“มือท่านเจ็บหรือไม่? บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า? เย่อวิ๋นถูต่อยท่านที่ใด?”แม้จะทะเลาะกันเมื่อครู่ แต่ก็เป็นเขาถือไพ่เหนือกว่าอยู่ฝ่ายเดียวถึงแม้ขาเขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่ฉายาราชันแห่งสงครามก็ไม่ใช่เพียงชื่อเกินจริงคนที่วรยุทธเหนือกว่าเขาใต้หล้า ใช้มือเดียวนับก็หมดแล้วแต่หน้าเย่เสวียนถิงปรากฏความประหลาดใจพลางมองดูซูชิงอู่ที่ตรวจมือเขาอย่างตั้งใจ แล้วเขาก็เข้าใจการกระทำนางเมื่อครู่ทันที“ข้า…”ลูกกระเดือกเขาขยับสักพัก สมองว่างเปล่าไม่รู้ว่าจะตอบออกไปเช่นไร“ข้าไม่เป็นไร ไม่ได้รับบาดเจ็บ…”ซูชิงอู่กล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ถ้าเย่อวิ๋นถูบังอาจทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเส้นผมล่ะก็ ข้าจักหั่นเขาเป็นแปดสับ สับให้เละเป็นโจ๊กทีเดียว!”วาจานี้นางมิใช่สักแต่จะพูดและมิได้ล้อเล่นด้วยแสงเย็นวูบขึ้นในดวงตาความป่าเถื่อนบังเกิดอย่างบ้าคลั่งและเหนือการควบคุมนิ้วมือของซูชิงอู่ไล่ตามข้อต่อนิ้วเรียวยาวและแข็งขืนของเย่เสวียนถิง หลังมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บจากการวิวาทกับเย่อวิ๋นถูจึงถอนหายใจอย่างนึกโล่งอก“ไม่บาดเจ็บจริงด้วย…ไม่ถูกต้อง ตรงนี้ผิวแตกนิดหน่อย!”ซูชิงอู่คล้ายค้นพบบางอย่าง ฉ
ขณะนี้แม่เฒ่าอูกำลังนั่งอยู่ห้องรับแขก ใบหน้านางแก่ชรา ดูราวกับอายุหกสิบกว่าปีสันหลังค่อมน้อย ๆ แค่การแต่งตัวกลับประณีต คนก็ดูท่าเข้มงวดขึงขังเย่เสวียนถิงมาอยู่กับซูชิงอู่ในห้องรับแขก“หม่อมฉันขอเข้าเฝ้าท่านอ๋อง เยี่ยมคารวะพระชายาเพคะ”แม่เฒ่าอูมีมารยาทไม่ขาดตกบกพร่องซูชิงอู่มีความเกรงใจหลายส่วนต่อแม่นมผู้นี้ ยิ่งกว่านั้น นางคือตัวแทนท่านย่านาง“แม่เฒ่าอูมาหาข้าที่นี่ มีเรื่องใดหรือ?”แม่เฒ่าอูก็ไม่อ้อมค้อมเช่นกัน “หม่อมฉันได้ยินว่าเกิดเรื่องกับแม่นมหลิน ดังนั้นเลยมาเยี่ยมนางโดยเฉพาะ อย่างไรนางก็เป็นคนชราทำงานในจวนมาหลายปี แม้จะออกจากจวนอัครเสนาบดีแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังมีไมตรีอยู่บ้างเพคะ”ซูชิงอู่พยักหน้าอมยิ้ม “ที่ท่านพูดนั้นนับว่าไม่ผิด แถมนางยังเป็นแม่นมของข้าด้วย นับว่าโตมากับการกินน้ำนมของนาง บุญคุณส่วนนี้ข้าย่อมจารึกในหัวใจ เพียงแต่…”นางหยุดชะงักไปพักหนึ่งแม่เฒ่าอูต้อนถามทันที “เพียงแต่อันใด?”ซูชิงอู่ถอนหายใจหลุบตาลง บนหน้านางเผยอารมณ์แค้นเคืองปนสร้อยเศร้าหลายส่วน “ความจริงใจของข้า นางกลับทิ้งขว้าง แต่เล็กจนโตท่านคิดว่าข้าปฏิบัติต่อแม่นมหลินเช่นไร? กลายเป็นเลี้ยงด
