หลิงซื่อมุมปากกระตุกริก ๆ "เจ้ากำลังแว้งกัดข้า!" ซูชิงอู่ตอบว่า "ข้ามิกัดกับสุนัขหรอก" วาจาของนางที่บ่งบอกชัดแจ้งว่าหลิงซื่อเป็นสุนัข ทำให้หลิงซื่อรู้สึกเดือดดาลนัก คนกลุ่มหนึ่งพาฮูหยินผู้เฒ่ามาส่งห้องว่างติดกับห้องของนาง จากนั้นก็รีบเชิญท่านหมอเข้าไป ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่มากับเขาด้วยก็คืออัครเสนาบดีซู หลิงซื่อยืนร้องไห้อยู่ตรงประตูพลางเช็ดน้ำตา นางคร่ำครวญเสียงแผ่วเบากับอัครเสนาบดีซูด้วยความขมขื่นใจ เพื่อบอกว่าซูชิงอู่กระทำเกินกว่าเหตุจนทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหจนหมดสติไป นางยังเอ่ยถึงเรื่องที่อีกฝ่ายไม่เคารพผู้อาวุโส จนแทบจะกลับดำเป็นขาว! เย่เสวียนถิงเม้มปากเล็กน้อย สายตาที่ทอดมองลงบนแผ่นหลังของซูชิงอู่บ่งบอกอารมณ์ที่ออกจะลึกซึ้งอยู่บ้าง ทันใดนั้นเขาก็พลันรู้สึกว่ามิอาจเข้าใจสิ่งที่นางกพลังครุ่นคิดอยู่ในยามนี้ ซูซิงอู่ราวกับมีดวงตาติดอยู่บนแผ่นหลัง จู่ ๆ นางก็หันหลังกลับมาทันที แววเยียบเย็นในดวงตาของนางสลายไปจนสิ้น แทนที่ด้วยสายตาอ่อนโยนราวกับสายน้ำ "เสวียนถิง ใบหน้าของข้ามีอันใดติดอยู่กระนั้นหรือ? ไฉนท่านจึงเอาแต่จ้องหน้าข้าอยู่เล่า?" เย่เสวียนถิงอดมิได้ที่จะรู้สึกเ
ด้วยเหตุนี้เอง ต่อให้สุดท้ายอีกฝ่ายตายไป เขาก็หาได้เสียใจนัก "ซูฉางเซิง ถึงแม้ว่าข้าจะมิได้ใส่ใจเจ้านัก แต่ข้าก็เชิญอาจารย์มาอบรมสั่งสอนเจ้าอยู่ไม่น้อย ไยเจ้าถึงมุทะลุตามนางเช่นนี้เล่า?" ซูฉางเซิงต่างจากซูชิงอู่ อย่างไรเสีย ซูชิงอู่ก็เป็นบุตรีที่ออกเรือนแล้ว ยามนี้นางจึงถือเป็นคนนอกของจวนอัครเสนาบดี ทว่าเขาเป็นบุตรภรรยาเอกของอัครเสนาบดี ทำให้วาจาพอจะมีน้ำหนักอยู่บ้างในจวน นอกเหนือไปจากนั้น เขาก็มิใช่กบในบ่อ[1] ต่อให้เขามิเคยเดินทางไปที่ใดนัก แต่กลับเรียกได้ว่าแตกฉานในเรื่องตำรับตำรายิ่งนัก "น้องสาวของข้าเคยเป็นคนใจอ่อน แต่ท่านกลับปฏิบัติกับนางราวกับลูกพลับนิ่มและเอาเปรียบเสียจนนางรู้สึกเหลืออด ท่านกินของนาง หาเศษหาเลยจากนางและหลอกใช้นาง เอาแต่คิดว่าทุกอย่างล้วนเป็นของตนเอง เมื่อก่อนตัวนางอาจจะยินยอมพร้อมใจ ดังนั้นข้าจึงเอ่ยสิ่งใดมิได้ ทว่ายามนี้นางมิได้ยินยอมพร้อมใจ การที่นางทวงเอาของ ๆ ตนเองกลับคืนก็ผิดด้วยหรือ?” ทั้ง ๆ ที่น้ำเสียงของซูฉางเซิงเชื่องช้าและแผ่วเบา ทว่าสิ่งที่เขาเอ่ยกลับชัดเจนยิ่ง มิหนำซ้ำวาจาทุกคำก็ฟังดูสมเหตุสมผล หลังจากเขาพูดจบ อัครเสนาบดีซูก็พลันหน้าต
