ในอึดใจต่อมา ผมยาวสลวยก็ลอดออกจากผ้าห่ม ใบหน้างดงามที่ดูเกียจคร้านของซูชิงอู่ประกอบกับผมสีดำยุ่งเหยิงทำให้นางมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้นที่หางตายังคงมีรอยสีแดงจาง ๆ เนื่องจากเพิ่งตื่นนอน แต่ใบหน้าที่ไร้ที่ติของนางกลับเย็นชาไร้อารมณ์เมื่อนางเงยหน้าขึ้น นางก็สบตากับเย่หมิงเยว่เย่หมิงเยว่ดึงมือกลับโดยไม่รู้ตัวและอธิบายอย่างรวดเร็ว “พี่สะใภ้ หมิงเยว่ไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนท่าน ข้าได้ยินมาว่าท่านป่วย ข้ากังวลใจมากจึงบุกมาหาเช่นนี้”ซูชิงอู่เหลือบมองเย่หมิงเยว่และผู้ติดตามที่นางพามาในสภาพที่ผมยาวคลุมไหล่ นางคว้าเสื้อคลุมข้างตัวมาสวม ครู่ต่อมานางก็ดึงผ้าห่มออกแล้วเดินลงจากเตียงเท้าเปล่าของนางสัมผัสพื้น ดูเหมือนนางจะไม่กลัวความหนาวเย็น อีกทั้งไม่ได้ตอบคำถามขององค์หญิงสี่ แต่กลับเบนสายตาไปยังที่อวิ๋นจื่อที่กำลังแอบอยู่ประตูพลางเอามือกุมหน้านางเอ่ยปากถาม “ใครตบเจ้า?”เสียงของซูชิงอู่แหบเล็กน้อย แต่สื่อถึงความกดดันอย่างรุนแรงเย่หมิงเยว่คาดไม่ถึงว่าซูชิงอู่ไม่แม้แต่จะมองหน้านาง นางเม้มปากแน่น พลางทำสายตาไม่พอใจเล็กน้อย“เมื่อครู่นางประมาทมาชนข้า นางกำนัลของข้าเลยลงโทษนาง หากนางทำรุนแรงเกินไปห
ดวงตาของเย่หมิงเยว่เต็มไปด้วยความขุ่นมัวและคับข้องใจเมื่อนางสนมที่ยืนหน้าประตูเห็นท่าทางเช่นนั้นขององค์หญิงสี่ พวกนางก็เริ่มเป็นเดือดเป็นร้อนแทนทันทีพวกนางรีบเดินไปอยู่ข้าง ๆ องค์หญิงสี่พร้อมพูดว่า “พระชายาเสวียน องค์หญิงสี่ทรงมาเยี่ยมก็ด้วยเพราะเป็นห่วงท่าน หากไม่รู้สึกซาบซึ้งก็ไม่เป็นไรหรอก แต่จะเข้าใจความหวังดีขององค์หญิงผิดไปไม่ได้นะเพคะ!”“ความหวังดี?”ซูชิงอู่หรี่ตาลง “อะไรกัน พวกท่านหูไม่ดีหรืออย่างไรถึงได้ไม่เข้าใจสิ่งที่พูด? ข้ากำชับไว้แล้วว่าไม่ให้ผู้ใดมารบกวน แต่พวกท่านก็ยังบุกเข้ามาอีกทั้งยังถามหาเหตุผลเช่นนี้?”“นางกำนัลข้างกายท่านบอกว่าท่านไม่สบายพวกเราถึงได้เข้ามา เหตุใดท่านถึงหยิ่งยโสและไร้เหตุผลได้เพียงนี้!”กลุ่มคนตรงหน้าพูดคุยซุบซิบกันว่าซูชิงอู่ข่มเหงรังแกและไม่ใส่ใจผู้อื่น พวกเขาแสดงความเห็นในแง่ลบออกมามากมายและพยายามปกป้องเย่หมิงเยว่เย่หมิงเยว่เปรียบได้กับดอกไม้สีขาวเล็ก ๆ นางจิตใจดีและใส่ใจผู้อื่นแต่กลับถูกกล่าวหาว่ามีเจตนาไม่ดีน่าเสียดายที่มันคงจะดีหากคำพูดของคนกลุ่มนี้ถูกนำไปใช้จัดการกับผู้อื่น แต่ซูชิงอู่เริ่มจะเบื่อหน่าย เนื่องจากนางคุ้นชินกับสิ่ง
