ซูชิงอู่ก้มศีรษะลงและก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวเจ้าอาวาสเฒ่าก็เป็นพระนักรบมาก่อนเช่นกันและเขาก็เป็นปรมาจารย์ที่มีฝีมือสูงมากอีกด้วย ในขณะนี้ เขากำลังต่อสู้กับชายสวมหน้ากากผีอยู่แต่ปรากฏชัดว่าเจ้าอาวาสเฒ่าเป็นฝ่ายถูกชายสวมหน้ากากผีเล่นงานเสียอย่างนั้นเกรงว่าใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป เจ้าอาวาสเฒ่าคงทนไม่ไหวแล้วถอยกลับไปตอนนี้เจ้าอาวาสเฒ่ากำลังถ่วงเวลาอยู่ แม้ว่ากลุ่มคนของเขาจะไม่มาช่วยเหลือแต่ราชครูเฒ่าก็ไม่ตื่นตระหนกนัก เขาหยิบขวดออกมาจากอ้อมแขนของตนแล้วยื่นให้ซูชิงอู่ "โยนสิ่งนี้ใส่ชายสวมหน้ากากผีเสีย"ซูชิงอู่หยิบขวดดังกล่าวมาไว้ในมือมีสีหน้ากังวลและหวาดกลัวบนใบหน้าของนาง“อาตมาทำไม่ได้ เกิดขว้างไม่ดีขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ?”เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่ดูขลาดเขลาของนาง ใบหน้าของราชครูเฒ่าก็มืดลงทันที "ไปเถอะ บอกให้เจ้าไปก็ไปเสีย ไม่เช่นนั้นทั้งเจ้าและข้าจะต้องตายอยู่ที่นี่ทั้งคู่!"นอกจากนี้เขายังหยิบกริชออกมาจากแขนเสื้อของตนอีกด้วย สันคมของกริชเรืองแสงสีฟ้าจาง ๆ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยพิษ“หากขวดยาไม่ได้ผลก็หาโอกาสใช้กริชนี้ทำร้ายชายสวมหน้ากากผีก็ได้ เจ้าอาวาสเฒ่าคอยยับยั้ง
ศีรษะเหล็กของเจ้าอาวาสเฒ่าค่อนข้างแข็งแกร่ง แม้ว่าจะถูกซูชิงอู่โจมตีอย่างแรง แต่มันไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรเจ้าอาวาสเฒ่าตกตะลึงและรู้สึกปวดศีรษะ และครู่ต่อมา ความเจ็บปวดสาหัสก็ถาโถมเข้าใส่เขา"อ๊า!"ของเหลวในขวดหกใส่ศีรษะของเขาและกัดกร่อนหนังศีรษะในทันที ของเหลวมีคุณสมบัติกัดกร่อนที่รุนแรง และเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้ผิวหนังและเนื้อเน่าเปื่อยได้"เจ้า……"เจ้าอาวาสเฒ่าจ้องมองมาด้วยความโกรธ ดวงตาปูดโปน!ซูชิงอู่แสดงสีหน้าประหลาดใจ "โอ้ พลาดแล้ว!"‘ภิกษุหนุ่มรูปนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อช่วย แต่มาเพื่อสร้างปัญหา!’เจ้าอาวาสเฒ่าโกรธมาก ใบหน้าแดงก่ำและลำคอหดเกร็งเมื่อชายสวมหน้ากากผีเห็นฉากนี้ เขาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็หรี่ตาลงโดยไม่ตั้งใจเย่เสวียนถิงที่ซ่อนตัวอยู่ใต้หน้ากากจะปล่อยโอกาสดี ๆ เช่นนี้ไปได้อย่างไร เขาชูดาบยาวท่ามกลางแสงจันทร์ และมุ่งหน้าเข้าหาเจ้าอาวาสเฒ่าราวกับมังกรว่ายน้ำศีรษะของเจ้าอาวาสเฒ่าเจ็บปวดอย่างรุนแรง และทักษะของเขาซึ่งด้อยกว่าอีกฝ่ายอยู่แล้วนั้นยังช้ากว่าด้วย เขายกมือกุมศีรษะขณะถอยกลับอย่างรวดเร็ว แต่ไหล่ของเขาก็ยังถูกแทงด้วยดาบของคู่ต่อสู้อย่างหล
