พระหนุ่มหลายคนที่สลบไปเมื่อคืนก็ตื่นแล้วเช่นกัน พิษที่พวกเขาได้รับนั้นออกฤทธิ์ค่อนข้างอ่อน ตอนนี้พวกเขาจึงกลับมาเป็นปกติแล้วไม่นาน ก็มีคนไปยังกุฏิที่ซูชิงอู่อยู่เพื่อแจ้งข่าวให้นางทราบ“พระชายาเสวียนอยู่ที่นี่หรือไม่? ไทเฮาทรงมีรับสั่งให้ทุกคนออกจากวัดเหลียงซานทันที ตอนนี้รถม้ามารออยู่ที่เชิงเขาแล้ว”อวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงยังคงเฝ้าพระหนุ่มชื่อที่ชื่อวั่งเหยียนอยู่ในห้องร่างของวั่งเหยียนถูกคลุมอยู่ใต้ผ้าห่ม และมีฉากกั้นด้านนอกเพื่อปกป้องเขาสองสาวใช้รอทั้งคืนแต่ก็ไม่เห็นพระชายากลับมา จึงมีความกังวลเล็กน้อยอยู่พักหนึ่งเมื่อได้ยินคนข้างนอกเรียกให้พวกนางออกไป อวิ๋นจื่อก็รีบเดินออกไปด้วยความระมัดระวังและพูดกับพระที่มาแจ้งข่าวว่า “พระชายาของข้ารู้สึกไม่สบาย ท่านได้โปรดกลับไปแจ้งทีว่าเราจะตามไปทีหลัง”พระหนุ่มไม่สงสัยอะไรเลยแม้แต่น้อย “เช่นนั้นอาตมาจะไปแจ้งให้ตามนั้น”พระหนุ่มที่เพิ่งกลับออกมาจากกุฏิ ก็บังเอิญไปเจอเข้ากับองค์หญิงสี่และคนอื่น ๆ ที่เดินมาทางนี้พอดีเมื่อเห็นพระหนุ่มนางก็เลิกคิ้วถามว่า “พี่สะใภ้อยู่ที่ไหน?”“พระชายาแจ้งว่านางไม่สบายและยังคงพักผ่อนอยู่”“เช่นนั้นหรือ?
อวิ๋นจื่อไม่ทันได้ตอบโต้เสียงดัง ‘เผียะ!’ อวิ๋นจื่อรู้สึกหูอื้อ แก้มของนางบวมขึ้นในทันทีนางกำนัลอาวุโสผู้นั้นใช้แรงทั้งหมดที่มีตบอวิ๋นจื่ออีกทั้งยังตะโกนออกมา “โอหัง! คนชั้นต่ำเช่นเจ้าบังอาจมาแตะต้ององค์หญิงได้อย่างไร?”องค์หญิงสี่มีสีหน้าตกใจ เมื่อเห็นว่านางกำนัลอาวุโสกำลังจะลงมืออีกครั้ง นางก็รีบก้าวไปห้าม“นางกำนัลหลิว เด็กคนนี้ไม่ได้ตั้งใจ อย่าไปลงโทษนางเลย”“องค์หญิงก็ช่างมีจิตใจเมตตา ทว่าคนชั้นต่ำที่กล้าแตะต้องท่านควรถูกตัดมือทิ้งเสียเพคะ!”เย่หมิงเยว่พูดเสียงอ่อน “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง หากลงมือไป ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีคนกี่คนที่พากันพูดว่าข้าโหดร้าย เจ้าอย่าทำเช่นนี้เลย”อวิ๋นจื่อคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อฟังการสนทนาระหว่างนายและบ่าวจุดที่นางคุกเข่ายังคงเป็นหน้าประตู นางพยายามอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้าไปแม้จะถูกทุบตี แต่อวิ๋นจื่อก็ยินดีเพราะอาจถ่วงเวลาไปได้ระยะหนึ่งนางรีบคุกเข่าคำนับ “ขอบพระทัยองค์หญิงสำหรับความเมตตาอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ถือสาเอาความหม่อมฉันเพคะ!”เย่หมิงเยว่ลดสายตาลง พลางก้มลงช่วยนางด้วยตัวเอง “เอาล่ะ ลุกขึ้นเถิด ข้าอยากเข้าไปเยี่ยมพี่สะใภ้”
