พระหนุ่มหลายคนที่สลบไปเมื่อคืนก็ตื่นแล้วเช่นกัน พิษที่พวกเขาได้รับนั้นออกฤทธิ์ค่อนข้างอ่อน ตอนนี้พวกเขาจึงกลับมาเป็นปกติแล้วไม่นาน ก็มีคนไปยังกุฏิที่ซูชิงอู่อยู่เพื่อแจ้งข่าวให้นางทราบ“พระชายาเสวียนอยู่ที่นี่หรือไม่? ไทเฮาทรงมีรับสั่งให้ทุกคนออกจากวัดเหลียงซานทันที ตอนนี้รถม้ามารออยู่ที่เชิงเขาแล้ว”อวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงยังคงเฝ้าพระหนุ่มชื่อที่ชื่อวั่งเหยียนอยู่ในห้องร่างของวั่งเหยียนถูกคลุมอยู่ใต้ผ้าห่ม และมีฉากกั้นด้านนอกเพื่อปกป้องเขาสองสาวใช้รอทั้งคืนแต่ก็ไม่เห็นพระชายากลับมา จึงมีความกังวลเล็กน้อยอยู่พักหนึ่งเมื่อได้ยินคนข้างนอกเรียกให้พวกนางออกไป อวิ๋นจื่อก็รีบเดินออกไปด้วยความระมัดระวังและพูดกับพระที่มาแจ้งข่าวว่า “พระชายาของข้ารู้สึกไม่สบาย ท่านได้โปรดกลับไปแจ้งทีว่าเราจะตามไปทีหลัง”พระหนุ่มไม่สงสัยอะไรเลยแม้แต่น้อย “เช่นนั้นอาตมาจะไปแจ้งให้ตามนั้น”พระหนุ่มที่เพิ่งกลับออกมาจากกุฏิ ก็บังเอิญไปเจอเข้ากับองค์หญิงสี่และคนอื่น ๆ ที่เดินมาทางนี้พอดีเมื่อเห็นพระหนุ่มนางก็เลิกคิ้วถามว่า “พี่สะใภ้อยู่ที่ไหน?”“พระชายาแจ้งว่านางไม่สบายและยังคงพักผ่อนอยู่”“เช่นนั้นหรือ?
อวิ๋นจื่อไม่ทันได้ตอบโต้เสียงดัง ‘เผียะ!’ อวิ๋นจื่อรู้สึกหูอื้อ แก้มของนางบวมขึ้นในทันทีนางกำนัลอาวุโสผู้นั้นใช้แรงทั้งหมดที่มีตบอวิ๋นจื่ออีกทั้งยังตะโกนออกมา “โอหัง! คนชั้นต่ำเช่นเจ้าบังอาจมาแตะต้ององค์หญิงได้อย่างไร?”องค์หญิงสี่มีสีหน้าตกใจ เมื่อเห็นว่านางกำนัลอาวุโสกำลังจะลงมืออีกครั้ง นางก็รีบก้าวไปห้าม“นางกำนัลหลิว เด็กคนนี้ไม่ได้ตั้งใจ อย่าไปลงโทษนางเลย”“องค์หญิงก็ช่างมีจิตใจเมตตา ทว่าคนชั้นต่ำที่กล้าแตะต้องท่านควรถูกตัดมือทิ้งเสียเพคะ!”เย่หมิงเยว่พูดเสียงอ่อน “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง หากลงมือไป ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีคนกี่คนที่พากันพูดว่าข้าโหดร้าย เจ้าอย่าทำเช่นนี้เลย”อวิ๋นจื่อคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อฟังการสนทนาระหว่างนายและบ่าวจุดที่นางคุกเข่ายังคงเป็นหน้าประตู นางพยายามอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้าไปแม้จะถูกทุบตี แต่อวิ๋นจื่อก็ยินดีเพราะอาจถ่วงเวลาไปได้ระยะหนึ่งนางรีบคุกเข่าคำนับ “ขอบพระทัยองค์หญิงสำหรับความเมตตาอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ถือสาเอาความหม่อมฉันเพคะ!”เย่หมิงเยว่ลดสายตาลง พลางก้มลงช่วยนางด้วยตัวเอง “เอาล่ะ ลุกขึ้นเถิด ข้าอยากเข้าไปเยี่ยมพี่สะใภ้”