คนทั้งตระกูลเกี่ยวข้องอันใดกับซูชิงอู่ด้วยเล่า? ส่วนพี่ชายของนางนั้น นางย่อมต้องมอบเงินทองให้อยู่แล้ว เดิมทีสินเดิมที่ฟางอี๋ซินนำเอามาจากตระกูลฟางก็สมควรจะเป็นของซูชิงอู่ อัครเสนาบดีซูพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน จากนั้นเขาก็เอ่ยเสียงทุ้มว่า "ชิงอู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ พ่อจะสั่งให้คนไปเรียกพี่ใหญ่กับพี่รองของเจ้าแล้วถามความคิดเห็นของพวกเขา อย่างไรเสียข้าวของของมารดาเจ้าก็เป็นของพวกเขาด้วยมิใช่หรือ?” ซูฉางเซิงเอ่ยขึ้นทันทีโดยมิได้ลังเลใจว่า "ส่วนของข้ายกให้เป็นของชิงอู่" ซูชิงอู่มองพี่ห้าของนาง แววตาของนางอ่อนลงโดยมิทันได้รู้ตัว ยิ่งไปกว่านั้น นางก็คิดถึงบรรดาพี่ชายของนางด้วย น่าเสียดายที่ระหว่างนี้ พี่สามกับพี่สี่ยังเล่าเรียนอยู่ข้างนอก คนหนึ่งฝากตัวเป็นศิษย์สำนักขงจื๊อ ส่วนอีกคนหนึ่งไปฝึกฝนวรยุทธ์ที่วัดเส้าหลินในเขาหยุนเหลียง... เมื่อชาติก่อน หลังจากเกิดเรื่องกับตระกูลซู พวกเขาทั้งสองคนก็รีบดั้นด้นกลับมาตลอดทาง ทว่าต่อมานางถึงได้ทราบจากซูเชียนหลิงว่าศีรษะของพวกเขาถูกแขวนเอาไว้บนกำแพงเมือง จากนั้นก็ตากแดดเอาไว้ร่วมครึ่งค่อนเดือน กระทั่งกระดูกผุพังไปจนสิ้น ซูเชียนหลิง
"บอกข้ามา ผู้ใดมันทำให้น้องหกของข้าต้องร้องไห้?" เสียงของพี่รองดังลั่น กลิ่นอายทั่วทั้งร่างประดุจดั่งดาบที่หลุดออกจากฝัก เขามีคิ้วหนาและแผ่รังสีอำมหิตอันมิอาจหลีกเร้นได้ของผู้เป็นนักรบ ประกอบกับร่างสูงแกร่งกำยำ ถึงแม้ว่าใบหน้าจะหล่อเหลาคมคาย ทว่าเขาก็ยังมีหน้าตาที่ออกจะดุดันอยู่บ้าง ท่ามกลางบรรดาพี่ชาย เขาเป็นผู้ที่รักใคร่ซูชิงอู่เป็นที่สุด ทั้งยังเอาอกเอาใจเสียจนเข้าขั้นไร้เหตุผล เป็นความชอบพอที่รุนแรงยิ่งกว่าความรักของบิดาที่มีต่อบุตรีเสียด้วยซ้ำไป... เมื่อซูชิงอู่เห็นเขา นางก็รู้สึกทั้งสุขและเศร้าในคราวเดียวกัน นางสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วขับไล่ภาพการตายอันน่าสลดใจของพี่ชายทั้งสองออกไปจากสมอง จากนั้นก็ค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมาว่า "พี่รอง เชิญนั่งลงก่อนเจ้าค่ะ" ยามที่ซูเชียนหมิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็ถึงกับกลั้นหายใจพลางถือดาบเอาไว้อีกครั้ง แล้วนั่งลงด้วยสีหน้าเย็นชา เขาจ้องมองเย่เสวียนถิงด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ราวกับว่าอีกฝ่ายติดหนี้เขานับแปดล้านตำลึงเงิน เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเขาเข้าใจผิดคิดว่าอีกฝ่ายเป็นตัวการ ถึงแม้ว่าเย่เสวียนถิงจะมิได้หวาดกลัวซูเชียนหมิงที่อยู่ตรงหน้า แต่เมื่อส