เจ้าอาวาสเฒ่ามีสีหน้าดุร้าย และด้วยศีรษะที่เต็มไปด้วยยาพิษ เขาคว้าข้อมือของซูชิงอู่ด้วยทันที“บัดซบ กล้าดียังไงมาลอบทำร้ายข้า?!”ซูชิงอู่ระงับรอยยิ้มของนางและถอยออกไปเกือบจะทันทีที่เจ้าอาวาสเฒ่าลงมือแต่ความเร็วของนางยังช้าเกินไปเมื่อเทียบกับเจ้าอาวาสเฒ่า!ซูชิงอู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาของเจ้าอาวาสเฒ่าเป็นสีแดงราวกับเลือด เขาหมายจะระบายความโกรธทั้งหมดในใจใส่นางทันทีที่เขาตระหนักว่าตนหมดทางรอด สิ่งที่เขาคิดไม่ใช่วิธีล้างพิษ แต่เป็นวิธีลากภิกษุน้อยที่กล้าทำร้ายเขาให้ตายไปพร้อมกัน!ซูชิงอู่กัดริมฝีปากและเริ่มหลบอย่างสิ้นหวัง ตั้งใจที่จะถ่วงเวลาอีกฝ่ายตราบใดที่นางรอจนเจ้าอาวาสเฒ่าถูกพิษเล่นงานได้ นางก็จะรอดอย่างไรก็ตาม นางประเมินพลังชีวิตและความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดของเจ้าอาวาสเฒ่าต่ำไปหลังจากที่นางหลบไปสองสามครั้ง จู่ ๆ ก็มีคนคว้าแขนนางไว้!นางไม่สามารถแยกตัวออกไปได้ ดังนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นและมองเจ้าอาวาสเฒ่านั้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว‘แย่แล้ว!’ซูชิงอู่ไม่เคยคิดจะรอให้คนอื่นมาช่วยนางขณะตกอยู่ในอันตราย ในขณะนี้วิธีแก้ปัญหามากมายวิ่งเข้ามาในใจของนางอย่างรวดเร็
ชายสวมหน้ากากผีมีสีหน้าเย็นชาและน่าสะพรึงกลัว ใบหน้าภายใต้หน้ากากไร้ร่องรอยของอารมณ์เย่เสวียนถิงไม่รู้ว่าทำไม แต่เขากลับลังเลเมื่อมองดูภิกษุน้อยผู้นี้หากเป็นยามปกติ เขาจะฆ่าลูกน้องของศัตรูโดยไม่ลังเลเลยอารมณ์อันไม่อาจอธิบายได้ที่ปะทุขึ้นในใจทำให้ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย และดวงตาที่เย็นชาเหล่านั้นก็มองที่ซูชิงอู่ผ่านหน้ากากซูชิงอู่รู้สึกได้ถึงเจตนาสังหารอันรุนแรงที่เล็ดลอดออกมาจากอีกฝ่าย นางเลิกคิ้วและเอ่ยอย่างรวดเร็ว"ท่านจอมยุทธ์ ท่านปรมาจารย์ อย่าฆ่าข้าเลย ข้ารู้ว่าราชครูเฒ่าอยู่ที่ใดและสามารถช่วยนำทางให้ท่านได้!"นางไม่กล้าถอดหน้ากากออกง่าย ๆ ถึงยังไงอีกฝ่ายก็มีชื่อเสียงน่าสะพรึงกลัว และคงจะไม่ดีถ้าอีกฝ่ายมีเจตนาชั่วร้ายหลังจากรู้ตัวตนของนางแล้วเมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด เย่เสวียนถิงก็ค่อย ๆ เก็บดาบของเขาเข้าฝักเสียงแหบแห้งและทุ้มต่ำซึ่งจงใจปลอมตัวเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงทุ้มดั้งเดิมดังมาจากลำคอของเขา"นำทางไป"ซูชิงอู่พยักหน้าอย่างรวดเร็ว นางหันหลังกลับและเดินไปข้างหน้าด้วยทักษะศิลปะการต่อสู้ของอีกฝ่าย เขาสามารถฆ่านางได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นนางจึงไม่ได้คิดจะตลบหลังเขา
