ซูชิงอู่ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า "อย่าได้กังวล ทุกอย่างกำลังไปได้ดี องค์ชายหกไม่ได้ป่วย แต่เขาถูกใครบางคนวางยาพิษต่างหาก"เห็นได้ชัดว่าเย่เสวียนถิงประหลาดใจ "พิษกู่ใช่หรือไม่?"เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้เรื่องนี้มากนัก ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็มืดลงมากเย่เสวียนถิงจับมือของซูชิงอู่ทันที หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น พร้อมกับริมฝีปากซึ่งเม้มจนเป็นเส้นตรง“เจ้าเผชิญกับสิ่งที่อันตรายถึงเพียงนั้นได้เช่นไร?”ซูชิงอู่ปลอบใจเขาพลางเอ่ยขึ้นว่า "ไม่เป็นไร ท่านอย่าลืมว่าข้าก็รู้ทักษะทางการแพทย์ด้วยเช่นกัน แม้ว่าพิษกู่จะฟังดูอันตราย แต่หากสามารถเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้ก็ไม่มีสิ่งใดน่ากังวล"เย่เสวียนถิงมีสีหน้ากังวล "พิษกู่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง แม้แต่หมอหลวงในพระราชวังก็ไม่รู้เรื่องนี้มากนัก ใครกันที่ทำสิ่งเลวร้ายเช่นนี้กับเด็กอายุแปดหนาวได้"“เป็นท่านราชครู” เมื่อสามคำนี้ออกมาจากปากของซูชิงอู่ รูม่านตาของเย่เสวียนถิงก็หดลงทันทีเขาจับปลายนิ้วของซูชิงอู่แน่นไว้แน่น และหัวใจของเขาก็รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“ท่านราชครูละทางโลกไปแล้ว อีกทั้งเขายังเก็บตัวอยู่ในวังตลอดทั้งปี เขาจะเข้ามายุ่งเกี่ยว
ผู้คุมสอบกระซิบอยู่ด้านข้างว่า “นี่เป็นการประลองรอบสุดท้ายแล้ว บุรุษผู้นี้มีชื่อว่าเซียวเฝิง เขาเป็นคนที่โดดเด่นในการสอบศิลปะการต่อสู้ในครั้งนี้ หลายคนไม่สามารถผ่านสามกระบวนท่าในมือของเขาได้ ไม่เพียงเท่านั้นเขายังเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาก” เย่เสวียนถิงพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมกับหรี่ดวงตาหงส์ของเขาลงเบา ๆเขาเคยพบกับบุรุษผู้นี้มาก่อนทั้งยังเคยมีปฏิสัมพันธ์กับเขาด้วย เขาเป็นคนมีพรสวรรค์ที่หาได้ยากจริง ๆสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเซียวเฝิงยังเด็กมาก เขาเพียงแต่อยู่ในวัยยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น และมีอนาคตที่สดใสรอเขาอยู่เบื้องหน้าเขาหันหน้าไปมองซูชิงอู่ จากนั้นจึงเห็นว่าสีหน้าของนางไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย เขาลดสายตาลงในเวลานี้เสียงกลองก็ดังขึ้นเซียวเฝิงและฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกำลังเดินขึ้นไปบนสังเวียนซึ่งทั้งคู่ต่างก็สวมชุดฝึกแบบเดียวกันสังเวียนเป็นเวทีทรงกลมซึ่งถูกสร้างขึ้น โดยมีสองวิธีที่จะเอาชนะได้คือ วิธีแรกต้องทำให้คู่ต่อสู้ตกจากเวที และอีกวิธีคือทำให้คู่ต่อสู้ยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยตนเองแม้ว่าซูชิงอู่จะเคยได้ยินว่าเซียวเฝิงได้รับบาดเจ็บในสังเวียนนี้ในชีวิตครั้งก่อนของนาง แต่นางก็ไม่รู้ว่าจะเ
ความเจ็บปวดแสนสาหัสทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแรง อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าบนเวที เขาใช้มือซ้ายกดตำแหน่งที่บาดเจ็บ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมอง 'สหาย' ที่ถูกเตะออกจากเวทีอยากไม่อยากเชื่อสายตาทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบสงัดไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันสีหน้าเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้ที่ถูกเขาเตะออกไป เขาถ่มน้ำลายออกมาเป็นฟองเลือด ก่อนจะยิ้มขึ้นอย่างมีความสุข“ฮ่าฮ่า เซียวเฝิง ตอนนี้มือของเจ้าไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงแล้ว ข้าอยากจะเห็นเหลือเกินว่าเจ้าจะยังคงเป็นผู้ชนะศิลปะการต่อสู้ในอันดับต้น ๆ ได้เช่นไร? เหตุใดเจ้าถึงเข้าร่วมการทดสอบศิลปะการต่อสู้นี้ หากไม่มีเจ้า เช่นนั้นจะต้องเป็นข้าที่เป็นผู้ชนะศิลปะการต่อสู้แน่ !"เมื่อผู้คุมสอบได้ยินเสียง เขาก็กลับมามีสติอีกครั้งก่อนจะพูดขึ้นว่า "รีบตามหมอหลวงเร็วเข้า!"มีหมอหลวงอยู่ใกล้ ๆ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการทดสอบศิลปะการต่อสู้เพราะถึงยังไงเมื่อมีการต่อสู้เกิดขึ้นย่อมมีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอนใบหน้าของเซียวเฝิงซีดเผือดตอนนี้เขาขยับมือไม่ได้เลย ทั้งแขนของเขาก็เจ็บปวดมากจนเหงื่อผุดพรายขึ้นบนหน้า
"ข้าเข้าใจแล้ว"ผู้คุมสอบจัดเสื้อผ้าของเขาแล้วเอ่ยเสียงดัง "จอหงวน*ฝ่ายบู๊ เซียวเฝิง!" เซียวเฝิงไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์จะพลิกผันเช่นนี้แก้มของเขาเปลี่ยนเป็นแดง และเปลวไฟก็ลุกไหม้ในดวงตาของเขาเซียวเฝิงคุกเข่าลงแล้วปิดบาดแผลของเขาไว้ ก่อนจะก้มหัวให้เย่เสวียนถิงซึ่งอยู่เหนือเขา"ขอบคุณใต้เท้ามาก!"ผู้คุมสอบเดินลงมาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า "เซียวเฝิง เจ้าควรขอบคุณท่านอ๋องเสวียนมากกว่านี้ หากไม่ใช่เพราะเขาพูดออกมา เจ้าที่สูญเสียแขนไปข้างหนึ่งแล้ว คงไม่สามารถเป็นผู้ชนะศิลปะอันดับหนึ่งในศิลปะการต่อสู้ได้ ต่อไปเจ้าต้องเข้าร่วมการทดสอบในพระราชวัง เตรียมตัวให้พร้อมเถอะ”"ขอรับ ขอบคุณ ขอบคุณท่านอ๋องเสวียน ท่านอ๋องมีเมตตาและคุณธรรมอันสูงส่งอันยิ่งใหญ่ ข้าน้อยผู้นี้จะจดจำขึ้นใจ!"ผู้คุมสอบตบไหล่เซียวเฝิง ก่อนจะหันหลังกลับและจากไปซูชิงอู่แอบเกาฝ่ามือของเย่เสวียนถิง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ท่านอ๋องทำได้ดีมาก"เย่เสวียนถิงเหลือบมองไปด้านข้างของเซียวเฝิงแล้วพูดว่า "เพื่อเห็นแก่หน้าของเจ้า อาอู่"ซูชิงอู่ยิ้มเบา ๆ แล้วเดินลงจากเวทีพร้อมกับเย่เสวียนถิงเซียวเฝิงตามมาทันที เขาอดทนต่อความเจ็บปวดที่
