แต่เขากลัวว่าซูชิงอู่จะผลักเขาออกไป ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าขยับรถม้าเคลื่อนตัวไปข้างหน้า และทันใดนั้นซูชิงอู่ก็ลืมตาขึ้นมา “ท่านบุกเข้ามาเช่นนี้ มีใครเห็นท่านหรือไม่?”เย่เสวียนถิงตอบ “ไม่ มีคนช่วยปกปิดร่องรอยให้ ข้าจะออกไปตอนที่เราใกล้ถึงเมืองหลวง”ซูชิงอู่เลียริมฝีปากของตัวเอง สายตาเจ้าเล่ห์ปรากฏบนดวงหน้าจะให้นางไม่สบายอยู่คนเดียวได้อย่างไร?“ท่านอ๋องเขยิบมาหน่อยสิ”“หืม?”ซูชิงอู่เชิดคางแล้วพูดข้างหูอีกฝ่าย “ตรงนี้ไม่มีใครเห็นหรอก ให้ข้าจูบท่านเถิด”เย่เสวียนถิงตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ จากนั้นจึงตระหนักได้ว่าการถูกเผาไหม้ด้วยความปรารถนานั้นเป็นอย่างไร……เหล่าองครักษ์ส่งไทเฮาและคนอื่น ๆ กลับถึงวังแล้ว อีกทั้งฮ่องเต้เฒ่าก็ทรงทราบแล้วว่าเมื่อคืนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นนางสนมกลุ่มหนึ่งพากันประคองไปที่ท้องพระโรงและต่างรอการซักถามไม่ขาดไปแม้แต่คนเดียวพระสนมซูเฟยถูกผลักไปด้านหน้า นางมองกลับไปทางซูชิงอู่ด้วยความกังวลนางถูกคุมตัวเพียงคืนเดียว และแม้นางจะตัวคนเดียว แต่กลับไม่ได้ถูกเอารัดเอาเปรียบแต่อย่างใดตอนนี้เจียวกุ้ยเฟยนับนางเป็นคนของตัวเอง ดังนั้นนางจึงสั่งให้คนส่งเครื่องนอน
ซูชิงอู่พิจารณารูปลักษณ์พี่ชายของซูเฟย ราชครูหลินซึ่งเป็นขุนนางผู้มีอำนาจแม้เขาจะอายุเกือบห้าสิบปีแล้ว แต่ราชครูหลินก็ยังดูอ่อนวัยมาก ผมสีดำของเขาไม่มีสีขาวแซมเลย ต่างกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่พระเกศาตรงขมับส่วนใหญ่เป็นสีขาวเขาแต่งกายด้วยเครื่องแบบขุนนาง รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าของเขาค่อนข้างคล้ายคลึงกับซูเฟย บุคลิกแลดูเป็นคนสุภาพอ่อนโยนฮ่องเต้เฒ่าทอดพระเนตรมองไปที่ราชครูหลินแล้วตรัสว่า “เจ้าอยากจะสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องในวังหลังของข้ารึ?”ราชครูหลินรีบโค้งตัวไปพูดตอบ “กระหม่อมมิกล้า!”“ในเมื่อไม่กล้าแล้วยังมาทำอะไรที่นี่?”ราชครูหลินต่อต้านแรงกดดันอันแรงกล้าที่เล็ดลอดออกมาจากฮ่องเต้ เขาเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “กระหม่อมเป็นผู้เลี้ยงดูซูเฟยจนเติบโตขึ้นมา กระหม่อมกับพระสนมต้องพึ่งพาอาศัยกันมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นจึงรู้นิสัยของนางเป็นอย่างดี นางไม่มีทางฝึกฝนมนตราชั่วร้ายอย่างแน่นอน ขอฝ่าบาทโปรดทรงตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้เฒ่าทรงพระสรวลเบา ๆ “แค่คำพูดจากลมปากของเจ้าก็สามารถลบล้างความผิดได้เลยเช่นนั้นรึ?”ราชครูหลินรีบตอบ “กระหม่อมขอรับประกันด้วยชีวิต ขอโปรดทรงให้เวลาก