นางเอามือปิดปาก ใบหน้าสดใสที่แต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมเต็มไปด้วยความสุข “ฮ่าฮ่า ท่าทางของพี่สี่ตอนนี้เหมือนลูกหมาตกน้ำเลย อะไรกัน วิธีทำตัวน่าสงสารใช้ไม่ได้ผลหรือ ไม่ทราบว่าสมองพวกท่านมีรอยหยักกันบ้างหรือไม่ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นความผิดของเย่หมิงเยว่ แต่กลับทำตัวหูหนวกตาบอดไม่สนใจ โชคดีที่ที่นี่เป็นวัด หากเป็นที่เรือนพำนักล่ะก็ พวกท่านคงถูกฆ่าตายกันหมดแล้ว!”เมื่อเหล่าสนมเห็นว่าคนผู้นั้นเป็นองค์หญิงห้า พวกนางก็ทำตัวหดเล็กเหมือนนกกระทาทันทีและไม่กล้าที่จะโต้แย้งองค์หญิงห้ามีสายเลือดของราชวงศ์ สถานะของนางไม่มีใครเทียบได้ อีกทั้งยังเป็นองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดมารดาผู้ให้กำเนิดของนางเป็นหนึ่งในพระชายาทั้งสี่ และได้รับการสนับสนุนจากท่านตาที่เป็นมหาบัณฑิต ทำให้ไม่มีใครกล้าตำหนิในสิ่งที่นางทำส่งผลให้นางมีนิสัยเย่อหยิ่งและบ้าอำนาจแต่เมื่อซูชิงอู่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นจากองค์หญิงห้า นางก็เปลี่ยนความคิดที่มีต่อองค์หญิงผู้นี้ไปโดยสิ้นเชิงปรากฎว่าในบรรดาราชนิกุล องค์หญิงห้าดูไม่เอาไหนและมักจะหยิ่งผยอง กลับกลายเป็นองค์หญิงฉลาดที่สุดจู่ ๆ นางก็ชอบบุคลิกที่ตรงไปตรงมาขององค
คนเหล่านั้นเห็นบรรยากาศที่ใกล้จะปะทุระหว่างองค์หญิงทั้งสองก็อยากจะรีบหนีไปแต่ก่อนที่จะก้าวเท้า เย่หลิงจูก็พูดว่า “ทุกคนหยุด!”ทันทีที่นางเอ่ยปาก ทุกคนก็เหมือนจะตกอยู่ใต้มนต์สะกดนางสนมเหล่านั้นอดไม่ได้ที่จะหน้าซีดคนเหล่านี้ไม่ได้มีสถานะสูงส่ง แม้พวกนางจะออกมาไหว้พระสวดมนต์กับไทเฮาได้ แต่ก็ไม่มีใครมีสถานะสูงกว่าเย่หลิงจู ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนคำสั่งขององค์หญิงห้านางสนมทั้งหมดมองไปที่เย่หลิงจูและพูดด้วยน้ำเสียงประจบประแจง “ไม่ทราบว่าองค์หญิงห้าทรงมีรับสั่งอะไรเพิ่มเติมหรือเพคะ?”เย่หลิงจูยิ้ม พลางหันกลับมามองพวกนางแล้วพูดอย่างเย็นชา “ข้านำของขวัญมาเยี่ยมคนไข้เช่นนี้ แล้วพวกเจ้าจะกลับไปมือเปล่าได้อย่างไร แสดงน้ำใจหน่อยสิ”เป็นคำพูดที่เข้าใจได้อย่างชัดแจ้งไม่มีใครสามารถจากไปโดยไม่ทิ้งของบางสิ่งไว้ได้ซูชิงอู่มองดูท่าทางของเหล่านางสนม จากนั้นก็มองไปที่องค์หญิงห้า และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกได้ถึงรอยยิ้มกว้างในดวงตาของนางในที่สุดชาตินี้นางก็ได้พบมิตรแท้บรรดานางสนมทำสีหน้าไม่สู้ดีพลางเข้าแถวต่อหน้าองค์หญิงห้าทีละคนบางคนก็ถอดกำไลที่มือ บางคนก็ถอดปิ่นปักผมบนศีรษะนางสนมเหล่
