ขณะนี้แม่เฒ่าอูกำลังนั่งอยู่ห้องรับแขก ใบหน้านางแก่ชรา ดูราวกับอายุหกสิบกว่าปีสันหลังค่อมน้อย ๆ แค่การแต่งตัวกลับประณีต คนก็ดูท่าเข้มงวดขึงขังเย่เสวียนถิงมาอยู่กับซูชิงอู่ในห้องรับแขก“หม่อมฉันขอเข้าเฝ้าท่านอ๋อง เยี่ยมคารวะพระชายาเพคะ”แม่เฒ่าอูมีมารยาทไม่ขาดตกบกพร่องซูชิงอู่มีความเกรงใจหลายส่วนต่อแม่นมผู้นี้ ยิ่งกว่านั้น นางคือตัวแทนท่านย่านาง“แม่เฒ่าอูมาหาข้าที่นี่ มีเรื่องใดหรือ?”แม่เฒ่าอูก็ไม่อ้อมค้อมเช่นกัน “หม่อมฉันได้ยินว่าเกิดเรื่องกับแม่นมหลิน ดังนั้นเลยมาเยี่ยมนางโดยเฉพาะ อย่างไรนางก็เป็นคนชราทำงานในจวนมาหลายปี แม้จะออกจากจวนอัครเสนาบดีแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังมีไมตรีอยู่บ้างเพคะ”ซูชิงอู่พยักหน้าอมยิ้ม “ที่ท่านพูดนั้นนับว่าไม่ผิด แถมนางยังเป็นแม่นมของข้าด้วย นับว่าโตมากับการกินน้ำนมของนาง บุญคุณส่วนนี้ข้าย่อมจารึกในหัวใจ เพียงแต่…”นางหยุดชะงักไปพักหนึ่งแม่เฒ่าอูต้อนถามทันที “เพียงแต่อันใด?”ซูชิงอู่ถอนหายใจหลุบตาลง บนหน้านางเผยอารมณ์แค้นเคืองปนสร้อยเศร้าหลายส่วน “ความจริงใจของข้า นางกลับทิ้งขว้าง แต่เล็กจนโตท่านคิดว่าข้าปฏิบัติต่อแม่นมหลินเช่นไร? กลายเป็นเลี้ยงด
เป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นเย่เสวียนถิงประหม่าดวงตาของซูชิงอู่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่พร้อมจะแผดเผาคนให้มอดไหม้ เมื่อใบหน้าที่มีเสน่ห์และงดงามของนางมีรอยยิ้มก็ทำให้ไม่สามารถละสายตาออกไปได้เย่เสวียนถิงเพียงมองนางอย่างตั้งใจ ราวกับว่าเขาถูกกวนใจด้วยรอยยิ้มที่มุมปากของนาง…ซูชิงอู่จับมือของเขา พลางกดเสียงต่ำลงเล็กน้อย ชวนให้รู้สึกถึงความลึกลับ“เสวียนถิง มากับข้าสิ”ร่างสูงของเย่เสวียนถิงถูกดึงกลับไปที่ห้องนอนใหญ่โดยซู ชิงอู่ผู้แสนบอบบางเมื่อเขาเห็นซูชิงอู่ปิดประตูและหน้าต่าง เขาก็หน้าแดงอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “อาอู่ นี่เจ้า…”“นั่งก่อนสิ!”ซูชิงอู่ผลักเย่เสวียนถิงให้นั่งบนขอบเตียง จากนั้นก็ถอดรองเท้าและถุงเท้าของเขาออกด้วยตัวเองดวงตาของเย่เสวียนถิงเบิกกว้างเล็กน้อย เมื่อมองการกระทำของซูชิงอู่ด้วยความเหลือเชื่อ พลางถดเท้าถอยหลังโดยไม่รู้ตัวเขาประหม่ามากจนสูญเสียการควบคุม เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย “อาอู่ มันสกปรก…”แต่ซูชิงอู่ไม่มีท่าทีรังเกียจเขาแม้แต่น้อยนิ้วเรียวขาวขยับและกดบนน่องซ้ายของเขาทีละนิ้วการสัมผัสจากปลายนิ้วของนางบนผิวหนังของเขาทำให้เย่เสวียนถิงรู้สึกประหม่าเป็
