แม้ว่าจะยังไม่ถึงวันประกาศอันดับจริง แต่ผู้สมัครสามอันดับแรกก็ได้รับการพิจารณาแล้วทันทีที่เห็นนาง สวีชิงโม่ก็เข้ามาและทำความเคารพทันที“พระชายา!”ซูชิงอู่เลิกคิ้วแล้วถามว่า “ท่านมาทำอันใดที่นี่?”สวีชิงโม่ไม่กล้ามองตรงไปที่ใบหน้าของซูชิงอู่และพูดต่อ “ข้าได้คะแนนสามอันดับแรกในการสอบครั้งใหญ่ ข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อขอบคุณท่านโดยเฉพาะ”ซูชิงอู่พยักหน้าและพูดโดยมิแปลกใจ “เช่นนั้น ข้าก็ขอแสดงความยินดีกับคุณชายสวีล่วงหน้า แต่ข้ายังมีสิ่งที่ต้องจัดการ คุณชายสวีทำตามที่ต้องการเถิด""รอสักครู่!"สวีชิงโม่ขอให้เด็กรับใช้ที่อยู่ข้างหลังเขาเข้ามาทันที เขานำถาดมาวางตรงหน้าซูชิงอู่“นี่เป็นการแสดงความเคารพเล็ก ๆ น้อย ๆ ของข้า โปรดฮูหยินรับไว้ด้วยเถิด!”ซูชิงอู่มองดูและเห็นว่ามีเงินอย่างน้อยหนึ่งร้อยตำลึงอยู่บนถาดหลังจากการสอบชิงตำแหน่งขุนนาง ผู้ที่ติดอันดับสามอันดับแรกจะสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วในอาชีพการงานอย่างแน่นอน เพื่อการสานสัมพันธ์แล้วนั้นเหล่าบรรดาผู้ที่ได้ข่าวล่วงหน้าในยามนี้จะเตรียมของกำนัลล่วงหน้าเพื่อเยี่ยมเยียนบัณฑิตอันดับที่หนึ่งหรือบัณฑิตอันดับที่สองสวีชิงโ
ซูชิงอู่คาดไม่ถึงว่ารถม้าจะกลับมาเร็วเพียงนี้อวิ๋นเซียงหรูและสวีชิงโม่ต่างก็เป็นคนฉลาด แต่เพียงแวบเดียวก็ทำให้หัวใจของพวกเขาเต้นระรัวจะเป็นเรื่องบังเอิญได้อย่างไรที่ไม่นานมานี้ทั้งสามคนจะถูกกระสอบคลุมหัวในเวลาเดียวกัน? เซียวเฝิงไม่รู้เพราะเหตุใด ดวงตาของเขาเบิกกว้าง และรู้สึกประหลาดใจมาก “ไฉนท่านทั้งสองจึงมาที่นี่?” เขาช่างไร้เดียงสานักดวงตาของอวิ๋นเซียงหรูจ้องไปที่ซูชิงอู่ และมีร่องรอยของความอับอายที่ไม่สามารถปกปิดได้บนใบหน้าของเขาเห็นได้ชัดว่านิสัยของเขาที่ชอบทำให้ผู้อื่นกระอักกระอ่วนใจกลับมาแล้ว สวีชิงโม่ยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น จิตใจของเขายุ่งเหยิงไปหมด หลังจากที่รู้ความจริง ความรู้สึกที่อยากตอบแทนความเมตตานั้นก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดและดูไม่สบายใจ อวิ๋นเซียงหรูหลีกทาง “เชิญเข้ามาก่อนแล้วค่อยคุยกันเถิด” ซูชิงอู่กระแอมและพูดว่า “คุณชายอวิ๋นพูดถูกแล้ว เข้ามานั่งก่อนเถิด”เย่เสวียนถิงก้าวเข้าไปในห้องและเดินตามซู่ชิงอู่อย่างใกล้ชิด โดยกลัวว่าคนเหล่านี้จะทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อซูชิงอู่ เย่เสวียนถิงจัดการพาองค์รักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดมาด้ว
นางเดินออกมาจากหลังโต๊ะ ดวงตาของนางกวาดมองเซียวเฝิงและคนอื่น ๆ “ตัวข้าผู้เป็นพระชายาทำเรื่องเช่นนี้ หาได้บีบบังคับให้พวกท่านชดใช้สิ่งใดไม่ ในเมื่อทุกอย่างกระจ่างแล้ววันนี้ เช่นนั้นตัวข้าก็ขอมิปิดบังสิ่งใดแล้ว หากพวกท่านประสงค์รับใช้ท่านอ๋องก็จงอยู่ต่อ หากไม่แล้วนั้น พวกท่านก็สามารถออกไปจากที่นี่ได้ทันที ตัวข้ามิบังคับพวกท่าน” สวีชิงโม่ไม่คาดคิดว่าซูชิงอู่จะเอ่ยคำพูดชัดเจนชี้ขาดเช่นนี้แม้ว่าเขาจะเพิ่งรู้ว่าความช่วยเหลือที่เขาได้รับนั้นมาจากการวางแผนของผู้อื่น ทว่าเป็นเรื่องจริงที่ซูชิงอู่ช่วยชีวิตมารดาของตนไว้ หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง สวีชิงโม่ก็ยิ้มอย่างขมขื่น “สิ่งที่พระชายาตรัส ความมีน้ำใจของท่านต่อท่านแม่ของกระหม่อมนั้นแท้จริงยิ่งกว่าทองคำ แม้กระหม่อมรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มิใช่เรื่องบังเอิญ แต่ดูเหมือนว่ากระหม่อมก็หาได้มีสิทธิ์ปฏิเสธในยามนี้” ซูชิงอู่ยกยิ้มริมฝีปาก “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ตัวข้าเชื่อในตัวคุณชายสวี” นางหันหน้าไปมองเซียวเฝิงซึ่งกำลังปกปิดบาดแผลบนแขนของตน จากนั้นก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยน “เช่นนั้นจอมพลเซียว ท่านว่าอย่างไรเล่า?”เ