แต่เย่หลิงจูไม่ได้หวาดหวั่น นางยังคงกล่าวคำต่อว่าอย่างไม่เกรงกลัวตั้งแต่เล็กจนโต เย่หมิงเยว่ก็ถูกต่อว่าเช่นนี้เสมอมาเย่หลิงจูเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของนาง“ข้าไม่สามารถให้หยกพกชิ้นนี้แก่เจ้าได้ นี่เป็น…”ก่อนที่นางจะพูดจบ เย่หลิงจูก็ดึงข้อมือของนางออกแล้วดึงหยกพกออกมา“เอามาเถอะ!”บุคลิกของเย่หมิงเยว่เหมือนดอกไม้สีขาวเล็ก ๆ ที่แสนบอบบาง นางไม่สามารถสู้กับเย่หลิงจูเพื่อปกป้องหยกพกได้เย่หลิงจู่ดึงหยกพกไป หลังจากพินิจดูอยู่ครู่หนึ่งนางก็โยนมันไปรวมกับกองเครื่องประดับ พลางเชิดคางขึ้นแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ท่านออกไปได้แล้ว”นางยังคงหยิ่งผยองและแสดงอำนาจที่เหนือกว่า อีกทั้งไม่รู้สึกผิดเลยที่ได้กลั่นแกล้งผู้อื่นใบหน้าของเย่หมิงเยว่เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ หน้าอกของนางสั่นอย่างรุนแรงดวงตาของนางฉายแววมืดดำ จากนั้นนางก็ออกจากกุฏิโดยไม่หันกลับมามองซูชิงอู่เฝ้ามองความน่าตื่นเต้นจากด้านข้าง และรู้สึกสะใจมากเมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารที่เหมือนถูกรังแกของเย่หมิงเยว่แน่นอนว่าคนชั่วย่อมต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปเย่หลิงจูรอให้คนกลุ่มนั้นกลับไป จากนั้นก็เดินมาหาซูชิงอู่นางว
ซูชิงอู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ความอยากรู้อยากเห็นฉายแววในดวงตาของพวกนางพร้อมกันไม่นานหลังจากที่นางสวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกไป นางก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บนพื้น ทุกคนล้วนมีสภาพเหมือนลูกหมาตกน้ำตอนนี้เป็นฤดูหนาวช่วงหลังปีใหม่พอดีและอากาศก็หนาวเย็นอย่างมากแม้จะออกไปข้างนอกในวันธรรมดาทั่วไปก็ต้องใส่เสื้อด้านในและนอกอย่างละสามชั้นแต่คนเหล่านี้เปียกโชกไปทั้งตัว พวกนางทั้งหมดตัวสั่นและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดังนั้นจึงมีคนนำเสื้อผ้ามาคลุมให้พวกนางแม้แต่องค์หญิงสี่ก็ไม่รอดซูชิงอู่ที่เห็นเหตุการณ์ก็ประหลาดใจและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับพวกนาง?”องค์หญิงห้าอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยรอยยิ้ม “บางทีข้าคงทำให้พระพุทธองค์ขุ่นเคือง สวรรค์จึงได้ลงโทษข้า!”เมื่อองค์หญิงสี่และคนอื่น ๆ ได้ยินเสียงดังกล่าว พวกนางก็เลื่อนสายตามามอง ดวงตาของเย่หมิงเยว่แดงก่ำ ร่างกายของนางสั่นเทา และฟันของนางก็กระทบกันจนส่งเสียงดังกึก ๆนางกำลังจะกลับไปพร้อมกับคนกลุ่มนี้ แต่ไม่นานหลังจากที่นางก้าวออกไป ก็มีคนสาดสิ่งปฏิกูลใส่ไปทั่วร่างมันเป็นน้ำที่มีกลิ่นเหม็น“เป็นพวกเจ้า...ใช่หรือไม่ ต้องเป็น...ฝีมือพวกเจ้าแน่ ๆ !”