“อะไรกัน ยังรู้สึกไม่ดีอยู่หรือ?”ดวงตาของเย่เสวียนถิงมีน้ำใสคลอเล็กน้อย เขาเม้มปากแน่นและไม่พูดอะไร แต่ในใจเขากลับรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากครู่ต่อมา เขาเอื้อมมือไปโอบสตรีที่อยู่ตรงหน้าไว้ในอ้อมแขนแน่น ราวกับว่าเขากำลังกอดสมบัติที่เพิ่งได้คืนกลับมาเขาหลับตาและพูดราวกับไม่หยี่ระต่อความตาย “อาอู่ ไม่ว่าครั้งนี้เจ้าจะยังจงใจแสดงละครใส่ข้าหรือไม่ ข้าก็…ยอมทั้งหมด ตอนนี้หัวใจของข้าวางอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว เจ้าจะเอามาขยี้เล่นหรือทำอย่างไรก็ได้…”ซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ “ข้าจะเอาหัวใจท่านมาขยี้เล่นได้อย่างไร เช่นนั้นข้าคงปวดใจแย่ เอาล่ะ ถึงเวลาจัดการงานหลักแล้ว ท่านอยู่เฉย ๆ นะ”ขณะนี้ เย่เสวียนถิงมีความซื่อสัตย์และเชื่อฟังเป็นพิเศษแต่สายตาของเขาอดไม่ได้ที่จะมองซูชิงอู่อยู่อย่างนั้นคนหนุ่ม ๆ ก็เป็นเช่นนี้ เมื่อได้ชิมครั้งแรกก็จะถูกล่อลวงและไม่สามารถระงับความคิดหรือความต้องการของตนเองได้เขาอยากจะขลุกตัวอยู่ในห้องกับซูชิงอู่ตลอดทั้งวัน ซูชิงอู่ยังคงกดจุดฝังเข็มบนขาของเขาต่อไปเท้าซ้ายของเย่เสวียนถิงเปลือยเปล่า เห็นได้ชัดว่าวันนี้เป็นวันที่อากาศร้อน แต่เขากลับตัวหงิกราวกับถูกแช่แข็งเมื
หากเป็นเวลาเพียงไม่นานหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บ เย่เสวียนถิงคงยังเต็มไปด้วยความหวัง คิดว่าขาของเขาจะดีขึ้นในไม่ช้าแต่นั่นก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้วเขาเชิญหมอจากทั่วทั้งแผ่นดินมารักษา แต่ก็ไม่มีใครสามารถรักษาเขาได้การที่ฟื้นตัวมาได้ถึงทุกวันนี้และสามารถบังคับตัวเองไม่ให้เดินกะโผลกกระเผลกได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้วเขาจึงไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าตนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม หรือแม้กระทั่งกลับไปขี่ม้าและฝึกศิลปะการต่อสู้อีกครั้งซูชิงอู่รู้ได้จากสีหน้าของเขาว่าเขาไม่เชื่อแต่นั่นไม่สำคัญ เพราะเพียงเวลาไม่นานผลลัพธ์ก็จะบอกเขาเองว่าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริงนางลดสายตามองไปที่ขาของเย่เสวียนถิง สิ่งที่นางเกลียดที่สุด คือตอนนั้นนางไม่ได้รักษาเขาจนหายขาดให้เร็วกว่านี้หากเย่เสวียนถิงไม่ได้รับบาดเจ็บ ชาติที่แล้วหลังจากกลับมาจากสงครามเขาก็คงจะไม่ตายใช่หรือไม่?แม้ว่าขาของเขาจะรักษาได้ยาก แต่ในเวลานี้ สำหรับซูชิงอู่แล้วย่อมไม่ใช่เรื่องยากฟางอี๋ซิน แม่ของนางเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเก่าแก่ที่ได้รับสูตรยารักษาโรค แม้ว่าตระกูลฟางจะยากจน แต่บรรพบุรุษของนางล้วนเป็นหมอหลวงความรู้ด้านการแพทย์มากมายท