เทคนิคคาถาอาคมทั้งหมดเป็นเพียงกลอุบายที่ใช้หลอกลวงผู้อื่นพระสนมซูเฟยที่เดินมาถึงประตูแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้กับเหตุการณ์นี้ เสียงหัวเราะของนางดึงดูดผู้คนมากมายให้มองมาที่นางซูเฟยได้เปลี่ยนท่าทางที่ดูอ่อนแอก่อนหน้านี้ของนางไปเป็นท่าทีเด็ดขาดนางพูดว่า “ก่อนหน้านั้นข้าก็เป็นเช่นนี้ ไทเฮามีรับสั่งให้คนจับข้าและกล่าวหาอย่างผิด ๆ ว่าข้าใช้คาถาอาคม ตอนนี้ทุกคนก็เป็นเหมือนกันแล้ว พวกท่านจะพูดอย่างไรดีล่ะ?”แต่ทันทีที่นางพูดจบ บรรดานางสนมที่อยู่รอบ ๆ ก็รีบวิ่งเข้ามาคว้าชายกระโปรงของนาง “ท่านเป็นคนทำใช่หรือไม่? พวกเราค้นพบความลับของท่าน ท่านเลยจะแก้แค้นทุกคน!”“นั่นสิ ต้องใช่แน่ ๆ ในเมื่อท่านสามารถทำให้รอยชั่วร้ายบนร่างกายของท่านหายไปได้ ท่านก็ต้องช่วยพวกเราได้เช่นกัน มอบยาแก้พิษมาเลย!”เมื่อต้องเผชิญกับภัยอันตรายที่คุกคามถึงชีวิต นางสนมเหล่านี้ก็ไม่สนใจสิ่งใด พวกนางต้องการโยนความผิดให้ซูเฟยซูเฟยหัวเราะด้วยความโกรธเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวในวังหลังแห่งนี้ จิตใจของผู้คนช่างเลวร้ายเหลือจะทน พวกนางมองว่านางเป็นเชือกฟางช่วยชีวิตและพากันมารุมจับนางไว้แน่น ทว่าพวกนางกลับไม่รู้เลยว่าในตอนนั้น
คำพูดนั้นพุ่งเป้ามาที่ซูชิงอู่ ทำให้ทุกคนเริ่มหันมาสนใจซูชิงอู่ยิ้มและพูดอย่างไม่รีบร้อน “หม่อมฉันรู้เพียงนิดเดียวเท่านั้นเพคะ”องค์หญิงสี่ปิดปากด้วยสีหน้าตกตะลึง “บางทีรอยชั่วร้ายนี่อาจจะเป็น…”นางพูดเพียงครึ่งหนึ่งของประโยค แต่นั่นก็ทำให้ผู้คนคิดตามบางคนที่มีสีหน้าหวาดกลัวและโกรธอยู่แล้ว เมื่อมองซูชิงอู่ก็ทำสีหน้าราวกับกำลังเจอกับโรคระบาดซูเฟยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล ทันใดนั้นนางก็ก้าวไปหาซูชิงอู่พร้อมดึงเสื้อของนางอย่างระมัดระวังและส่ายหัวให้นางเล็กน้อยไทเฮาและฮ่องเต้ทรงเกลียดคาถาอาคมประเภทนี้มากที่สุด หากซูชิงอู่แปดเปื้อนด้วยเรื่องนี้ มันจะต้องทิ้งภาพลักษณ์ที่ไม่ดีไว้อย่างแน่นอนซูชิงอู่แสดงสีหน้ามั่นใจกับซูเฟย หันไปเผชิญหน้ากับสายตาของทุกคนแล้วพูดว่า “หมหลวงซุน ดูทีสิว่านี่คืออะไร?”หมอหลวงซุนเดินเข้ามาหยิบยาเม็ดสีดำจากมือของซูชิงอู่อย่างระมัดระวังจากนั้นก็บดและดมกลิ่นมันคิ้วของเขายิ่งขมวดแน่นขึ้น และหลังจากคิดอยู่นาน เขาก็แสดงสีหน้าเข้าใจในทันที“มีน้ำสกัดจากหญ้าก้านดำอยู่ในนั้นพ่ะย่ะค่ะ!”ซูชิงอู่พยักหน้า นางเงยหน้าเชิดคางมองไปที่ฮ่องเต้“ในบันทึกยาของตระกูลฟา