ในอึดใจต่อมา ผมยาวสลวยก็ลอดออกจากผ้าห่ม ใบหน้างดงามที่ดูเกียจคร้านของซูชิงอู่ประกอบกับผมสีดำยุ่งเหยิงทำให้นางมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้นที่หางตายังคงมีรอยสีแดงจาง ๆ เนื่องจากเพิ่งตื่นนอน แต่ใบหน้าที่ไร้ที่ติของนางกลับเย็นชาไร้อารมณ์เมื่อนางเงยหน้าขึ้น นางก็สบตากับเย่หมิงเยว่เย่หมิงเยว่ดึงมือกลับโดยไม่รู้ตัวและอธิบายอย่างรวดเร็ว “พี่สะใภ้ หมิงเยว่ไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนท่าน ข้าได้ยินมาว่าท่านป่วย ข้ากังวลใจมากจึงบุกมาหาเช่นนี้”ซูชิงอู่เหลือบมองเย่หมิงเยว่และผู้ติดตามที่นางพามาในสภาพที่ผมยาวคลุมไหล่ นางคว้าเสื้อคลุมข้างตัวมาสวม ครู่ต่อมานางก็ดึงผ้าห่มออกแล้วเดินลงจากเตียงเท้าเปล่าของนางสัมผัสพื้น ดูเหมือนนางจะไม่กลัวความหนาวเย็น อีกทั้งไม่ได้ตอบคำถามขององค์หญิงสี่ แต่กลับเบนสายตาไปยังที่อวิ๋นจื่อที่กำลังแอบอยู่ประตูพลางเอามือกุมหน้านางเอ่ยปากถาม “ใครตบเจ้า?”เสียงของซูชิงอู่แหบเล็กน้อย แต่สื่อถึงความกดดันอย่างรุนแรงเย่หมิงเยว่คาดไม่ถึงว่าซูชิงอู่ไม่แม้แต่จะมองหน้านาง นางเม้มปากแน่น พลางทำสายตาไม่พอใจเล็กน้อย“เมื่อครู่นางประมาทมาชนข้า นางกำนัลของข้าเลยลงโทษนาง หากนางทำรุนแรงเกินไปห
ดวงตาของเย่หมิงเยว่เต็มไปด้วยความขุ่นมัวและคับข้องใจเมื่อนางสนมที่ยืนหน้าประตูเห็นท่าทางเช่นนั้นขององค์หญิงสี่ พวกนางก็เริ่มเป็นเดือดเป็นร้อนแทนทันทีพวกนางรีบเดินไปอยู่ข้าง ๆ องค์หญิงสี่พร้อมพูดว่า “พระชายาเสวียน องค์หญิงสี่ทรงมาเยี่ยมก็ด้วยเพราะเป็นห่วงท่าน หากไม่รู้สึกซาบซึ้งก็ไม่เป็นไรหรอก แต่จะเข้าใจความหวังดีขององค์หญิงผิดไปไม่ได้นะเพคะ!”“ความหวังดี?”ซูชิงอู่หรี่ตาลง “อะไรกัน พวกท่านหูไม่ดีหรืออย่างไรถึงได้ไม่เข้าใจสิ่งที่พูด? ข้ากำชับไว้แล้วว่าไม่ให้ผู้ใดมารบกวน แต่พวกท่านก็ยังบุกเข้ามาอีกทั้งยังถามหาเหตุผลเช่นนี้?”“นางกำนัลข้างกายท่านบอกว่าท่านไม่สบายพวกเราถึงได้เข้ามา เหตุใดท่านถึงหยิ่งยโสและไร้เหตุผลได้เพียงนี้!”กลุ่มคนตรงหน้าพูดคุยซุบซิบกันว่าซูชิงอู่ข่มเหงรังแกและไม่ใส่ใจผู้อื่น พวกเขาแสดงความเห็นในแง่ลบออกมามากมายและพยายามปกป้องเย่หมิงเยว่เย่หมิงเยว่เปรียบได้กับดอกไม้สีขาวเล็ก ๆ นางจิตใจดีและใส่ใจผู้อื่นแต่กลับถูกกล่าวหาว่ามีเจตนาไม่ดีน่าเสียดายที่มันคงจะดีหากคำพูดของคนกลุ่มนี้ถูกนำไปใช้จัดการกับผู้อื่น แต่ซูชิงอู่เริ่มจะเบื่อหน่าย เนื่องจากนางคุ้นชินกับสิ่ง