เป็นเวลาสามวันติดต่อกันที่เย่เสวียนถิงและซูชิงอู่เอาแต่อยู่ในเรือนหลังใหม่โดยไม่ได้ออกไปไหนเนื่องจากเย่ซวนถิงเพิ่งจะได้ใช้ยา เขาจึงไม่สามารถเคลื่อนไหวไปมาแบบสบาย ๆ ได้ในช่วงสามวันแรกอีกทั้งจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างสาหัส แต่หลังจากผ่านสองสามวันแรกนี้ไปแล้ว อาการปวดก็จะค่อย ๆ บรรเทาลงซูชิงอู่ต้องอยู่ในห้องเพื่อสังเกตผลของยาและสภาพร่างกายของเย่เสวียนถิงโดยแทบไม่เคยลุกจากเตียงเลยแม้แต่อาหารก็ถูกนำมาส่งที่ห้องโดยอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงที่คอยสลับกันมาเรื่องที่คู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันที่ไม่ออกจากห้องเลยตลอดสามวันก็เริ่มแพร่สะพัดไปทั่วจวนเมื่อคนรับใช้ในจวนเดินผ่านสวนเพื่อทำความสะอาดทุกวัน พวกเขาก็มองไปยังเรือนหลังใหม่ด้วยสายตาที่คลุมเครือเป็นพิเศษถึงอย่างไรก็ตาม วันที่สามเป็นวันเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านฝ่ายเจ้าสาวเย่เสวียนถิงที่ทนต่อความเจ็บปวดที่ขาของเขาในตอนเช้า ได้สั่งให้คนรับใช้เตรียมของขวัญไว้มากมายซูชิงอู่ห้ามเขา “อาการบาดเจ็บที่ขาของท่านยังไม่หาย เราออกเดินทางกันช้าหน่อยก็ได้ เดี๋ยวข้าจะส่งคนไปแจ้งที่จวนเสนาบดี”เย่เสวียนถิงมองซูชิงอู่ด้วยสายตาที่อ่อนโยนเป็นพิเศษแม้ว่าเขาจ
ซูชิงอู่วางป้ายวิญญาณไว้บนโต๊ะกลางห้องเมื่อเห็นสีหน้าของนางหลิงที่ขรึมขึ้นในทันที นางจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถอดเสื้อผ้าของท่านออก สีแดงที่แท้จริงคือเสื้อผ้าที่เหมาะสำหรับฮูหยินตัวจริง ท่านเป็นเพียงภรรยาที่ตบแต่งเข้ามาเป็นลำดับที่สอง แม้ว่าท่านจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นแล้วก็เถอะ อย่างไรท่านก็ยังคงเป็นเพียงนางบำเรอ ชุดสีแดงนี้จะแปดเปื้อนเอาได้”รอยยิ้มบนใบหน้าของนางหลิงแข็งทื่อนางกำมือแน่นจนผ้าที่เข่าของนางมีรอยย่นนางคิดไม่ถึงเลยว่าคำพูดแรกของซูชิงอู่เมื่อกลับมาเยี่ยมคือการให้นางถอดเสื้อผ้า!เป็นเวลาครู่หนึ่งที่นางหลิงไม่รู้ว่าควรแสดงสีหน้าแบบไหน และสิ่งที่นางได้คิดไว้ก่อนหน้านี้คงไม่มีประโยชน์…ตั้งแต่ที่นางกลายมาเป็นภรรยาคนที่สอง นางได้จัดการเรื่องต่าง ๆ ในจวนเสนาบดีอย่างเป็นระเบียบ และทั้งท่านอัครเสนาบดีหรือฮูหยินใหญ่ก็พอใจนางเป็นอย่างมากไม่มีใครในจวนนี้พูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับนางแม้ว่านางจะปฏิบัติต่อซูชิงอู่เหมือนเป็นลูกสาวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของอะไรดี ๆ ก็ตาม นางก็จะส่งไปยังเรือนของซูชิงอู่เพื่อให้นางเลือกก่อนเสมอในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็แสดงเป็นแม่ลูกที