เป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นเย่เสวียนถิงประหม่าดวงตาของซูชิงอู่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่พร้อมจะแผดเผาคนให้มอดไหม้ เมื่อใบหน้าที่มีเสน่ห์และงดงามของนางมีรอยยิ้มก็ทำให้ไม่สามารถละสายตาออกไปได้เย่เสวียนถิงเพียงมองนางอย่างตั้งใจ ราวกับว่าเขาถูกกวนใจด้วยรอยยิ้มที่มุมปากของนาง…ซูชิงอู่จับมือของเขา พลางกดเสียงต่ำลงเล็กน้อย ชวนให้รู้สึกถึงความลึกลับ“เสวียนถิง มากับข้าสิ”ร่างสูงของเย่เสวียนถิงถูกดึงกลับไปที่ห้องนอนใหญ่โดยซู ชิงอู่ผู้แสนบอบบางเมื่อเขาเห็นซูชิงอู่ปิดประตูและหน้าต่าง เขาก็หน้าแดงอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “อาอู่ นี่เจ้า…”“นั่งก่อนสิ!”ซูชิงอู่ผลักเย่เสวียนถิงให้นั่งบนขอบเตียง จากนั้นก็ถอดรองเท้าและถุงเท้าของเขาออกด้วยตัวเองดวงตาของเย่เสวียนถิงเบิกกว้างเล็กน้อย เมื่อมองการกระทำของซูชิงอู่ด้วยความเหลือเชื่อ พลางถดเท้าถอยหลังโดยไม่รู้ตัวเขาประหม่ามากจนสูญเสียการควบคุม เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย “อาอู่ มันสกปรก…”แต่ซูชิงอู่ไม่มีท่าทีรังเกียจเขาแม้แต่น้อยนิ้วเรียวขาวขยับและกดบนน่องซ้ายของเขาทีละนิ้วการสัมผัสจากปลายนิ้วของนางบนผิวหนังของเขาทำให้เย่เสวียนถิงรู้สึกประหม่าเป็
“อะไรกัน ยังรู้สึกไม่ดีอยู่หรือ?”ดวงตาของเย่เสวียนถิงมีน้ำใสคลอเล็กน้อย เขาเม้มปากแน่นและไม่พูดอะไร แต่ในใจเขากลับรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากครู่ต่อมา เขาเอื้อมมือไปโอบสตรีที่อยู่ตรงหน้าไว้ในอ้อมแขนแน่น ราวกับว่าเขากำลังกอดสมบัติที่เพิ่งได้คืนกลับมาเขาหลับตาและพูดราวกับไม่หยี่ระต่อความตาย “อาอู่ ไม่ว่าครั้งนี้เจ้าจะยังจงใจแสดงละครใส่ข้าหรือไม่ ข้าก็…ยอมทั้งหมด ตอนนี้หัวใจของข้าวางอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว เจ้าจะเอามาขยี้เล่นหรือทำอย่างไรก็ได้…”ซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ “ข้าจะเอาหัวใจท่านมาขยี้เล่นได้อย่างไร เช่นนั้นข้าคงปวดใจแย่ เอาล่ะ ถึงเวลาจัดการงานหลักแล้ว ท่านอยู่เฉย ๆ นะ”ขณะนี้ เย่เสวียนถิงมีความซื่อสัตย์และเชื่อฟังเป็นพิเศษแต่สายตาของเขาอดไม่ได้ที่จะมองซูชิงอู่อยู่อย่างนั้นคนหนุ่ม ๆ ก็เป็นเช่นนี้ เมื่อได้ชิมครั้งแรกก็จะถูกล่อลวงและไม่สามารถระงับความคิดหรือความต้องการของตนเองได้เขาอยากจะขลุกตัวอยู่ในห้องกับซูชิงอู่ตลอดทั้งวัน ซูชิงอู่ยังคงกดจุดฝังเข็มบนขาของเขาต่อไปเท้าซ้ายของเย่เสวียนถิงเปลือยเปล่า เห็นได้ชัดว่าวันนี้เป็นวันที่อากาศร้อน แต่เขากลับตัวหงิกราวกับถูกแช่แข็งเมื