นางพูดอย่างเอาแต่ใจ “ไทเฮาเพคะ หลิงจูเห็นเหตุการณ์ พระชายาแค่ลงโทษคนรับใช้เท่านั้นเอง จะทรงคิดมากไปทำไมเล่าเพคะ? พี่สี่นี่ก็นะ ช่างไม่รู้ความต่างของชนชั้นเอาเสียเลย จะคลายความข้องใจให้บ่าวโดยการโจมตีเจ้านายด้วยกันเองหรือ?”แม้สิ่งที่เย่หลิงจูพูดจะค่อนข้างไม่สมเหตุสมผลเหมือนจะกลั่นแกล้งกัน แต่ก็ดูมีเหตุผลอยู่มากเพราะถึงอย่างไรอำนาจของฮ่องเต้ก็เป็นที่ตั้งสูงสุด ไทเฮาและคนอื่น ๆ เองก็ได้รับผลประโยชน์จากความต่างของชนชั้นด้วยเช่นกัน แล้วพระนางจะมาเสียเวลามาไกล่เกลี่ยแทนบ่าวทำไมแม้ซูชิงอู่จะทำผิดจริง แต่นางก็ลงมือกับคนเป็นบ่าว ก็เหมือนกับตระกูลขุนนางที่แม้จะฆ่าบ่าวไปสักคนสองคนก็ไม่ต้องถูกลงโทษแต่อย่างใด นี่เป็นกฎที่พื้นฐานที่สุดของการเอาชีวิตรอดในโลกใบนี้ดังนั้นสีพระพักตร์ของไทเฮาจึงดีขึ้นทันทีพระนางทอดพระเนตรมองเย่หลิงจู พลางลูบหัวนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู“สิ่งที่หลิงจูพูดนั้นก็ใช่ว่าไม่มีเหตุผล หมิงเยว่ เจ้าเป็นองค์หญิง อย่าทำตัวใกล้ชิดกับบ่าวพวกนี้มากเกินไป”เมื่อฟ้องร้องไม่สำเร็จก็ต้องเป็นฝ่ายถูกตำหนิแทนเย่หมิงเยว่รู้สึกเกลียดชังแทบตาย แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้
อวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงหน้าแดงทันทีเมื่อได้ยินดังนั้นร่องรอยทั้งหลายตามเรือนร่างของพระชายา ไม่ต้องมองก็บอกได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นแต่พวกนางทั้งสองไม่ได้คิดเป็นอื่น เพราะด้วยความสามารถของพระชายา หากนางไม่ยินยอมถึงจะใช้เป็นร้อยเป็นพันวิธีก็ไม่สามารถจัดการนางได้“เมื่อคืนนี้พระชายาออกไปกับท่านอ๋อง”อวิ๋นจื่อพูดประโยคบอกเล่าซูชิงอู่ที่นั่งอยู่บนเตียงพยุงตัวเองขึ้น พลางเลิกคิ้วเล็กน้อย “อวิ๋นจื่อฉลาดมาก เจ้ารู้ได้อย่างไร?”อวิ๋นจื่อปิดปากยิ้ม “ก็เพราะว่าท่านอ๋องชอบทิ้งรอยไว้ที่หลังหูของพระชายาเพคะ มะ... แม้แต่หม่อมฉันเองก็คุ้นเคยกับรอยตรงตำแหน่งนั้นแล้วเพคะ”ซูชิงอู่แตะคอตัวเองแล้วพูดว่า “จริงหรือ ข้าไม่รู้มาก่อนเลย”เรียกได้ว่าเป็นรอยจูบที่ดูหวงแหนอย่างยิ่ง และทุกครั้งที่อวิ๋นจื่อเห็นมันนางก็รู้สึกประหลาดใจเพราะดูจากภายนอกแล้วท่านอ๋องดูไม่เหมือนคนที่มีนิสัยเช่นนั้นแต่ใครจะรู้เล่า?คนในจวนรู้อยู่แก่ใจว่าท่านอ๋องมีจุดอ่อนและจุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือพระชายาประมาณหนึ่งชั่วยามต่อมา ทุกคนก็ลงจากเขาและขึ้นรถม้ากลับวังแม้ราชครูจะหายตัวไป แต่ไทเฮาก็ยังกลัวพระสนมซูเฟยมากจึงสั่