ทางเดินยาวลึกเข้าไปในความมืดปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขาทั้งสอง มีโถงหินที่ถูกขุดเข้าไปทั้งสองด้าน มีเตียงหินจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ในห้องหินเหล่านั้นบนเตียงหินเหล่านั้น มีคนถูกมัดอยู่และจับจ้องมา พวกเขาล้วนเป็นชายหนุ่มและหญิงสาวอายุระหว่างสิบถึงยี่สิบปีคนเหล่านั้นสวมอาภรณ์ขาดวิ่น และผิวหนังที่ถูกเปิดเผยล้วนเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นต่าง ๆ บนร่างกายแทบไม่มีบริเวณเว้นว่างเลยเปลือกตาของซูชิงอู่กระตุกอย่างรวดเร็วเมื่อนางเห็นฉากที่คุ้นเคยนี้ร่างกายของนางสั่นเล็กน้อย ความรู้สึกคลื่นไส้เกิดขึ้นเองอย่างห้ามไม่ได้ ทำให้นางต้องปิดปากและตัวสั่นเทิ้มเย่เสวียนถิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อเห็นฉากนี้ ใครจะคิดว่ามีเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ซุกซ่อนอยู่ในวัดพุทธอันเป็นที่พึ่งพิงของแคว้นทันใดนั้นเขาก็ขยับก้าวไปข้างหน้า และใช้ดาบยาวที่คมราวกับเหล็กกล้า ตัดเชือกและโซ่ของทุกคนที่ถูกผูกไว้กับเตียงหินออกอย่างไรก็ตามคนเหล่านั้นยังคงนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น หากหน้าอกของพวกเขาไม่สั่นไหว พวกเขาก็ดูไม่ต่างไปไปจากซากศพจุดประสงค์เดิมของเย่เสวียนถิงคือการฆ่าราชครูเฒ่าเท่านั้น แต่เมื่อเห็นฉากนี้ เขาไม่คิดจะให้ภิกษุหนุ่มนำทางอี
ดวงตาของนางเป็นสีเทาและมืดมนลงอย่างมาก หลังจากปิดตาของชายคนนั้น นางก็เอ่ยปากเบา ๆ "ข้าจะล้างแค้นให้กับเจ้าเอง"เสียงของซูชิงอู่เบามากแต่ห้องหินทั้งหมดไร้ช่องลม และเย่เสวียนถิงมีหูที่ไม่ธรรมดาจึงสามารถได้ยินทุกอย่างชัดเจนเมื่อเขาเห็นภิกษุฆ่าคน ดวงตาของเขาก็แสดงท่าทีสงบทันทีอย่างไรเสีย ก็ไม่มีทางที่ภิกษุจะก่อเหตุสังหารคนโดยไม่ลังเลเช่นนี้ ดังนั้นตัวตนของบุคคลนี้จึงต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ เขาหรี่ตา "ท่านฆ่าเขาอย่างนั้นหรือ?"ซูชิงอู่มองไปยังชายสวมหน้ากากผี เสียงของนางสงบอีกทั้งยังโค้งคำนับ "อามิตตาพุทธ พระพุทธเจ้าเคยกล่าวไว้ว่า หากพระองค์ไม่ตกนรก ไฉนจะมีใครตกนรกอีก"เย่เสวียนถิงถึงกับพูดไม่ออก"..."ถึงกระนั้นเขาก็เลิกกังวล เพราะขี้เกียจเกินกว่าจะติดใจเอาความ "ท่านไปรายงานเรื่องนี้และพาคนมาจัดการเรื่องนี้เสีย ทีนี้ก็บอกทิศทางของราชครูเฒ่ามาให้ข้าได้แล้ว"เมื่อซูชิงอู่เห็นชายสวมหน้ากากผีพูดเช่นนี้ นางรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจว่าคนที่มาจากโหลวชาต้องเป็นคนดีอย่างแน่นอนเพราะหากเขาเป็นนักฆ่าเลือดเย็นจริง ๆ จะสนใจว่ามีใครตายไปทำไม?อย่างไรก็ตาม……"ไม่"เย่เสวียนถิงเลิกคิ้วเล็