หากเป็นเวลาเพียงไม่นานหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บ เย่เสวียนถิงคงยังเต็มไปด้วยความหวัง คิดว่าขาของเขาจะดีขึ้นในไม่ช้าแต่นั่นก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้วเขาเชิญหมอจากทั่วทั้งแผ่นดินมารักษา แต่ก็ไม่มีใครสามารถรักษาเขาได้การที่ฟื้นตัวมาได้ถึงทุกวันนี้และสามารถบังคับตัวเองไม่ให้เดินกะโผลกกระเผลกได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้วเขาจึงไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าตนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม หรือแม้กระทั่งกลับไปขี่ม้าและฝึกศิลปะการต่อสู้อีกครั้งซูชิงอู่รู้ได้จากสีหน้าของเขาว่าเขาไม่เชื่อแต่นั่นไม่สำคัญ เพราะเพียงเวลาไม่นานผลลัพธ์ก็จะบอกเขาเองว่าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริงนางลดสายตามองไปที่ขาของเย่เสวียนถิง สิ่งที่นางเกลียดที่สุด คือตอนนั้นนางไม่ได้รักษาเขาจนหายขาดให้เร็วกว่านี้หากเย่เสวียนถิงไม่ได้รับบาดเจ็บ ชาติที่แล้วหลังจากกลับมาจากสงครามเขาก็คงจะไม่ตายใช่หรือไม่?แม้ว่าขาของเขาจะรักษาได้ยาก แต่ในเวลานี้ สำหรับซูชิงอู่แล้วย่อมไม่ใช่เรื่องยากฟางอี๋ซิน แม่ของนางเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเก่าแก่ที่ได้รับสูตรยารักษาโรค แม้ว่าตระกูลฟางจะยากจน แต่บรรพบุรุษของนางล้วนเป็นหมอหลวงความรู้ด้านการแพทย์มากมายท
เป็นเวลาสามวันติดต่อกันที่เย่เสวียนถิงและซูชิงอู่เอาแต่อยู่ในเรือนหลังใหม่โดยไม่ได้ออกไปไหนเนื่องจากเย่ซวนถิงเพิ่งจะได้ใช้ยา เขาจึงไม่สามารถเคลื่อนไหวไปมาแบบสบาย ๆ ได้ในช่วงสามวันแรกอีกทั้งจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างสาหัส แต่หลังจากผ่านสองสามวันแรกนี้ไปแล้ว อาการปวดก็จะค่อย ๆ บรรเทาลงซูชิงอู่ต้องอยู่ในห้องเพื่อสังเกตผลของยาและสภาพร่างกายของเย่เสวียนถิงโดยแทบไม่เคยลุกจากเตียงเลยแม้แต่อาหารก็ถูกนำมาส่งที่ห้องโดยอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงที่คอยสลับกันมาเรื่องที่คู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันที่ไม่ออกจากห้องเลยตลอดสามวันก็เริ่มแพร่สะพัดไปทั่วจวนเมื่อคนรับใช้ในจวนเดินผ่านสวนเพื่อทำความสะอาดทุกวัน พวกเขาก็มองไปยังเรือนหลังใหม่ด้วยสายตาที่คลุมเครือเป็นพิเศษถึงอย่างไรก็ตาม วันที่สามเป็นวันเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านฝ่ายเจ้าสาวเย่เสวียนถิงที่ทนต่อความเจ็บปวดที่ขาของเขาในตอนเช้า ได้สั่งให้คนรับใช้เตรียมของขวัญไว้มากมายซูชิงอู่ห้ามเขา “อาการบาดเจ็บที่ขาของท่านยังไม่หาย เราออกเดินทางกันช้าหน่อยก็ได้ เดี๋ยวข้าจะส่งคนไปแจ้งที่จวนเสนาบดี”เย่เสวียนถิงมองซูชิงอู่ด้วยสายตาที่อ่อนโยนเป็นพิเศษแม้ว่าเขาจ