หลิงซื่อหัวใจบีบรัด ยามนี้นางเป็นฮูหยินของประมุขตระกูล มีแต่นางเท่านั้นที่สามารถจัดการเรื่องเงินทองได้ ตอนนี้ซูชิงอู่คิดจะเอาไปทั้งหมด ก็มิต่างอันใดจากการแล่เนื้อเถือหนังของตน! หลิงซื่อลุกขึ้นพลางเอ่ยขึ้นมาว่า "ข้าไม่ยอม!" ทุกคนต่างทอดสายตามองหลิงซื่อ สีหน้าของหลิงซื่อเปลี่ยนเป็นซีดขาว เมื่อนางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็เห็นอัครเสนาบดีซูหลุบตาลงแล้วเอาแต่นิ่งเงียบ นางจึงรีบกระตุกแขนเสื้อของเขาทันที "นายท่าน บอกข้าทีเถิดเจ้าค่ะ ถ้านางเอาเงินไปหมดแล้ว บ่าวไพร่ของตระกูลใหญ่เช่นนี้จะอยู่กันอย่างไร? และ...ยิ่งไปกว่านั้น มารดาของท่านก็สุขภาพไม่ดี นางต้องพบท่านหมอและรับยาอยู่ทุกวันซึ่งใช้เงินไม่น้อยเลย มิหนำซ้ำยังต้องใช้โสมอายุร้อยปีชั้นยอดเพื่อบำรุงร่างกาย ต้นหนึ่งก็ตกสองร้อยตำลึงเข้าไปแล้ว..." สีหน้าของอัครเสนาบดีซูกลับยิ่งหม่นคล้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ ซูชิงอู่ยิ้มพลางกล่าวว่า "ในเมื่อพวกเราไม่มีเงินจ่ายให้พวกบ่าวรับใช้ก็ส่งพวกเขาออกไป ถ้าพวกเราไม่มีเงินซื้อโสมอายุร้อยปี เช่นนั้นก็ซื้อโสมธรรมดา ท่านพ่อของข้าเป็นถึงอัครเสนาบดีแห่งราชวงศ์ถังและมีเบี้ยหวัดรายปีมากโข ถ้าหากประหยัดสักหน่อย จ
การแนะนำให้รู้จักกันเช่นนั้นทำให้ดวงตาของเย่เสวียนถิงฉายแววประหลาดใจ เขากวาดสายตามองเสี้ยวหน้าของซูชิงอู่พลางเลิกคิ้วแล้วลดเสียงลง จากนั้นก็ออกแรงบีบมือที่อยู่ในฝ่ามือของตัวเองไว้แน่น "อาอู่ ข้า..." ซูชิงอู่ดึงตัวเขามาข้างหน้าพลางกล่าวว่า "นี่คือซูหัวจิ่นพี่ใหญ่ของข้าที่ยามนี้เป็นเจ้ากรมกิจการพลเรือน เขามาถึงตำแหน่งนี้ได้ด้วยความสามารถของตนเอง พี่ชายของข้าหาได้พึ่งพาเส้นสายของตระกูลแต่อย่างใดไม่..." ซูเชียนหมิงรีบเดินเข้ามาประสานมือคำนับเย่เสวียนถิง ยามนี้ดูเหมือนท่าทีแฝงเจตนาร้ายแลไม่เป็นมิตรเมื่อก่อนหน้านี้จะสลายหายไปจนสิ้น "กระหม่อมซูเชียนหมิงเป็นพี่รองของนาง ยามนี้กระหม่อมเป็นหัวหน้าราชองครักษ์คอยอารักขาข้างพระวรกายฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ ข้าชื่นชมในความน่าเกรงขามของท่านอ๋องมานานและนับถือท่านจากใจจริง นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คงต้องฝากน้องสาวของข้าไว้กับท่านเสียแล้ว ท่านอ๋อง" วาจาเหล่านี้ทำให้ซูชิงอู่รู้สึกอุ่นใจ นางยิ้มพลางมองเย่เสวียนถิง สีหน้าของนางพึงพอใจอยู่บ้าง นางเองก็มีผู้หนุนหลังเช่นกัน สีหน้าเพียงเล็กน้อยเช่นนั้นกลับทำให้นางแลดูงดงามสดใส ดวงตาคู่งามเต็มเปี่ยมไปด