ในอึดใจต่อมา ผมยาวสลวยก็ลอดออกจากผ้าห่ม ใบหน้างดงามที่ดูเกียจคร้านของซูชิงอู่ประกอบกับผมสีดำยุ่งเหยิงทำให้นางมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้นที่หางตายังคงมีรอยสีแดงจาง ๆ เนื่องจากเพิ่งตื่นนอน แต่ใบหน้าที่ไร้ที่ติของนางกลับเย็นชาไร้อารมณ์เมื่อนางเงยหน้าขึ้น นางก็สบตากับเย่หมิงเยว่เย่หมิงเยว่ดึงมือกลับโดยไม่รู้ตัวและอธิบายอย่างรวดเร็ว “พี่สะใภ้ หมิงเยว่ไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนท่าน ข้าได้ยินมาว่าท่านป่วย ข้ากังวลใจมากจึงบุกมาหาเช่นนี้”ซูชิงอู่เหลือบมองเย่หมิงเยว่และผู้ติดตามที่นางพามาในสภาพที่ผมยาวคลุมไหล่ นางคว้าเสื้อคลุมข้างตัวมาสวม ครู่ต่อมานางก็ดึงผ้าห่มออกแล้วเดินลงจากเตียงเท้าเปล่าของนางสัมผัสพื้น ดูเหมือนนางจะไม่กลัวความหนาวเย็น อีกทั้งไม่ได้ตอบคำถามขององค์หญิงสี่ แต่กลับเบนสายตาไปยังที่อวิ๋นจื่อที่กำลังแอบอยู่ประตูพลางเอามือกุมหน้านางเอ่ยปากถาม “ใครตบเจ้า?”เสียงของซูชิงอู่แหบเล็กน้อย แต่สื่อถึงความกดดันอย่างรุนแรงเย่หมิงเยว่คาดไม่ถึงว่าซูชิงอู่ไม่แม้แต่จะมองหน้านาง นางเม้มปากแน่น พลางทำสายตาไม่พอใจเล็กน้อย“เมื่อครู่นางประมาทมาชนข้า นางกำนัลของข้าเลยลงโทษนาง หากนางทำรุนแรงเกินไปห
ดวงตาของเย่หมิงเยว่เต็มไปด้วยความขุ่นมัวและคับข้องใจเมื่อนางสนมที่ยืนหน้าประตูเห็นท่าทางเช่นนั้นขององค์หญิงสี่ พวกนางก็เริ่มเป็นเดือดเป็นร้อนแทนทันทีพวกนางรีบเดินไปอยู่ข้าง ๆ องค์หญิงสี่พร้อมพูดว่า “พระชายาเสวียน องค์หญิงสี่ทรงมาเยี่ยมก็ด้วยเพราะเป็นห่วงท่าน หากไม่รู้สึกซาบซึ้งก็ไม่เป็นไรหรอก แต่จะเข้าใจความหวังดีขององค์หญิงผิดไปไม่ได้นะเพคะ!”“ความหวังดี?”ซูชิงอู่หรี่ตาลง “อะไรกัน พวกท่านหูไม่ดีหรืออย่างไรถึงได้ไม่เข้าใจสิ่งที่พูด? ข้ากำชับไว้แล้วว่าไม่ให้ผู้ใดมารบกวน แต่พวกท่านก็ยังบุกเข้ามาอีกทั้งยังถามหาเหตุผลเช่นนี้?”“นางกำนัลข้างกายท่านบอกว่าท่านไม่สบายพวกเราถึงได้เข้ามา เหตุใดท่านถึงหยิ่งยโสและไร้เหตุผลได้เพียงนี้!”กลุ่มคนตรงหน้าพูดคุยซุบซิบกันว่าซูชิงอู่ข่มเหงรังแกและไม่ใส่ใจผู้อื่น พวกเขาแสดงความเห็นในแง่ลบออกมามากมายและพยายามปกป้องเย่หมิงเยว่เย่หมิงเยว่เปรียบได้กับดอกไม้สีขาวเล็ก ๆ นางจิตใจดีและใส่ใจผู้อื่นแต่กลับถูกกล่าวหาว่ามีเจตนาไม่ดีน่าเสียดายที่มันคงจะดีหากคำพูดของคนกลุ่มนี้ถูกนำไปใช้จัดการกับผู้อื่น แต่ซูชิงอู่เริ่มจะเบื่อหน่าย เนื่องจากนางคุ้นชินกับสิ่ง
