เย่เสวียนถิงพยักหน้า จากนั้นหันกลับขึ้นไปบนหลังม้า เขาก้มลงมาเล็กน้อยพร้อมยื่นมือไปหาซูชิงอู่ ทันใดนั้น ซูชิงอู่ก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังบุรุษที่ขี่ม้าอยู่ข้าง ๆ นาง ร่างสูงของเขาบดบังแสงทองที่อยู่ด้านหลัง ข้อต่อนิ้วชัดเจนจากมือที่ยื่นออกมานั้นดูเหมือนจะเปล่งแสงจาง ๆ นางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ตกตะลึงอยู่นานก่อนจะยื่นมือออกไป มือแกร่งจับมือของนาง ฉับพลันร่างกายของนางก็เบาลงและขึ้นไปนั่งอยู่ในอ้อมแขนของเย่เสวียนถิง “ไป!”เสียงของเย่เสวียนถิงดังก้องในหูของนางราวกับฟ้าร้อง ซูชิงอู่รู้สึกค่อนข้างคุ้นเคยกับเสียงนั้น จิตใจของนางสับสนมากแต่นางคิดอะไรไม่ออก เย่เสวียนถิงคงไม่รู้ว่าเขามีเสน่ห์แค่ไหนเมื่อทำท่าทางเช่นนี้ ซูชิงอู่สัมผัสใบหน้าอันร้อนผ่าวและแดงก่ำของตน จากนั้นสัมผัสหัวใจที่เต้นระรัว โดยรู้ว่า… ตนคงไม่มีทางหนีจากความรู้สึกนี้ไปได้ตลอดชีวิตเย่เสวียนถิงพาคนเหล่านั้นไปที่ฝ่ายสืบคดีที่เขารับผิดชอบ ภายในเรือนจำเต็มไปด้วยคนชั่ว ทันทีที่ซูชิงอู่เดินลงบันไดไปยังคุกใต้ดินกับเย่เสวียนถิง นางก็เห็นดวงตานับไม่ถ้วนจ้องมองพวกเขาจากด้านหลังลูกกรงเหล็กที่ขนาบท
หลิงซื่อเงยหน้าขึ้นมองท่าทีของซูชิงอู่ด้วยความกลัว “ไม่ ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ข้าจริง ๆ...” นางรีบส่ายหัวรัว ๆ อย่างสิ้นหวัง มีคนอยู่ข้าง ๆ เดินเข้ามาพร้อมแส้เตรียมลงมือ ทันทีที่หลิงซื่อเห็นแส้ ม่านตาของนางก็หดตัวลง มันใดนั้นซูชิงอู่ก็พูดว่า “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีเรื่องจะถามหลิงซื่ออีกสักหน่อย ช่วยให้พวกเขาออกไปก่อนได้หรือไม่เพคะ” เย่เสวียนถิงโบกมือ คนอื่น ๆ ออกจากห้องขังกันไปทีละคน จากนั้นเขาก็หันหลังเดินออกไป แต่ก่อนที่เขาจะก้าวออกจากห้อง ซูชิงอู่ก็เอ่ยว่า “ท่านอ๋องโปรดอยู่กับหม่อมฉันก่อนเถิดเพคะ อยู่ตรงนี้คนเดียวหม่อมฉันกลัวนิดหน่อย” ฝีเท้าของเย่เสวียนถิงหยุดชะงัก พลันรู้สึกมีความสุขขึ้นมาในใจเขาชะงักฝีเท้าที่จะเดินออกไปพร้อมหันกลับมาด้วยท่าทีสงบ จากนั้นปิดประตูหินแล้วมายืนข้างซูชิงอู่ แสงเทียนในห้องขังสลัว และเงียบพอที่จะได้ยินการหายใจอันหนักหน่วงของหลิงซื่อ เสียงของนางแหบแห้งจากการถูกทรมานทั้งวันทั้งคืน “ข้าสารภาพทุกอย่างที่รู้ไปหมดแล้ว ขอร้องพวกท่าน ช่วยปล่อยข้าไปเถิด…” ซูชิงอู่มองดูท่าทางที่น่าสมเพชของหลิงซื่อโดยไ