ซูชิงอู่พาคนไปยังที่เรือนที่หลิงซื่อพักอาศัยอยู่ องครักษ์หลายนายจากตำหนักอ๋องที่ยืนอยู่ตรงประตู ล้วนมีท่าทีอยากจะบุกเข้าไป เย่เสวียนถิงที่ยืนอยู่เคียงข้างซูชิงอู่หรี่ตา จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "ทำลายทิ้งซะ" "พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง!" คนพวกนั้นวิ่งเข้ามาพร้อมเครื่องไม้เครื่องมือ จากนั้นก็ขนย้ายข้าวของทุกอย่างที่พวกเขาจะสามารถเอาไปได้ แล้วทุบทำลายข้าวของที่ไม่สามารถขนย้ายได้ พวกเขาดูเหมือนหัวขโมยกลุ่มหนึ่งก็มิปาน ซูชิงอู่มิได้รู้สึกเสียใจ อย่างไรเสียถ้าหากขนย้ายไปมิได้แล้วต้องทิ้งเอาไว้ที่นี่ ก็รังแต่จะถูกผู้อื่นนำไปใช้เสียเปล่า ๆ มิสู้ทำลายทิ้งให้สิ้นซากเสียดีกว่า นางเดินเข้ามาในห้องพลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง ทันใดนั้นก็หยุดฝีเท้าอยู่ตรงแจกันใบหนึ่ง สายตาของเย่เสวียนถิงคอยตามติดนาง เมื่อเห็นนางหมุนฐานแจกันด้วยท่าทีคล่องแคล่ว ภาพเขียนที่แขวนอยู่บนผนังทางด้านหน้าก็ร่วงหล่นลงมา เผยให้เห็นห้องลับที่อยู่ข้างหลัง ซูชิงอู่ยิ้มพลางกล่าวว่า "อยู่ตรงนี้อย่างที่คาดคิดเอาไว้จริง ๆ เสียด้วย" เมื่อเย่เสวียนถิงเห็นนางก้าวเข้ามาก็รีบขวางนางเอาไว้ทันที น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและเค
ตรงหน้าของนางคือหีบหยกแถวหนึ่ง โดยที่หีบแต่ละใบมีสมุนไพรที่ได้รับการเก็บรักษาเป็นอย่างดี มีสมุนไพรอยู่ทุกชนิด นับเป็นสมบัติที่ยากจะพบได้ในตลาด ลำพังแค่ต้นเดียวก็มีมูลค่าถึงหลายพันตำลึงทองแล้ว! ซูชิงอู่พลันดวงตาแดงก่ำขึ้นมาทันที พอนางนึกได้ว่าสุดท้ายของพวกนี้ล้วนถูกหลิงซื่อแลกเปลี่ยนเป็นสินเดิมให้แก่ซูเชียนหลิง โทสะระลอกหนึ่งก็อดมิได้ที่จะปะทุขึ้นมา นางอยากจะสับทั้งสองคนนี้ให้เป็นชิ้น ๆ นัก แต่นางรู้สึกว่าให้พวกนางตายเช่นนั้นคงจะง่ายดายเกินไปจริง ๆ ถ้าหากนางมิได้ทรมานพวกนางให้มากพอ นางจะบรรเทาความเกลียดชังลงได้อย่างไรกัน? ซูชิงอู่ก้าวเข้ามาสัมผัสหีบหยก ข้าวของเหล่านี้ล้วนเป็นของฟางอี๋ซิน เช่นเดียวกับตำรับโอสถอันเป็นสมบัติที่ยากจะพบเจอในพิภพ นางจึงเอ่ยขึ้นมาว่า "เสวียนถิง ข้าอยากจะเอาของพวกนี้กลับไปด้วย" "ได้สิ" เย่เสวียนถิงสั่งให้องครักษ์ที่อยู่ข้างนอกเข้ามาขนย้ายข้าวของออกไป หีบใบแล้วใบเล่าถูกใส่ลงไปในลังไม้ เมื่อซูชิงอู่เห็นว่าในที่สุดพวกมันก็หวนคืนสู่เจ้าของที่แท้จริง นางก็มองด้วยสายตาพึงพอใจอย่างล้ำลึก จากนั้นนางก็เดินไปยังหีบอีกใบซึ่งมีอัญมณีล้ำค่านับไม่ถ้วน ก