นางเอามือปิดปาก ใบหน้าสดใสที่แต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมเต็มไปด้วยความสุข “ฮ่าฮ่า ท่าทางของพี่สี่ตอนนี้เหมือนลูกหมาตกน้ำเลย อะไรกัน วิธีทำตัวน่าสงสารใช้ไม่ได้ผลหรือ ไม่ทราบว่าสมองพวกท่านมีรอยหยักกันบ้างหรือไม่ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นความผิดของเย่หมิงเยว่ แต่กลับทำตัวหูหนวกตาบอดไม่สนใจ โชคดีที่ที่นี่เป็นวัด หากเป็นที่เรือนพำนักล่ะก็ พวกท่านคงถูกฆ่าตายกันหมดแล้ว!”เมื่อเหล่าสนมเห็นว่าคนผู้นั้นเป็นองค์หญิงห้า พวกนางก็ทำตัวหดเล็กเหมือนนกกระทาทันทีและไม่กล้าที่จะโต้แย้งองค์หญิงห้ามีสายเลือดของราชวงศ์ สถานะของนางไม่มีใครเทียบได้ อีกทั้งยังเป็นองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดมารดาผู้ให้กำเนิดของนางเป็นหนึ่งในพระชายาทั้งสี่ และได้รับการสนับสนุนจากท่านตาที่เป็นมหาบัณฑิต ทำให้ไม่มีใครกล้าตำหนิในสิ่งที่นางทำส่งผลให้นางมีนิสัยเย่อหยิ่งและบ้าอำนาจแต่เมื่อซูชิงอู่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นจากองค์หญิงห้า นางก็เปลี่ยนความคิดที่มีต่อองค์หญิงผู้นี้ไปโดยสิ้นเชิงปรากฎว่าในบรรดาราชนิกุล องค์หญิงห้าดูไม่เอาไหนและมักจะหยิ่งผยอง กลับกลายเป็นองค์หญิงฉลาดที่สุดจู่ ๆ นางก็ชอบบุคลิกที่ตรงไปตรงมาขององค
คนเหล่านั้นเห็นบรรยากาศที่ใกล้จะปะทุระหว่างองค์หญิงทั้งสองก็อยากจะรีบหนีไปแต่ก่อนที่จะก้าวเท้า เย่หลิงจูก็พูดว่า “ทุกคนหยุด!”ทันทีที่นางเอ่ยปาก ทุกคนก็เหมือนจะตกอยู่ใต้มนต์สะกดนางสนมเหล่านั้นอดไม่ได้ที่จะหน้าซีดคนเหล่านี้ไม่ได้มีสถานะสูงส่ง แม้พวกนางจะออกมาไหว้พระสวดมนต์กับไทเฮาได้ แต่ก็ไม่มีใครมีสถานะสูงกว่าเย่หลิงจู ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนคำสั่งขององค์หญิงห้านางสนมทั้งหมดมองไปที่เย่หลิงจูและพูดด้วยน้ำเสียงประจบประแจง “ไม่ทราบว่าองค์หญิงห้าทรงมีรับสั่งอะไรเพิ่มเติมหรือเพคะ?”เย่หลิงจูยิ้ม พลางหันกลับมามองพวกนางแล้วพูดอย่างเย็นชา “ข้านำของขวัญมาเยี่ยมคนไข้เช่นนี้ แล้วพวกเจ้าจะกลับไปมือเปล่าได้อย่างไร แสดงน้ำใจหน่อยสิ”เป็นคำพูดที่เข้าใจได้อย่างชัดแจ้งไม่มีใครสามารถจากไปโดยไม่ทิ้งของบางสิ่งไว้ได้ซูชิงอู่มองดูท่าทางของเหล่านางสนม จากนั้นก็มองไปที่องค์หญิงห้า และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกได้ถึงรอยยิ้มกว้างในดวงตาของนางในที่สุดชาตินี้นางก็ได้พบมิตรแท้บรรดานางสนมทำสีหน้าไม่สู้ดีพลางเข้าแถวต่อหน้าองค์หญิงห้าทีละคนบางคนก็ถอดกำไลที่มือ บางคนก็ถอดปิ่นปักผมบนศีรษะนางสนมเหล่