คำพูดที่ออกจากปากของนางนั้นค่อนข้างประชดประชัน นิสัยของหลิงซื่อเป็นเช่นนี้ และซูเชียนหลิงก็ได้รับสิ่งนี้มาจากนางเช่นกัน ซูชิงอู่หรี่ตาลง “เจ้าไม่คู่ควรที่จะตัดสินสิ่งที่แม่ของข้าทำ” “ใช่แล้ว นางเป็นดวงจันทร์ที่สว่างไสวในใต้หล้า ส่วนข้าก็เป็นแค่ไส้เดือนคลานอยู่ในโคลน จะเปรียบเทียบกับนางได้เยี่ยงไร” หลิงซื่อหัวเราะกับตัวเองแล้วพูดอีกครั้ง “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่ห้าของเจ้ามิได้ป่วยเลย ทว่าถูกวางยาพิษ และคนที่วางยาเขาคือคนไข้ของฟางอี๋ซิน แต่นางกลับปกป้องเด็กคนนั้นมิได้… ฟางอี๋ซินช่วยชีวิตผู้คนทุกวัน แต่สุดท้ายนางก็ไม่สามารถรักษาลูกของตัวเองได้ ต่อมานางค้นหายาอายุวัฒนะต่าง ๆ ทุกที่เพื่อล้างพิษพี่ห้าของเจ้า ข้าได้ยินมาว่านางเตรียมจะทำยาแก้พิษ แต่นางกลับต้องมาจากไปเสียก่อน ช่างน่าเสียดาย...” ซูชิงอู่ถามว่า “เจ้ามาบอกข้าเรื่องนี้ เจ้าต้องการสิ่งใด?”หลิงซื่อขมวดคิ้วและพูดอย่างอ่อนแอ “ข้าก็แค่เลื่อนลอย มีอะไรในใจข้าก็พูดออกไป…” ซูชิงอู่ยกริมฝีปาก “เจ้าอยากให้ข้ารู้สึกอึดอัดรึ? เจ้าอยากให้ข้ารู้สึกว่าทุกสิ่งที่ท่านแม่ทำในยามนั้นไม่คุ้มค่ารึ? หรือเจ้าต
“โอ้? ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะมีอำนาจและสถานะไม่น้อย เช่นนั้นข้าจะรอให้เขามาหาข้าเพื่อแก้แค้น” ซูชิงอู่ดูคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ดวงตาของนางไร้ความอบอุ่น หลิงซื่อตัวสั่นเมื่อเห็นเช่นนั้น นางลดสายตาลงพลางกัดฟันพูดว่า “เชียนหลิงเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นซีอู๋ตะวันตก ธิดาทางสายเลือดของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของแคว้นซีอู๋ตะวันตก... ข้าได้บอกความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแก่เจ้าแล้ว เจ้าปล่อยข้าไป…” ครู่ต่อมาเสียงของหลิงซื่อก็ขาดหาย ดูเหมือนคอของนางจะถูกปาด ซูชิงอู่มองดูนาง คิ้วของนางเลิกขึ้นเล็กน้อย และยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่กริชสีเงินที่นางถืออยู่ในมือแสดงให้เห็นว่านางทำอะไรไปเมื่อกี้ นางพูดว่า “ขอบคุณที่บอกความจริง แต่... ข้าแค่บอกว่าจะลองพิจารณาดู บัดนี้ข้าคิดได้แล้ว ข้าไม่คิดจะปล่อยเจ้าไป”ดวงตาของหลิงซื่อเบิกกว้าง สีหน้าของนางเริ่มบิดเบี้ยว ดุร้ายราวกับผี เลือดที่คอของนางยังคงไหลออกมา มิสามารถหยุดมันได้ นางทำได้เพียงรู้สึกถึงการหายใจไม่ออกและหนาวสั่น ความกลัวความตายแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ดวงตาปูดโปน นางจ้องมองที่ซู่ชิงอู่ด้วยความขุ่นเคืองยิ่ง ความโกรธที่ถูกหลอก