“กราบทูลไทเฮา เมื่อครู่หมอหลวงซุนก็ได้ทูลไปแล้วไม่ใช่หรือเพคะว่ารอยดำบนร่างกายของพระองค์และสนมคนอื่น ๆ จะหายไปในเช้าวันพรุ่งนี้”ไทเฮาทรงเลิกคิ้ว “ของชั่วร้ายเหล่านั้นอาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของข้าก็ได้ใครจะรู้”เมื่อเห็นว่าไทเฮาทรงตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำเช่นนั้น ซูชิงอู่ก็พุ่งเป้าไปที่องค์หญิงสี่ทันที“ได้เพคะ ให้คนมาลองการรักษาของหม่อมฉันดีไหมเพคะ?”นางยิ้มมุมปากแล้วพูดทันที “องค์หญิงสี่ รบกวนมาทางนี้หน่อยเพคะ”นางตัวแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่งนางอ้าปากค้าง สีหน้าของนางดูไม่ค่อยสู้ดี ทันใดนั้นนางก็ปิดปากและไออย่างรุนแรง“ขะ...ข้าไม่สบายนิดหน่อย ไม่นานมานี้เป็นหวัดโดยไม่ทันได้ระวังตัว เกรงว่าจะร่วมการทดลองไม่ได้...”ซูชิงอู่ยิ้มและพูดว่า “พอดีเลยเพคะ วิธีรักษาของหม่อมฉันไม่เพียงแต่สามารถกำจัดรอยดำเหล่านั้นได้ แต่ยังรักษาโรคของท่านได้ด้วย”เย่หมิงเยว่กัดฟัน ปากและฟันของนางสั่นเล็กน้อยขณะที่นางมองหน้าของซูชิงอู่ ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งที่ซูชิงอู่พูดในโบสถ์...ตัดมือให้เจ้าสัตว์กิน ตัดแขนขาออก แล้วทำให้กลายเป็นหมู...ทันใดนั้นนางก็ค้นพบว่าบุตรีคนเล็กของตระกูลซูไม่ใช่ดอกไม้สีขาวท
ซูชิงอู่ไม่มีความเห็นอกเห็นใจต่อนาง นางหยิบเข็มออกมาจากกล่องของหมอหลวงซุนอย่างไม่ได้จริงจังอะไร และฝังมันไว้บนศีรษะของเย่หมิงเย่วดวงตาของเย่หมิงเยว่เบิกกว้าง นางอยากจะกรีดร้องแต่ก็ไม่สามารถส่งเสียงใด ๆ ได้นางมีอาการปวดหัวแทบแตกและรู้สึกราวกับศีรษะของนางถูกแยกออกความเจ็บปวดดูคล้ายจะไม่มีที่สิ้นสุด นิ้วของนางกำอะไรบางอย่างไว้แน่น และความเจ็บปวดนั้นมากมายอย่างยิ่งซูชิงอู่พูดขณะฝังเข็ม "หมอหลวงซุน การทำเช่นนี้สามารถช่วยให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ช่วยขับให้พิษแปลกปลอมออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็ว"หมอหลวงซุนมองวิชาการฝังเข็มของซูชิงอู่ และอดไม่ได้ที่จะแสดงความประหลาดใจเล็กน้อยแม้ว่าเขาจะรู้มานานแล้วว่ามารดาของซูชิงอู่เป็นแพทย์ยอดฝีมือ และก็สืบทอดทักษะทางการแพทย์ของตระกูลฟางมา แต่เขาไม่เคยมีโอกาสพบนางเลยในตอนที่เขาขึ้นเป็นเป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวงคนตระกูลฟางก็จากไปแล้วทักษะทางการแพทย์ระดับตำนานที่ครั้งหนึ่งเคยสูญหายไปและไร้ผู้สืบทอด ในตอนนี้ซูชิงอู่ได้แสดงพรสวรรค์ออกมาหลายครั้ง นั่นนับว่าน่าตกใจจริง ๆ“พระชายาเสวียนทำได้ดีมาก”เย่หมิงเยว่ได้ยินเสียงของคนข้าง ๆ นางนางไม่คาดคิ