แต่เย่หลิงจูไม่ได้หวาดหวั่น นางยังคงกล่าวคำต่อว่าอย่างไม่เกรงกลัวตั้งแต่เล็กจนโต เย่หมิงเยว่ก็ถูกต่อว่าเช่นนี้เสมอมาเย่หลิงจูเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของนาง“ข้าไม่สามารถให้หยกพกชิ้นนี้แก่เจ้าได้ นี่เป็น…”ก่อนที่นางจะพูดจบ เย่หลิงจูก็ดึงข้อมือของนางออกแล้วดึงหยกพกออกมา“เอามาเถอะ!”บุคลิกของเย่หมิงเยว่เหมือนดอกไม้สีขาวเล็ก ๆ ที่แสนบอบบาง นางไม่สามารถสู้กับเย่หลิงจูเพื่อปกป้องหยกพกได้เย่หลิงจู่ดึงหยกพกไป หลังจากพินิจดูอยู่ครู่หนึ่งนางก็โยนมันไปรวมกับกองเครื่องประดับ พลางเชิดคางขึ้นแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ท่านออกไปได้แล้ว”นางยังคงหยิ่งผยองและแสดงอำนาจที่เหนือกว่า อีกทั้งไม่รู้สึกผิดเลยที่ได้กลั่นแกล้งผู้อื่นใบหน้าของเย่หมิงเยว่เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ หน้าอกของนางสั่นอย่างรุนแรงดวงตาของนางฉายแววมืดดำ จากนั้นนางก็ออกจากกุฏิโดยไม่หันกลับมามองซูชิงอู่เฝ้ามองความน่าตื่นเต้นจากด้านข้าง และรู้สึกสะใจมากเมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารที่เหมือนถูกรังแกของเย่หมิงเยว่แน่นอนว่าคนชั่วย่อมต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปเย่หลิงจูรอให้คนกลุ่มนั้นกลับไป จากนั้นก็เดินมาหาซูชิงอู่นางว
ซูชิงอู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ความอยากรู้อยากเห็นฉายแววในดวงตาของพวกนางพร้อมกันไม่นานหลังจากที่นางสวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกไป นางก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บนพื้น ทุกคนล้วนมีสภาพเหมือนลูกหมาตกน้ำตอนนี้เป็นฤดูหนาวช่วงหลังปีใหม่พอดีและอากาศก็หนาวเย็นอย่างมากแม้จะออกไปข้างนอกในวันธรรมดาทั่วไปก็ต้องใส่เสื้อด้านในและนอกอย่างละสามชั้นแต่คนเหล่านี้เปียกโชกไปทั้งตัว พวกนางทั้งหมดตัวสั่นและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดังนั้นจึงมีคนนำเสื้อผ้ามาคลุมให้พวกนางแม้แต่องค์หญิงสี่ก็ไม่รอดซูชิงอู่ที่เห็นเหตุการณ์ก็ประหลาดใจและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับพวกนาง?”องค์หญิงห้าอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยรอยยิ้ม “บางทีข้าคงทำให้พระพุทธองค์ขุ่นเคือง สวรรค์จึงได้ลงโทษข้า!”เมื่อองค์หญิงสี่และคนอื่น ๆ ได้ยินเสียงดังกล่าว พวกนางก็เลื่อนสายตามามอง ดวงตาของเย่หมิงเยว่แดงก่ำ ร่างกายของนางสั่นเทา และฟันของนางก็กระทบกันจนส่งเสียงดังกึก ๆนางกำลังจะกลับไปพร้อมกับคนกลุ่มนี้ แต่ไม่นานหลังจากที่นางก้าวออกไป ก็มีคนสาดสิ่งปฏิกูลใส่ไปทั่วร่างมันเป็นน้ำที่มีกลิ่นเหม็น“เป็นพวกเจ้า...ใช่หรือไม่ ต้องเป็น...ฝีมือพวกเจ้าแน่ ๆ !”