บัดนี้แม้ว่ารูปลักษณ์ของนางจะเหมือนเดิมทุกประการ แต่นางรู้ดีว่าภายในนั้นเน่าเฟะไปนานแล้ว แม้ว่าตอนนี้นางไม่สามารถถูกเรียกว่าปิศาจร้ายได้ แต่นางก็ไม่ใช่คนใจดีและเป็นคนดีอย่างแน่นอน นางสามารถใช้ประโยชน์จากหัวใจของผู้คน วางแผนเพื่อผลประโยชน์ของตน และฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา... อ้อมกอดของบุรุษผู้นี้อบอุ่นและมั่นคง ทำให้การเต้นของหัวใจของซูชิงอู่ค่อย ๆ คงที่ ซูชิงอู่ยืนเขย่งเท้าแล้วจูบริมฝีปากอ่อนนุ่มของเย่เสวียนถิง นางจงใจแลบลิ้นโลมเลียอย่างเย้ายวน ทันใดนั้นแขนของเย่เสวียนถิงรอบเอวของนางก็ตึงขึ้น การหายใจของเขาก็หนักหน่วงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แววตาของเขาจ้องอย่างลึกล้ำ “อาอู่ พอก่อน”ซูชิงอู่ลืมไปเลยว่านี่คือห้องขังเปื้อนเลือดที่มีศพอยู่ข้าง ๆ ซึ่งจ้องมองมาตาไม่กะพริบ ในใจของนางค่อนข้างสงบ เสียงของนางอ่อนโยนราวกับนกขมิ้น “หม่อมฉันรู้เพคะ แม้ว่าท่านอ๋องจะเห็นสิ่งนี้ ท่านก็จะไม่ทิ้งหม่อมฉันไป…” เย่เสวียนถิงถอนหายใจ แววตาของเขานั้นช่างอ่อนโยน จากนั้นเขาก็อุ้มซู่ชิงอู่ขึ้นมาแล้วเดินออกจากห้องขังไป ผู้คุมหลายคนที่ประตูเห็นคนสองคนเดินออกจากห้
มหาราชครูมู่หรงมีบุตรชายทั้งหมดสองคน บัดนี้ที่เย่เสวียนถิงเหยียบย่ำหนึ่งในนั้นจนแหลกสลาย ความเกลียดชังนี้บอกได้เลยว่าคงอยู่ร่วมใต้หล้าเดียวกันไม่ได้แล้ว ทว่าสำหรับสองฝ่ายที่ถือเป็นศัตรูกันแต่เดิม เหตุการณ์เช่นนี้ก็มีได้ใหญ่อะไร ดังนั้นเย่เสวียนถิงจึงดูสงบ ทั้งฮองเฮาและมหาราชครูที่กำลังคร่ำครวญทำให้ฮ่องเต้ถึงกับปวดหัว เขาจึงต้องรีบจัดการกับเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ รู้สึกสับสนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยถามว่า “ชิงอู่ เหตุใดจึงมาที่นี่ด้วยเล่า?” ดวงตาของซูซิงอู่เป็นสีแดงก่ำ นางเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ด้วยท่าทีโศกเศร้า ทันใดนั้นนางก็คุกเข่าลงบนพื้นและสะอื้น “เรื่องนี้เป็นเพราะชิงอู่เพคะ ขอฝ่าบาททรงโปรดอย่าได้ตำหนิท่านอ๋องเลยเพคะ!” เย่เสวียนถิงเองก็คุกเข่าลงข้าง ๆ ซูชิงอู่ และอธิบายทุกอย่างโดยละเอียด“เช่นนั้นตัวลูกจึงโกรธมาก จึงให้คนทุบตีคุณชายมู่หรง ไหนเลยจะรู้ว่าคุณชายมู่หรงจะบอบบางถึงเพียงนี้จนทำลายส่วนนั้นของเขาไปโดยมิได้ตั้งใจ” ดวงตาของมหาราชครูมู่หรงโกรธมากจนแทบจะเปลี่ยนเป็นเขียว “ท่านอ๋องเสวียนตรัสเรื่องไร้สาระแล้ว หมาย
