสวนากับสุนัขให้มากนักหรอกนะ" เมื่อได้ยินวาจาจาบจ้วงของซูชิงอู่ เย่อวิ๋นถ
นางยกมือข้างหนึ่งปิดปากตนเอง สีหน้าเผยแววประหลาดใจอยู่บ้าง จากนั้นนางก็หลุบตาลงเล็กน้อยพลางเอ่ยถามต่อหน้าทุกคนว่า "อ้อ ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นพี่สะใภ้ของท่าน องค์ชายสามก็มิจำเป็นต้องมอบของขวัญชิ้นใหญ่เช่นนี้ก็ได้ นี่มิใช่วันปีใหม่หรือวันเทศกาลเลย ข้าไม่ตกรางวัลให้ท่านหรอกนะ..." "อันใดนะ ท่านมิอยากลุกขึ้นกระนั้นหรือ? ท่านกำลังขอโทษที่เมื่อสักครู่ล่วงเกินข้าใช่หรือไม่? องค์ชายสามช่างเกรงใจเกินไปแล้วจริง ๆ..." เย่อวิ๋นถูโมโหจนตัวสั่น ทว่าริมฝีปากและฟันกลับชาหนึบจนเขาส่งเสียงไม่ออก หามีผู้ใดทราบไม่ว่ามีเข็มเงินเล่มเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ในเล็บมือของซูชิงอู่ เมื่อชีวิตตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้อื่น เย่อวิ๋นถูก็ราวกับเนื้อปลาบนเขียงที่พร้อมจะถูกแล่ได้ทุกเมื่อ เจตนาสังหารพลันปะทุขึ้นในใจ นับเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เย่อวิ๋นถูคิดจะทรมานคนให้ถึงตาย ซูชิงอู่...ซูชิงอู่! ! เสียงตะโกนของบ่าวรับใช้ที่เคาะหม้อไหอยู่นอกประตูแพร่สะพัดออกไป ดึงดูดความสนใจของผู้สัญจรไปมาให้หยุดมองพลางชี้ไม้ชี้มือมาที่จวนเสนาบดีกรมพระคลัง โจวหรุ่ยร้องไห้หนักเสียจนหายใจแทบไม่ออก ท่าทีแสร้งเป็นมิตรก่อนหน้านี้ที่มีต่อซูชิงอู่
หลังจากเย่เสวียนถิงก้าวเท้าพ้นประตู ภาพที่เขาเห็นคือซูชิงอู่คว้าข้อมือของเย่อวิ๋นถูอยู่และเย่อวิ๋นถูที่กำลังคุกเข่าต่อหน้านางเขาหยุดชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย มองดูเหตุการณ์ด้วยความสับสนเขารู้ดีว่าเย่อวิ๋นถูเป็นคนเช่นไร เขาจะคุกเข่าลงให้นางได้อย่างไร?แม้ว่าเขาจะเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่หากไม่ใช่งานประเพณีหรือบางโอกาสที่พิเศษ เขาก็ไม่จำเป็นที่ต้องคุกเข่าลงเช่นนี้เมื่อซูชิงอู่ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น นางก็หันกลับไปมองทันที จึงได้เห็นเย่เสวียนถิงยืนอยู่ ใบหน้าของนางไร้ซึ่งความกังวลใจ อีกทั้งยังคลี่ยิ้มหวานออกมาด้วยรอยยิ้มนั้นสดใสมากจนผู้คนไม่อาจละสายตาได้ซูชิงอู่ค่อย ๆ ปล่อยมือของนางแล้วก้าวถอยหลังอาการชาของเย่ออวื๋นถูหายไป เขาค่อย ๆ รู้สึกได้ถึงแขนขาของตนเองอีกครั้ง ก่อนจะบีบนวดที่ฝ่ามือและพยายามหยัดกายลุกขึ้นยืนเขามายังจวนซ่างซูอย่างลับ ๆ เพียงลำพัง เช่นนั้นแล้วในเวลานี้จึงไม่มีใครเข้ามารบกวนเขาได้ก่อนที่เย่เสวียนถิงจะทันได้เปิดปากพูด ซูชิงอู่ก็เข้ามาหาเขาอย่างร่าเริง นางเชิดคางขึ้น เอามือไพล่ไว้ด้านหลัง นางดูใสซื่อและไร้เดียงสาทันทีในสายตาของเขา“เสวียนถิง เหตุใดท
ดวงตาของเย่อวิ๋นถูดูดุร้าย ความไม่พอใจที่ปรากฏชัดในดวงตาของเขาคล้ายจะเอ่อล้นออกมาเมื่อถูกเปิดเผย เขาเย้ยหยันและพูดขึ้นว่า "ซูชิงอู่มีความรักอันลึกซึ้งต่อข้ามาตลอด ไม่มีทางที่นางจะชอบเจ้า ตราบใดที่ข้าไม่ยอมปล่อยนางไป นางก็จะกลับมาอยู่ข้าง ๆ ข้าคนนี้วันยันค่ำ!"เมื่อซูชิงอู่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ดวงตาก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน“ท้องฟ้าแจ่มใส ดวงอาทิตย์ก็สดใสเช่น ท่านมัวมาฝันกลางวันอะไรอยู่ องค์ชายสาม?”ในอดีตนางเป็นเพียงคนโง่เขลา นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงถูกคนเจ้าเล่ห์เหล่านี้หลอกลวง!เย่อวิ๋นถูไม่เคยเอ่ยปากว่าชอบนางเลยสักครั้ง แต่นางกลับเข้าใจผิดคิดไปเองว่านางกับเขารักกัน…เมื่อก่อนนางหลงเชื่ออีกฝ่ายอย่างสุดหัวใจเพียงเพราะการกระทำอันคลุมเครือและคำพูดให้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของอีกฝ่าย ครานั้นนางแทบจะมอบทั้งหมดของหัวใจให้กับเขาทว่าหากไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่ของนางถูกลอบสังหารระหว่างการเดินทางจนทำให้ได้รู้ว่าเย่อวิ๋นถูเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด นางคงจะยอมมอบตำรับยาเกือบทั้งหมดของตระกูลฝางให้เขาไปแล้ว…ซูชิงอู่ไม่ได้ปฏิเสธตัวตนที่โง่เขลาอย่างโงหัวไม่ขึ้นของนางแต่ตอนนี้หัวใจ