นางเอามือปิดปาก ใบหน้าสดใสที่แต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมเต็มไปด้วยความสุข “ฮ่าฮ่า ท่าทางของพี่สี่ตอนนี้เหมือนลูกหมาตกน้ำเลย อะไรกัน วิธีทำตัวน่าสงสารใช้ไม่ได้ผลหรือ ไม่ทราบว่าสมองพวกท่านมีรอยหยักกันบ้างหรือไม่ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นความผิดของเย่หมิงเยว่ แต่กลับทำตัวหูหนวกตาบอดไม่สนใจ โชคดีที่ที่นี่เป็นวัด หากเป็นที่เรือนพำนักล่ะก็ พวกท่านคงถูกฆ่าตายกันหมดแล้ว!”เมื่อเหล่าสนมเห็นว่าคนผู้นั้นเป็นองค์หญิงห้า พวกนางก็ทำตัวหดเล็กเหมือนนกกระทาทันทีและไม่กล้าที่จะโต้แย้งองค์หญิงห้ามีสายเลือดของราชวงศ์ สถานะของนางไม่มีใครเทียบได้ อีกทั้งยังเป็นองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดมารดาผู้ให้กำเนิดของนางเป็นหนึ่งในพระชายาทั้งสี่ และได้รับการสนับสนุนจากท่านตาที่เป็นมหาบัณฑิต ทำให้ไม่มีใครกล้าตำหนิในสิ่งที่นางทำส่งผลให้นางมีนิสัยเย่อหยิ่งและบ้าอำนาจแต่เมื่อซูชิงอู่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นจากองค์หญิงห้า นางก็เปลี่ยนความคิดที่มีต่อองค์หญิงผู้นี้ไปโดยสิ้นเชิงปรากฎว่าในบรรดาราชนิกุล องค์หญิงห้าดูไม่เอาไหนและมักจะหยิ่งผยอง กลับกลายเป็นองค์หญิงฉลาดที่สุดจู่ ๆ นางก็ชอบบุคลิกที่ตรงไปตรงมาขององค
คนเหล่านั้นเห็นบรรยากาศที่ใกล้จะปะทุระหว่างองค์หญิงทั้งสองก็อยากจะรีบหนีไปแต่ก่อนที่จะก้าวเท้า เย่หลิงจูก็พูดว่า “ทุกคนหยุด!”ทันทีที่นางเอ่ยปาก ทุกคนก็เหมือนจะตกอยู่ใต้มนต์สะกดนางสนมเหล่านั้นอดไม่ได้ที่จะหน้าซีดคนเหล่านี้ไม่ได้มีสถานะสูงส่ง แม้พวกนางจะออกมาไหว้พระสวดมนต์กับไทเฮาได้ แต่ก็ไม่มีใครมีสถานะสูงกว่าเย่หลิงจู ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนคำสั่งขององค์หญิงห้านางสนมทั้งหมดมองไปที่เย่หลิงจูและพูดด้วยน้ำเสียงประจบประแจง “ไม่ทราบว่าองค์หญิงห้าทรงมีรับสั่งอะไรเพิ่มเติมหรือเพคะ?”เย่หลิงจูยิ้ม พลางหันกลับมามองพวกนางแล้วพูดอย่างเย็นชา “ข้านำของขวัญมาเยี่ยมคนไข้เช่นนี้ แล้วพวกเจ้าจะกลับไปมือเปล่าได้อย่างไร แสดงน้ำใจหน่อยสิ”เป็นคำพูดที่เข้าใจได้อย่างชัดแจ้งไม่มีใครสามารถจากไปโดยไม่ทิ้งของบางสิ่งไว้ได้ซูชิงอู่มองดูท่าทางของเหล่านางสนม จากนั้นก็มองไปที่องค์หญิงห้า และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกได้ถึงรอยยิ้มกว้างในดวงตาของนางในที่สุดชาตินี้นางก็ได้พบมิตรแท้บรรดานางสนมทำสีหน้าไม่สู้ดีพลางเข้าแถวต่อหน้าองค์หญิงห้าทีละคนบางคนก็ถอดกำไลที่มือ บางคนก็ถอดปิ่นปักผมบนศีรษะนางสนมเหล่