แม้ว่าจะยังไม่ถึงวันประกาศอันดับจริง แต่ผู้สมัครสามอันดับแรกก็ได้รับการพิจารณาแล้วทันทีที่เห็นนาง สวีชิงโม่ก็เข้ามาและทำความเคารพทันที“พระชายา!”ซูชิงอู่เลิกคิ้วแล้วถามว่า “ท่านมาทำอันใดที่นี่?”สวีชิงโม่ไม่กล้ามองตรงไปที่ใบหน้าของซูชิงอู่และพูดต่อ “ข้าได้คะแนนสามอันดับแรกในการสอบครั้งใหญ่ ข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อขอบคุณท่านโดยเฉพาะ”ซูชิงอู่พยักหน้าและพูดโดยมิแปลกใจ “เช่นนั้น ข้าก็ขอแสดงความยินดีกับคุณชายสวีล่วงหน้า แต่ข้ายังมีสิ่งที่ต้องจัดการ คุณชายสวีทำตามที่ต้องการเถิด""รอสักครู่!"สวีชิงโม่ขอให้เด็กรับใช้ที่อยู่ข้างหลังเขาเข้ามาทันที เขานำถาดมาวางตรงหน้าซูชิงอู่“นี่เป็นการแสดงความเคารพเล็ก ๆ น้อย ๆ ของข้า โปรดฮูหยินรับไว้ด้วยเถิด!”ซูชิงอู่มองดูและเห็นว่ามีเงินอย่างน้อยหนึ่งร้อยตำลึงอยู่บนถาดหลังจากการสอบชิงตำแหน่งขุนนาง ผู้ที่ติดอันดับสามอันดับแรกจะสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วในอาชีพการงานอย่างแน่นอน เพื่อการสานสัมพันธ์แล้วนั้นเหล่าบรรดาผู้ที่ได้ข่าวล่วงหน้าในยามนี้จะเตรียมของกำนัลล่วงหน้าเพื่อเยี่ยมเยียนบัณฑิตอันดับที่หนึ่งหรือบัณฑิตอันดับที่สองสวีชิงโ
ซูชิงอู่คาดไม่ถึงว่ารถม้าจะกลับมาเร็วเพียงนี้อวิ๋นเซียงหรูและสวีชิงโม่ต่างก็เป็นคนฉลาด แต่เพียงแวบเดียวก็ทำให้หัวใจของพวกเขาเต้นระรัวจะเป็นเรื่องบังเอิญได้อย่างไรที่ไม่นานมานี้ทั้งสามคนจะถูกกระสอบคลุมหัวในเวลาเดียวกัน? เซียวเฝิงไม่รู้เพราะเหตุใด ดวงตาของเขาเบิกกว้าง และรู้สึกประหลาดใจมาก “ไฉนท่านทั้งสองจึงมาที่นี่?” เขาช่างไร้เดียงสานักดวงตาของอวิ๋นเซียงหรูจ้องไปที่ซูชิงอู่ และมีร่องรอยของความอับอายที่ไม่สามารถปกปิดได้บนใบหน้าของเขาเห็นได้ชัดว่านิสัยของเขาที่ชอบทำให้ผู้อื่นกระอักกระอ่วนใจกลับมาแล้ว สวีชิงโม่ยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น จิตใจของเขายุ่งเหยิงไปหมด หลังจากที่รู้ความจริง ความรู้สึกที่อยากตอบแทนความเมตตานั้นก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดและดูไม่สบายใจ อวิ๋นเซียงหรูหลีกทาง “เชิญเข้ามาก่อนแล้วค่อยคุยกันเถิด” ซูชิงอู่กระแอมและพูดว่า “คุณชายอวิ๋นพูดถูกแล้ว เข้ามานั่งก่อนเถิด”เย่เสวียนถิงก้าวเข้าไปในห้องและเดินตามซู่ชิงอู่อย่างใกล้ชิด โดยกลัวว่าคนเหล่านี้จะทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อซูชิงอู่ เย่เสวียนถิงจัดการพาองค์รักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดมาด้ว