แสงเย็นเยือกพุ่งตรงผ่านด้านข้างของใบหน้าของซูชิงอู่และพุ่งชนเข้ากับผนังอย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ซูชิงอู่ดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่านางกำลังตกอยู่ในอันตราย และนางก็ลืมเกี่ยวกับอาวุธลับที่เกือบจะโจมตีนางตอนนี้ด้วย ตอนนี้นางคิดถึงเพียงการสัมผัสมือของอีกฝ่ายเท่านั้นนางคุ้นเคยกับร่างกายของเย่เสวียนถิงเป็นอย่างมากในสองชั่วชีวิตของนาง ทั้งอดีตและปัจจุบัน นางรู้จักคน ๆ นี้เป็นอย่างดีนางสามารถจดจำทุกส่วนในร่างกายของเขาได้อย่างชัดเจน นางยังรู้ด้วยว่านิ้วของเขายาวเพียงใดและผิวของเขาสัมผัสเป็นเช่นไรก่อนหน้านี้มีเลือดของคู่ต่อสู้บนนิ้ว อีกทั้งเขาถือดาบ สวมเสื้อคลุมสีดำหลวม ๆ ที่ปกคลุมร่างของเขา และเสียงของเขาจงใจเปลี่ยนไป ดังนั้นนางจึงไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติเลยส่วนใหญ่เป็นเพราะนางไม่ได้คิดสงสัยเหนือสิ่งอื่นใด ก่อนหน้านี้เย่เสวียนถิงอยู่ในเมืองหลวง จู่ ๆ เขาจะมายังที่วัดเหลียงซานนอกเมืองเพื่อลอบสังหารราชครูเฒ่าได้อย่างไรแต่ตอนนี้ นางไม่เชื่อว่าจะมีใครอื่นที่มีลักษณะแบบเดียวกับมือของเย่เสวียนถิงโดยบังเอิญนางอยากจะตะครุบเขาทันทีและดึงหน้ากากผีที่น่ากลัวบนใบหน้าของอีกฝ่ายออก แต่นางได้เพียงแค
ท่ามกลางทางเดินยาว ขณะที่ซูชิงอู่เดินเข้าไป ลูกธนูนับไม่ถ้วนก็ถาโถมเข้ามาซูชิงอู่หลบเลี่ยงอย่างไม่รีบร้อน นางอาจไม่ได้เร็วมาก แต่นางก็สามารถหลีกเลี่ยงลูกธนูได้อย่างแม่นยำทุกครั้ง ราวกับว่านางคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วราชครูเฒ่าที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องมืด ซึ่งกำลังควบคุมกลไก รู้สึกได้ถึงเจตนาร้ายของผู้มาเยือน ผู้มาเยือนปริศนาที่คอยกระตุ้นกลไกรับกำลังเข้ามาใกล้เขามากขึ้นเรื่อย ๆ และบุคคลนั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะตายเขาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าอีกฝ่ายสามารถหลบเลี่ยงฝูงธนูที่แน่นหนาของเขามาได้อย่างไรนั่นก็เพราะเขาไม่รู้เลยว่าสำหรับซูชิงอู่แล้ว ทั้งหมดนี้ไม่ต่างจากสิ่งที่นางเคยประสบมาในชีวิตครั้งก่อน นางไม่เคยลืมมันได้เลย มุมและตำแหน่งของคันธนูและลูกธนูเหล่านั้นไม่ได้แตกต่างกันมากนัก หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ตระหนักได้ว่าสามารถหลีกเลี่ยงระยะการโจมตีของธนูและลูกธนูทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบนี่ถือได้ว่าเป็นข้อได้เปรียบที่ติดตัวนางมาตั้งแต่ชีวิตครั้งที่แล้วในทางเดินด้านขวามีกลไกหนาแน่นมากกว่าและอันตรายกว่า ซูชิงอู่ก้าวเดินอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งนางมาถึงหน้าโถงหินที่ราชครูเฒ่าใช้ซ่อนตัวอยู่อย่า
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้