ดูไปแล้วก็เหมือนกับการตามหานาง ทว่าในความเป็นจริงมันเป็นการทำลายชื่อเสียงของนางให้สิ้นซากและทำให้ทุกคนรู้ว่าซูชิงอู่ถูกกลุ่มโจรลักพาตัวไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นางเน้นย้ำให้พวกเหล่าคุณชายผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงจดจำใบหน้าของซูชิงอู่ และเตือนพวกเขาว่าอย่าได้แต่งงานกับนางในภายหน้า ซูชิงอู่โจมตีอย่างหนักอีกครั้ง “แม้ว่าเขาจะมิเคยพบตัวข้า แต่เขาควรจำรถม้าของจวนอ๋องได้ เขาจู่โจมรถม้าจวนอ๋อง นี่มิใช่เป็นเพียงความไม่เคารพท่านอ๋อง แต่ยังมิเคารพต่องฮ่องเต้ด้วย การทุบตีเขาเพื่อลงโทษเพียงหนึ่งครั้ง ถือเป็นการผ่อนปรนมากแล้ว” “ท่าน ท่าน……” มหาราชครูมู่หรงไม่เคยเห็นสตรีที่พูดจาเฉียบคมเช่นนี้มาก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือฮ่องเต้นั้นชื่นชอบซูชิงอู่มาก เมื่อฮ่องเต้ได้ยินก็ดูเหมือนว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ใบหน้าของเขามืดลงทันที“มหาราชครูมู่หรง เรื่องนี้ย่อมมีเหตุและผล เหตุผลก็คือฉางอันบุตรชายคนเล็กของเจ้ามีเจตนาที่ไม่ดีต่อพระชายาก่อน เช่นนั้นจึงถูกอ๋องเสวียนจัดการ สรุปแล้วการกระทำของเขาจะต้องถูกลงโทษ... ทว่าเมื่อพิจารณาถึงความทุกข์ทรมานของเขาแล้ว ข้าจะปล่อยผ่านไปตราบใดท
ในตำหนักฮุ่ยหนิงบรรยากาศเคร่งเครียดผู้คนในตำหนักดูโศกเศร้าทันทีที่ฮ่องเต้มาถึง ฮุ่ยเฟยก็เดินออกไปด้วยความตื่นตระหนก และคุกเข่าต่อหน้าเขาด้วยดวงตาสีแดงก่ำ"ฝ่าบาทได้โปรดเถอะเพคะ ช่วยองค์ชายหกด้วย ฝ่าบาทได้โปรดช่วยชีวิตเขาด้วย!"ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามขันทีหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ เขาว่า "หมอหลวงมากันหมดแล้วเหรอ?"ขันทีหนุ่มตอบทันที "ทูลฝ่าบาท หมอหลวงหลิน และหมอหลวงหลี่ กำลังวินิจฉัยและรักษาองค์ชายหกอยู่ด้านใน"ฮ่องเต้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขามองลงไปที่ฮุ่ยเฟย และยื่นมือออกไปช่วยนางลุกขึ้น“หมอหลวงมาแล้วไม่ใช่เหรอ ฉางอิ๋งเป็นองค์ชาย เขามีโชคคอยคุ้มครอง เขาต้องไม่เป็นไรแน่ อย่ากังวลมากไปนักเลย”ฮุ่ยเฟยยืนขึ้น หลุบตาลงและตัวสั่นไปทั้งตัวฮองเฮาและคนอื่น ๆ ก็รีบวิ่งไปเช่นกันในช่วงเวลาสั้น ๆ ทั้งทั้งลานของตำหนักฮุ่ยหนิง ก็เต็มไปด้วยผู้คนแม้ตอนนี้ฮองเฮาจะถูกลดทอนอำนาจลงไปแล้ว แต่ในฐานะผู้ดูแลหกตำหนักฝ่ายใน คำพูดของพระนางก็ยังคงมีน้ำหนักอยู่บ้าง นางหรี่ตาลงและมองไปรอบ ๆ ทันใดนั้นก็ถามว่า "ซูเฟยอยู่ที่ใด เรื่องใหญ่โตเช่นนี้แล้ว ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบหกตำหนักฝ่ายในชั่วคราวอย่า