ท่ามกลางทางเดินยาว ขณะที่ซูชิงอู่เดินเข้าไป ลูกธนูนับไม่ถ้วนก็ถาโถมเข้ามาซูชิงอู่หลบเลี่ยงอย่างไม่รีบร้อน นางอาจไม่ได้เร็วมาก แต่นางก็สามารถหลีกเลี่ยงลูกธนูได้อย่างแม่นยำทุกครั้ง ราวกับว่านางคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วราชครูเฒ่าที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องมืด ซึ่งกำลังควบคุมกลไก รู้สึกได้ถึงเจตนาร้ายของผู้มาเยือน ผู้มาเยือนปริศนาที่คอยกระตุ้นกลไกรับกำลังเข้ามาใกล้เขามากขึ้นเรื่อย ๆ และบุคคลนั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะตายเขาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าอีกฝ่ายสามารถหลบเลี่ยงฝูงธนูที่แน่นหนาของเขามาได้อย่างไรนั่นก็เพราะเขาไม่รู้เลยว่าสำหรับซูชิงอู่แล้ว ทั้งหมดนี้ไม่ต่างจากสิ่งที่นางเคยประสบมาในชีวิตครั้งก่อน นางไม่เคยลืมมันได้เลย มุมและตำแหน่งของคันธนูและลูกธนูเหล่านั้นไม่ได้แตกต่างกันมากนัก หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ตระหนักได้ว่าสามารถหลีกเลี่ยงระยะการโจมตีของธนูและลูกธนูทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบนี่ถือได้ว่าเป็นข้อได้เปรียบที่ติดตัวนางมาตั้งแต่ชีวิตครั้งที่แล้วในทางเดินด้านขวามีกลไกหนาแน่นมากกว่าและอันตรายกว่า ซูชิงอู่ก้าวเดินอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งนางมาถึงหน้าโถงหินที่ราชครูเฒ่าใช้ซ่อนตัวอยู่อย่า
ด้วยเสียง "ตูม!" ไฟขนาดใหญ่ลุกลามไปทั่ว และซูชิงอู่รู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนที่ปะทะเข้าหาใบหน้าของนาง แม้ว่านางจะถอยกลับไปยังตำแหน่งที่ปลอดภัยแล้วก็ตาม"ตูม!"หินบางส่วนบนผนังรอบ ๆ ทางเดินสั่นสะเทือนจากแรงระเบิด และร่วงลงพื้นฝุ่นและควันฟุ้งตลบซูชิงอู่กำลังจะขยับ ขณะที่อิฐบริเวณเหนือศีรษะของนางแตกและพุ่งพร้อมกระแทกเข้าที่ศีรษะของนางนางได้ยินเสียงรอยแตกและเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเห็นผนังอิฐ ขณะที่นางกำลังจะลงมือเคลื่อนไหว นางก็เห็นแสงเย็น ๆ ส่องผ่านมา และหินที่อยู่เหนือหัวของนางก็ถูกตัดออกเป็นสองส่วนร่างมืดทะมึนยืนอยู่ตรงหน้านาง เย่เสวียนถิงกลับมาแล้ว!ร่างเพรียวของเขาถือดาบอยู่ในมือและเสียงของเขาทั้งเย็นชาและน่ารื่นรมย์ "อยู่เฉย ๆ อย่าเดินไปทั่ว”หลังจากที่เขาทิ้งคำพูดเหล่านี้ ร่างของเขาก็เข้าไปในห้องมืดในพริบตาซูชิงอู่ยืนตะลึงเมื่อฟังน้ำเสียงของเย่เสวียนถิงที่พูดกับนางตอนนี้ ดูเหมือนจะอ่อนโยนและเตือนสติเล็กน้อยนางขมวดคิ้ว แม้ผ่านไปสักพักนางก็เดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายค้นพบตัวตนของนางแล้วหรือไม่เป็นไปไม่ได้หรอก…นางมั่นใจในทักษะการปลอมตัวมาโดยตลอด แม้ว่าจะใช้เวลาเตรียมตัวนาน แต