จู่ ๆ เย่เสวียนถิงก็ขัดจังหวะเขา “เหตุใดพระชายาทำผิดแล้วต้องให้ท่านอัครเสนาบดีสั่งสอนด้วยเล่า?”อัครเสนาบดีซูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งกับคำพูดของเย่เสวียนถิงเขาเงยหน้ามองทันทีและเห็นสายตาที่มองมาอย่างเย็นชาของเย่เสวียนถิงชายที่อยู่ตรงหน้าเขามีรัศมีอันเยือกเย็นตั้งแต่อายุยังน้อย เขายืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นราวกับใบมีดคมที่ถูกดึงออกจากฝัก“เด็กสาวที่ไม่เคารพแม่ของตัวเองย่อมมีความผิดพ่ะย่ะค่ะ”เย่เสวียนถิงขมวดคิ้วอย่างเย็นชา “นางบำเรอคู่ควรที่จะเป็นมารดาของชายาข้าหรือ?”ทันทีที่เขาพูดจบ ใบหน้าของนางหลิงก็ซีดลงขณะนี้ นางยืนขึ้นทั้งน้ำตาและตามอัครเสนาบดีซูมาเพื่อทำความเคารพ แต่คำพูดของเย่เสวียนถิงทำให้นางหน้าแดงด้วยความอับอายแต่เย่เสวียนถิงเป็นถึงอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ เขาจะยอมให้สตรีเช่นนางพูดด้วยหรือ แม้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรผิด แต่นางก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะโต้แย้ง“ท่านอัครเสนาบดี ข้ารู้ว่าข้ามีสถานะต่ำต้อย คงไม่คู่ควรให้พระชายาเรียกข้าว่าแม่จริง ๆ ท่านเขียนหนังสือหย่ากับข้าไปเลยดีกว่าเจ้าค่ะ!”ทันใดนั้นอัครเสนาบดีซูก็ทำสีหน้าโกรธเกรี้ยว เขามองไปที่ซูชิงอู่อย่างไม่พอใจ “ชิงอู่ วันนี้เป็นวันดีใ
ทั้งสามอย่างนั่นทำให้สีหน้าของนางหลิงดูแย่มากขึ้นเรื่อย ๆนางก้มหน้าบีบนิ้วมือไปมา แลดูกระวนกระวายแม้แต่หัวใจก็เต้นรัวสายตาของเย่เสวียนถิงมองข้ามเสนาบดีซูที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปมากนัก จนสายตาไปหยุดอยู่ที่นางหลิงเขาได้สอบปากคำนักโทษมานับไม่ถ้วนและมีความเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวร่างกายอันละเอียดอ่อนของคนเหล่านั้นสำหรับพฤติกรรมของนางหลิง เห็นได้ชัดว่ามีนางมีบางอย่างผิดปกติช่วงนี้เขาได้ทำการสืบสวนเรื่องนี้มาตลอดแต่ดูเหมือนทั้งหมดจะเป็นเรื่องบังเอิญแม้ในวันนั้นซูชิงอู่และนางหลิงจะไปวัดนอกเมืองเพื่อไปจุดธูปกราบไหว้พระด้วยกัน แต่ซูชิงอู่ก็เป็นคนตัดสินใจออกจากวัดด้วยตัวเองในระหว่างทางที่นางไปซื้อแผ่นฮกมงคลก็ถูกกลุ่มโจรลักพาตัวไปเป็นเวลาสามวันอีกทั้งเขายังไปสอบถามมาว่าในช่วงเวลานี้ของปี นางหลิงจะไปจุดธูปกราบไหว้ ซึ่งก็ไม่มีอะไรผิดปกติซูอู่หรี่ตา “แม่ของเจ้าคงจะผิดหวังมากหากนางเห็นว่าเจ้ายังไม่รู้จักโตเช่นนี้”ซูชิงอู่ไม่หลบเลี่ยงสายตาของซูอู่ นางรู้มานานแล้วว่าการทำเช่นนี้จะทำให้เขาโกรธ ท้ายที่สุดแล้ว สำหรับเขา การพูดเรื่องท่านแม่ก็เหมือนกับการ “กระตุกหนวดเสือ” พ่อตัวเอง