ซูชิงอู่วางป้ายวิญญาณไว้บนโต๊ะกลางห้องเมื่อเห็นสีหน้าของนางหลิงที่ขรึมขึ้นในทันที นางจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถอดเสื้อผ้าของท่านออก สีแดงที่แท้จริงคือเสื้อผ้าที่เหมาะสำหรับฮูหยินตัวจริง ท่านเป็นเพียงภรรยาที่ตบแต่งเข้ามาเป็นลำดับที่สอง แม้ว่าท่านจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นแล้วก็เถอะ อย่างไรท่านก็ยังคงเป็นเพียงนางบำเรอ ชุดสีแดงนี้จะแปดเปื้อนเอาได้”รอยยิ้มบนใบหน้าของนางหลิงแข็งทื่อนางกำมือแน่นจนผ้าที่เข่าของนางมีรอยย่นนางคิดไม่ถึงเลยว่าคำพูดแรกของซูชิงอู่เมื่อกลับมาเยี่ยมคือการให้นางถอดเสื้อผ้า!เป็นเวลาครู่หนึ่งที่นางหลิงไม่รู้ว่าควรแสดงสีหน้าแบบไหน และสิ่งที่นางได้คิดไว้ก่อนหน้านี้คงไม่มีประโยชน์…ตั้งแต่ที่นางกลายมาเป็นภรรยาคนที่สอง นางได้จัดการเรื่องต่าง ๆ ในจวนเสนาบดีอย่างเป็นระเบียบ และทั้งท่านอัครเสนาบดีหรือฮูหยินใหญ่ก็พอใจนางเป็นอย่างมากไม่มีใครในจวนนี้พูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับนางแม้ว่านางจะปฏิบัติต่อซูชิงอู่เหมือนเป็นลูกสาวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของอะไรดี ๆ ก็ตาม นางก็จะส่งไปยังเรือนของซูชิงอู่เพื่อให้นางเลือกก่อนเสมอในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็แสดงเป็นแม่ลูกที
จู่ ๆ เย่เสวียนถิงก็ขัดจังหวะเขา “เหตุใดพระชายาทำผิดแล้วต้องให้ท่านอัครเสนาบดีสั่งสอนด้วยเล่า?”อัครเสนาบดีซูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งกับคำพูดของเย่เสวียนถิงเขาเงยหน้ามองทันทีและเห็นสายตาที่มองมาอย่างเย็นชาของเย่เสวียนถิงชายที่อยู่ตรงหน้าเขามีรัศมีอันเยือกเย็นตั้งแต่อายุยังน้อย เขายืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นราวกับใบมีดคมที่ถูกดึงออกจากฝัก“เด็กสาวที่ไม่เคารพแม่ของตัวเองย่อมมีความผิดพ่ะย่ะค่ะ”เย่เสวียนถิงขมวดคิ้วอย่างเย็นชา “นางบำเรอคู่ควรที่จะเป็นมารดาของชายาข้าหรือ?”ทันทีที่เขาพูดจบ ใบหน้าของนางหลิงก็ซีดลงขณะนี้ นางยืนขึ้นทั้งน้ำตาและตามอัครเสนาบดีซูมาเพื่อทำความเคารพ แต่คำพูดของเย่เสวียนถิงทำให้นางหน้าแดงด้วยความอับอายแต่เย่เสวียนถิงเป็นถึงอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ เขาจะยอมให้สตรีเช่นนางพูดด้วยหรือ แม้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรผิด แต่นางก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะโต้แย้ง“ท่านอัครเสนาบดี ข้ารู้ว่าข้ามีสถานะต่ำต้อย คงไม่คู่ควรให้พระชายาเรียกข้าว่าแม่จริง ๆ ท่านเขียนหนังสือหย่ากับข้าไปเลยดีกว่าเจ้าค่ะ!”ทันใดนั้นอัครเสนาบดีซูก็ทำสีหน้าโกรธเกรี้ยว เขามองไปที่ซูชิงอู่อย่างไม่พอใจ “ชิงอู่ วันนี้เป็นวันดีใ
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้