นางอดไม่ได้ที่จะเผยเสียงดั้งเดิมของนาง แต่เย่เสวียนถิงกลับไม่ได้แสดงความประหลาดใจใด ๆ เขายังมองหน้านางด้วยความสนใจเมื่อสัมผัสผิวหนังปลอมที่นางใช้พรางตัวด้วยปลายนิ้วของเขา เสียงของเย่เสวียนถิงก็แหบห้าว ราวกับว่าเขากำลังระงับบางสิ่งเสียงของเขาแผ่วเบา "อาอู่ชอบอะไรแบบนี้หรือ?"ใบหน้าของซูชิงอู่ภายใต้ผิวหนังปลอมเปลี่ยนเป็นสีแดงหูของนางก็กลายเป็นสีแดงทันทีนางรีบส่ายหน้าแล้วพูดว่า "ไม่... ข้าแค่..."นางต้องการอธิบาย แต่นางไม่รู้ว่าจะปกป้องตัวเองอย่างไร ท้ายที่สุดนางก็รู้สึกผิดเช่นกันแต่เมื่อนางหันกลับมานางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ อีกฝ่ายกลับลงมือก่อนและยึดความเป็นต่อได้สำเร็จ!เย่เสวียนถิงไม่ได้มีรสนิยมประหลาด ดังนั้นเขาจึงออกแรงที่ปลายนิ้ว เปิดเผยใบหน้าปลอมของนางออก ซึ่งเผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ข้างใต้ อันทำให้เขายิ่งควบคุมตัวเองได้ยากขึ้นเขารู้สึกเหมือนมีมดนับพันกัดแทะบนร่างกายของเขา และคลื่นความร้อนก็แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย ทำให้ดวงตาของเย่เสวียนถิงเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพของเขา ซูชิงอู่ก็ยื่นมือออกไปสัมผัสชีพจรของเขาทันที จากนั้นจึงถอนหายใจด้วยความโล่ง
แม้ว่านางจะไม่ทราบสถานการณ์ปัจจุบันของเย่เสวียนถิง แต่นางก็เข้าใจดีว่าจะปล่อยให้ทหารรักษาพระองค์ค้นพบตัวตนของบุรุษตรงหน้าไม่ได้ชื่อเสียงของสำนักโหลวชาไม่ค่อยดีนัก ตราบใดที่มีเงิน ไม่ว่าจะบุรุษ สตรี หรือเด็กพวกเขาก็ฆ่าได้ทั้งนั้นแม้ว่าสำนักนี้จะลึกลับแต่ก็เป็นที่ต้องการของหลายแคว้น หากถูกจับได้ ชะตากรรมของเย่เสวียนถิงจะไม่ง่ายอย่างแน่นอน"ตามข้ามา"ซูชิงอู่ไม่ให้โอกาสเย่เสวียนถิงได้โต้ตอบ และให้เขาวิ่งตามนางมาแม้ว่าพื้นที่ใต้ดินนี้จะขยายไปทุกทิศทุกทาง แต่ก็ไม่มีที่ใดจะซุกซ่อนผู้คนได้ดีนักซูชิงอู่มองไปทางซ้ายและขวา และในที่สุดก็เห็นช่องว่างบริเวณทางเดินนางนำเย่เสวียนถิงตรงเข้าไป ความมืดเข้ามาปกคลุมร่างของคนทั้งคู่ ภายในช่องว่างแคบ ๆ นี้ พวกเขาทั้งสองร่างกายแนบชิด ชนิดที่สามารถได้ยินเสียงหายใจของทั้งสองฝ่ายได้สถานที่นี้แคบมากจนเย่เสวียนถิงคิดว่าเขาได้กลิ่นหอมจาง ๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของซูชิงอู่หน้ากากผีบนใบหน้าของเขาถูกโยนทิ้งไปนานแล้ว แต่ดวงตารูปหงส์ของเขาดูเหมือนจะเรืองแสงเจิดจ้าในความมืดเขากัดฟัน เกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกาย และยื่นมือออกไปจับสตรีตัวเล็กที่อย