แต่เย่หลิงจูไม่ได้หวาดหวั่น นางยังคงกล่าวคำต่อว่าอย่างไม่เกรงกลัวตั้งแต่เล็กจนโต เย่หมิงเยว่ก็ถูกต่อว่าเช่นนี้เสมอมาเย่หลิงจูเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของนาง“ข้าไม่สามารถให้หยกพกชิ้นนี้แก่เจ้าได้ นี่เป็น…”ก่อนที่นางจะพูดจบ เย่หลิงจูก็ดึงข้อมือของนางออกแล้วดึงหยกพกออกมา“เอามาเถอะ!”บุคลิกของเย่หมิงเยว่เหมือนดอกไม้สีขาวเล็ก ๆ ที่แสนบอบบาง นางไม่สามารถสู้กับเย่หลิงจูเพื่อปกป้องหยกพกได้เย่หลิงจู่ดึงหยกพกไป หลังจากพินิจดูอยู่ครู่หนึ่งนางก็โยนมันไปรวมกับกองเครื่องประดับ พลางเชิดคางขึ้นแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ท่านออกไปได้แล้ว”นางยังคงหยิ่งผยองและแสดงอำนาจที่เหนือกว่า อีกทั้งไม่รู้สึกผิดเลยที่ได้กลั่นแกล้งผู้อื่นใบหน้าของเย่หมิงเยว่เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ หน้าอกของนางสั่นอย่างรุนแรงดวงตาของนางฉายแววมืดดำ จากนั้นนางก็ออกจากกุฏิโดยไม่หันกลับมามองซูชิงอู่เฝ้ามองความน่าตื่นเต้นจากด้านข้าง และรู้สึกสะใจมากเมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารที่เหมือนถูกรังแกของเย่หมิงเยว่แน่นอนว่าคนชั่วย่อมต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปเย่หลิงจูรอให้คนกลุ่มนั้นกลับไป จากนั้นก็เดินมาหาซูชิงอู่นางว
ซูชิงอู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ความอยากรู้อยากเห็นฉายแววในดวงตาของพวกนางพร้อมกันไม่นานหลังจากที่นางสวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกไป นางก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บนพื้น ทุกคนล้วนมีสภาพเหมือนลูกหมาตกน้ำตอนนี้เป็นฤดูหนาวช่วงหลังปีใหม่พอดีและอากาศก็หนาวเย็นอย่างมากแม้จะออกไปข้างนอกในวันธรรมดาทั่วไปก็ต้องใส่เสื้อด้านในและนอกอย่างละสามชั้นแต่คนเหล่านี้เปียกโชกไปทั้งตัว พวกนางทั้งหมดตัวสั่นและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดังนั้นจึงมีคนนำเสื้อผ้ามาคลุมให้พวกนางแม้แต่องค์หญิงสี่ก็ไม่รอดซูชิงอู่ที่เห็นเหตุการณ์ก็ประหลาดใจและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับพวกนาง?”องค์หญิงห้าอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยรอยยิ้ม “บางทีข้าคงทำให้พระพุทธองค์ขุ่นเคือง สวรรค์จึงได้ลงโทษข้า!”เมื่อองค์หญิงสี่และคนอื่น ๆ ได้ยินเสียงดังกล่าว พวกนางก็เลื่อนสายตามามอง ดวงตาของเย่หมิงเยว่แดงก่ำ ร่างกายของนางสั่นเทา และฟันของนางก็กระทบกันจนส่งเสียงดังกึก ๆนางกำลังจะกลับไปพร้อมกับคนกลุ่มนี้ แต่ไม่นานหลังจากที่นางก้าวออกไป ก็มีคนสาดสิ่งปฏิกูลใส่ไปทั่วร่างมันเป็นน้ำที่มีกลิ่นเหม็น“เป็นพวกเจ้า...ใช่หรือไม่ ต้องเป็น...ฝีมือพวกเจ้าแน่ ๆ !”
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้