นางเดินออกมาจากหลังโต๊ะ ดวงตาของนางกวาดมองเซียวเฝิงและคนอื่น ๆ “ตัวข้าผู้เป็นพระชายาทำเรื่องเช่นนี้ หาได้บีบบังคับให้พวกท่านชดใช้สิ่งใดไม่ ในเมื่อทุกอย่างกระจ่างแล้ววันนี้ เช่นนั้นตัวข้าก็ขอมิปิดบังสิ่งใดแล้ว หากพวกท่านประสงค์รับใช้ท่านอ๋องก็จงอยู่ต่อ หากไม่แล้วนั้น พวกท่านก็สามารถออกไปจากที่นี่ได้ทันที ตัวข้ามิบังคับพวกท่าน” สวีชิงโม่ไม่คาดคิดว่าซูชิงอู่จะเอ่ยคำพูดชัดเจนชี้ขาดเช่นนี้แม้ว่าเขาจะเพิ่งรู้ว่าความช่วยเหลือที่เขาได้รับนั้นมาจากการวางแผนของผู้อื่น ทว่าเป็นเรื่องจริงที่ซูชิงอู่ช่วยชีวิตมารดาของตนไว้ หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง สวีชิงโม่ก็ยิ้มอย่างขมขื่น “สิ่งที่พระชายาตรัส ความมีน้ำใจของท่านต่อท่านแม่ของกระหม่อมนั้นแท้จริงยิ่งกว่าทองคำ แม้กระหม่อมรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มิใช่เรื่องบังเอิญ แต่ดูเหมือนว่ากระหม่อมก็หาได้มีสิทธิ์ปฏิเสธในยามนี้” ซูชิงอู่ยกยิ้มริมฝีปาก “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ตัวข้าเชื่อในตัวคุณชายสวี” นางหันหน้าไปมองเซียวเฝิงซึ่งกำลังปกปิดบาดแผลบนแขนของตน จากนั้นก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยน “เช่นนั้นจอมพลเซียว ท่านว่าอย่างไรเล่า?”เ
หากผู้อื่นพูดแบบนี้คงเป็นความเย่อหยิ่งโดยแท้ แต่ข้อเท็จจริงก็เห็นกันอยู่ตรงหน้าแล้ว แม้แต่หมอหลวงยังบอกว่าแขนนี้เกินเยียวยาจะรักษาแล้ว แต่นางกลับสามารถรักษาได้อย่างง่ายดาย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อในความสามารถของนางแล้ว เซียวเฝิงน้ำตาเอ่อคลอด้วยความซาบซึ้ง พลันคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “พระชายาทรงมีน้ำพระทัยยิ่ง เซียวเฝิงผู้นี้หาได้มีสิ่งใดจะตอบแทนไม่…” เย่เสวียนถิงขัดจังหวะคำที่เขาจะพูดต่อขึ้นมาทันใด “เจ้ายังคิดอยากจะอุทิศตัวเจ้าให้นางหรือไรเล่า?” แก้มของเซียวเฝิงพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงหลังจากเย่เสวียนถิงเอ่ยเสียงดุ และชายร่างสูงก็พบว่าตนพูดอะไรออกไปค่อนข้างไม่เข้าท่า “ไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้น” เขาจะมีความกล้าอาจเอื้อมพระชายาได้เยี่ยงไรกันเล่า? ซูชิงอู่คาดมิถึงเลยว่าเย่เสวียนถิงจะหึงหวงและริษยาจนแทบจะควบคุมมิได้ นางจำมิได้ว่า ในชาติที่แล้วนั้นเย่เสวียนถิงหึงหวงมากถึงเพียงนี้เลยหรือ?นางเก็บของของตนแล้วมายืนข้าง ๆ เย่เสวียนถิงก่อนพูดกับอีกสามคน “ในเมื่อทุกอย่างชัดเจนแล้ว เช่นนั้นพวกท่านกลับไปเถิด หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น ตัวข้าจะแจ้งให้พวกท