ก่อนที่มันจะหยุดอยู่นอกมุมที่พวกเขาทั้งสองซ่อนตัวอยู่ทันใดนั้น ซูชิงอู่ก็เบิกตากว้าง แล้วจึงผลักเย่เสวียนถิงออก ก่อนหันกลับไปมองนายเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างนอก มองนางและเขาด้วยสีหน้าเขินอาย “พวกท่านทำต่อไปเถิด กระหม่อมไม่เห็นอะไรเลย”ซูชิงอู่ถึงกับพูดไม่ออก "..."นางเอ่ยปากในทันที "เซียวเฝิง?"ทันทีที่นางพูด ใบหน้าของนางก็ขึ้นสีเสียงของนางแหบแห้ง ทำให้นางต้องกระแอมไอสองครั้งด้วยความเขินอายเซียวเฝิงในวันนี้แตกต่างจากสิ่งที่เขาเป็นเมื่อหนึ่งหรือสองเดือนก่อนอย่างสิ้นเชิง เขาสวมชุดของทหารรักษาพระองค์ ชุดเกราะสีเงินของเขาทำให้ดูสง่างาม และรูปลักษณ์ดูสมกับว่าที่จอมพลในอนาคตเซียวเฝิงพยักหน้า หลีกเลี่ยงการจ้องมองพระชายา ไม่กล้ามองทั้งสองคนในมุมมืด และแขวนคบเพลิงไว้บนผนังบริเวณใกล้เคียงเขาแสดงความเคารพอย่างนอบน้อมและกล่าวว่า "กระหม่อมถวายพระพรท่านอ๋องและพระชายาพ่ะย่ะค่ะ!"เขาจะไม่มีวันลืมว่าเขามาถึงจุดที่อยู่ทุกวันนี้ได้อย่างไรในฐานะคนหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างเขา บุญคุณนี้ยิ่งใหญ่กว่าผืนฟ้าเขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเย่เสวียนถิง ไม่สงสัยว่าทำไมเขาถึงมาที่นี่เลย เซียวเฝิงทำเพียงเอ
เย่เสวียนถิงเอ่ยอย่างสงบ ค่อนข้างโหดเหี้ยม ไม่มีเหตุผล และก่อกวน“ผู้บัญชาการเซียว ข้าเชื่อว่าเจ้าแก้ปัญหาได้”เซียวเฝิงถึงกับพูดไม่ออก "..."แต่วันนี้เสวียนถิงเป็นคนที่ช่วยให้เขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด ดังนั้นต่อให้ทำไม่ได้เขาก็จำเป็นต้องทำในตอนที่เขามาถึง ได้ฝากข้อความเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกจับจนเกินไปนักยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็มาที่นี่เพื่อจับฆาตกร ไม่ใช่ท่านอ๋องเซียวเฝิงมองดูพวกเขาทั้งสองจากไปอย่างปลอดภัยพลางหรี่ตาลงทันที แล้วหันกลับไปเพื่อขอให้ใครบางคนนำเสื้อคลุมและหน้ากากที่เขาหยิบขึ้นมาใช้เป็นหลักฐานเขากระซิบกับผู้คนที่อยู่รอบตัว "ในตอนที่พวกเจ้ากลับไปรายงาน เราจะต้องพูดว่าราชครูเฒ่าและนักฆ่าเสียชีวิตพร้อมกัน เจ้านำเสื้อผ้าของนักฆ่ามาได้เพียงบางส่วน อีกทั้งยังมีมือที่ถูกตัดของราชครูเฒ่าเท่านั้น"“ขอรับ ผู้บัญชาการเซียว!”องครักษ์ตัวน้อยที่ส่งข้อความลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถาม "แล้วพวกที่อยู่ในห้องใต้ดินพวกนี้ล่ะขอรับ?"เซียวเฝิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ดูแลพวกที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ดี จากนั้นจึงรายงานเรื่องนี้ตามความเป็นจริง แล้วรอคำแนะนำ"“น้อมรับคำสั่ง