ฮ่องเต้ตรัสเสียงเรียบ "ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อาหาร อาภรณ์ และข้าวของเครื่องใช้ของซูเฟย ให้มีเทียบเท่ากับฮองเฮาทุกประการ"เมื่อนางสนมคนอื่น ๆ ได้ยินสิ่งที่ฮ่องเต้ตรัส พวกนางก็ตกใจทันทีซูเฟยเป็นหนึ่งในสี่พระสนมแล้ว ตำแหน่งของนางไม่อาจสูงส่งไปกว่านี้ได้แล้ว นับตั้งแต่โบราณกาล มีฮองเฮาและกุ้ยเฟยได้เพียงตำแหน่งละหนึ่งคนเท่านั้น และนางก็ไม่อาจก้าวไปสู่ตำแหน่งเหล่านั้นได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบเคียงกับการมอบสินน้ำใจที่ฮ่องเต้ทรงตรัส เท่ากับบอกเป็นนัยว่าต่อไปซูเฟยมีศักดิ์เท่าฮองเฮาใช่หรือไม่?ยังไม่พูดถึงว่าตอนนี้นางเป็นตัวแทนของหกตำหนักฝ่ายใน และแม้แต่เจียวกุ้ยเฟยก็ไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้หลังจากที่ซูชิงอู่เริ่มที่จะขจัดริ้วสีดำบนร่างไทเฮา กลุ่มนางสนมในวังก็เข้ามาล้อมรอบนางทันทีผู้ที่เคยช่วยองค์หญิงสี่บีบคั้นซูชิงอู่ก็อยู่ในหมู่พวกนางด้วยเพียงแต่ว่าตอนนี้ใบหน้าของทุกคนแดงก่ำและสีหน้าของพวกนางก็ดูค่อนข้างเขินอายแต่ถึงกระนั้น เพื่อสุขภาพของพวกนางเอง พวกนางจึงได้แต่มองซูชิงอู่ราวกับกำลังขอความช่วยเหลือซูชิงอู่เหลือบมองใบหน้าของคนเหล่านั้นนางเป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นม
ราชครูหลินออกจากวังและกลับมาที่จวนราชครูทันทีเมื่อลงจากรถม้าเดินไปที่ประตู เขาเอามือไพล่หลังแล้วพูดกับคนรับใช้ว่า “ไปตามฮูหยินและคุณหนูมาที่โถงเสีย”"ขอรับ!"คนรับใช้รีบไปรายงานทันที ไม่นานหลังจากนั้น หลินซื่อและหลินเสวี่ยอิ๋งก็ยืนรออยู่ที่โถงกลางแล้วเมื่อนางเห็นราชครูหลินกลับมา นางก็ทักทายเขาทันที "นายท่าน!" อย่างไรก็ตาม หลินซื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึม ราชครูหลินมองหลินเสวี่ยอิ๋ด้วยสายตาโกรธขึง“เจ้าเลี้ยงลูกสาวได้ดีจริง ๆ!”หลินซื่อตกตะลึงและไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ ๆ นายท่านถึงโกรธมาก ทั้งที่เพิ่งกลับมาหลินเสวี่ยอิ๋งซ่อนตัวอยู่ข้างหลังมารดาทันทีราชครูหลินมองดูพวกนางด้วยใบหน้าที่เย็นชา เขาหรี่ตาลง "ต่อไป เจ้าต้องจำไว้ว่าอย่าไปสร้างปัญหาให้กับอ๋องเสวียนและชายาของเขา อย่าลืมว่าตอนนี้ตระกูลหลินและจวนอ๋องเสวียนผูกติดอยู่ในเชือกเส้นเดียวกัน ถ้าไม่อยากตายก็จงใช้สมองให้มาก”“ท่านพ่อหมายความว่าอย่างไร ท่านอยากให้ข้าลืมเรื่องที่ซูชิงอู่ สตรีนางนั้นทำงั้นหรือ? ไม่มีทาง!”ซูชิงอู่ทำให้นางสูญเสียแต้มพรหมจรรย์ของนางไป และทำให้นางขายหน้าหลายครั้ง จนตอนนี้นางกลายเป็นตัวตลกของคนทั่วทั้งเมือ