พระหนุ่มหลายคนที่สลบไปเมื่อคืนก็ตื่นแล้วเช่นกัน พิษที่พวกเขาได้รับนั้นออกฤทธิ์ค่อนข้างอ่อน ตอนนี้พวกเขาจึงกลับมาเป็นปกติแล้วไม่นาน ก็มีคนไปยังกุฏิที่ซูชิงอู่อยู่เพื่อแจ้งข่าวให้นางทราบ“พระชายาเสวียนอยู่ที่นี่หรือไม่? ไทเฮาทรงมีรับสั่งให้ทุกคนออกจากวัดเหลียงซานทันที ตอนนี้รถม้ามารออยู่ที่เชิงเขาแล้ว”อวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงยังคงเฝ้าพระหนุ่มชื่อที่ชื่อวั่งเหยียนอยู่ในห้องร่างของวั่งเหยียนถูกคลุมอยู่ใต้ผ้าห่ม และมีฉากกั้นด้านนอกเพื่อปกป้องเขาสองสาวใช้รอทั้งคืนแต่ก็ไม่เห็นพระชายากลับมา จึงมีความกังวลเล็กน้อยอยู่พักหนึ่งเมื่อได้ยินคนข้างนอกเรียกให้พวกนางออกไป อวิ๋นจื่อก็รีบเดินออกไปด้วยความระมัดระวังและพูดกับพระที่มาแจ้งข่าวว่า “พระชายาของข้ารู้สึกไม่สบาย ท่านได้โปรดกลับไปแจ้งทีว่าเราจะตามไปทีหลัง”พระหนุ่มไม่สงสัยอะไรเลยแม้แต่น้อย “เช่นนั้นอาตมาจะไปแจ้งให้ตามนั้น”พระหนุ่มที่เพิ่งกลับออกมาจากกุฏิ ก็บังเอิญไปเจอเข้ากับองค์หญิงสี่และคนอื่น ๆ ที่เดินมาทางนี้พอดีเมื่อเห็นพระหนุ่มนางก็เลิกคิ้วถามว่า “พี่สะใภ้อยู่ที่ไหน?”“พระชายาแจ้งว่านางไม่สบายและยังคงพักผ่อนอยู่”“เช่นนั้นหรือ?
อวิ๋นจื่อไม่ทันได้ตอบโต้เสียงดัง ‘เผียะ!’ อวิ๋นจื่อรู้สึกหูอื้อ แก้มของนางบวมขึ้นในทันทีนางกำนัลอาวุโสผู้นั้นใช้แรงทั้งหมดที่มีตบอวิ๋นจื่ออีกทั้งยังตะโกนออกมา “โอหัง! คนชั้นต่ำเช่นเจ้าบังอาจมาแตะต้ององค์หญิงได้อย่างไร?”องค์หญิงสี่มีสีหน้าตกใจ เมื่อเห็นว่านางกำนัลอาวุโสกำลังจะลงมืออีกครั้ง นางก็รีบก้าวไปห้าม“นางกำนัลหลิว เด็กคนนี้ไม่ได้ตั้งใจ อย่าไปลงโทษนางเลย”“องค์หญิงก็ช่างมีจิตใจเมตตา ทว่าคนชั้นต่ำที่กล้าแตะต้องท่านควรถูกตัดมือทิ้งเสียเพคะ!”เย่หมิงเยว่พูดเสียงอ่อน “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง หากลงมือไป ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีคนกี่คนที่พากันพูดว่าข้าโหดร้าย เจ้าอย่าทำเช่นนี้เลย”อวิ๋นจื่อคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อฟังการสนทนาระหว่างนายและบ่าวจุดที่นางคุกเข่ายังคงเป็นหน้าประตู นางพยายามอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้าไปแม้จะถูกทุบตี แต่อวิ๋นจื่อก็ยินดีเพราะอาจถ่วงเวลาไปได้ระยะหนึ่งนางรีบคุกเข่าคำนับ “ขอบพระทัยองค์หญิงสำหรับความเมตตาอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ถือสาเอาความหม่อมฉันเพคะ!”เย่หมิงเยว่ลดสายตาลง พลางก้มลงช่วยนางด้วยตัวเอง “เอาล่ะ ลุกขึ้นเถิด ข้าอยากเข้าไปเยี่ยมพี่สะใภ้”
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้