หากผู้อื่นพูดแบบนี้คงเป็นความเย่อหยิ่งโดยแท้ แต่ข้อเท็จจริงก็เห็นกันอยู่ตรงหน้าแล้ว แม้แต่หมอหลวงยังบอกว่าแขนนี้เกินเยียวยาจะรักษาแล้ว แต่นางกลับสามารถรักษาได้อย่างง่ายดาย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อในความสามารถของนางแล้ว เซียวเฝิงน้ำตาเอ่อคลอด้วยความซาบซึ้ง พลันคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “พระชายาทรงมีน้ำพระทัยยิ่ง เซียวเฝิงผู้นี้หาได้มีสิ่งใดจะตอบแทนไม่…” เย่เสวียนถิงขัดจังหวะคำที่เขาจะพูดต่อขึ้นมาทันใด “เจ้ายังคิดอยากจะอุทิศตัวเจ้าให้นางหรือไรเล่า?” แก้มของเซียวเฝิงพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงหลังจากเย่เสวียนถิงเอ่ยเสียงดุ และชายร่างสูงก็พบว่าตนพูดอะไรออกไปค่อนข้างไม่เข้าท่า “ไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้น” เขาจะมีความกล้าอาจเอื้อมพระชายาได้เยี่ยงไรกันเล่า? ซูชิงอู่คาดมิถึงเลยว่าเย่เสวียนถิงจะหึงหวงและริษยาจนแทบจะควบคุมมิได้ นางจำมิได้ว่า ในชาติที่แล้วนั้นเย่เสวียนถิงหึงหวงมากถึงเพียงนี้เลยหรือ?นางเก็บของของตนแล้วมายืนข้าง ๆ เย่เสวียนถิงก่อนพูดกับอีกสามคน “ในเมื่อทุกอย่างชัดเจนแล้ว เช่นนั้นพวกท่านกลับไปเถิด หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น ตัวข้าจะแจ้งให้พวกท
เย่อวิ๋นถูยิ้มเย็นเยียบแล้วชกเตียงอย่างแรง “ไม่น่าแปลกใจที่ท่านตาให้ข้าทุ่มเทความพยายามอย่างหนักในการสรรหาผู้มีความสามารถ เขาคงเดาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่าการสอบครั้งนี้จะพิเศษมาก หากสามารถดึงตัวขุนนางใหม่ทั้งหมดนี้มาอยู่ในมือได้จะได้รับความช่วยเหลือมากขึ้นอย่างแน่นอน!” ทว่าแผนของเขาล้มเหลว นอกเหนือจากบัณฑิตอันดับหนึ่งจอหงวนทั้งบุ๋นและบู๊ และสวีชิงโม่ที่ค่อนข้างโดดเด่นแล้ว ส่วนที่เหลือยังได้รับการแต่งตั้งอย่างไม่เป็นทางการจากฮ่องเต้ อาจกล่าวได้ว่าเย่อวิ๋นถูใช้อำนาจไปมากเพื่อให้ผู้คนทำสิ่งต่าง ๆ แต่สุดท้ายกลับไร้ประโยชน์ หลังจากได้ยินสิ่งนี้ เย่อวิ๋นถูก็ตกตะลึง เขาโมโหมาก “แล้วข่าวดีเล่า?”เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ ไอ้คนโง่เขลาพวกนี้ กล้ามารุกรานเขา เห็นทีจะต้องได้เจอกับผลที่มา! “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ ข่าวดีก็คือหวางอวิ๋นถูกจับแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เย่อวิ๋นถูกลับมาคึกคักทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “จัดการมันผู้นั้นให้หนัก แล้วถามมันผู้นั้นว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังที่สั่งให้มันทำร้ายตัวข้าอ๋องผู้นี้...” ……ทางด้านจวนอ๋องเสวียนนั
นางอยากจะหัวเราะจริง ๆ แต่ก็กลั้นเอาไว้ “ท่านพ่อเรียกข้ามาที่นี่เพื่อช่วยนางอธิบายเรื่องนี้ต่อหน้าข้าเช่นนั้นหรือ?” อัครเสนาบดีซูขมวดคิ้วและถอนหายใจ “พ่อรู้ว่าเจ้ามีเรื่องไม่พอน้าของเจ้า แต่วันพรุ่งพ่อยังอยากเชิญเจ้าไปพูดคุยกันที่จวน บางทีเราอาจจะจัดการเรื่องเข้าใจผิดบางอย่างได้” อัครเสนาบดีซูคิดว่าความสัมพันธ์ของเขากับซูชิงอู่ผ่อนคลายลงเมื่อไม่นานมานี้แล้ว นอกจากนี้ เขายังไม่ถือสาเรื่องที่นางเอาเงินทั้งหมดจากโรงยาและจวนอัครเสนาบดีไปจนทำให้จวนอัครเสนาบดีต้องประสบปัญหาทางการเงิน ซูชิงอู่ไม่มีเหตุผลที่จะทะเลาะกับเขาแล้วซูชิงอู่โกรธมากจนเกือบจะโพล่งออกมาเพื่อโต้กลับ แต่นางก็กลืนคำพูดลงไป นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสมองของอัครเสนาบดีซูทำงานอย่างไร บางทีอาจมีการแบ่งแยกระหว่างความฉลาดทางอารมณ์และและความฉลาดทางปัญญากระมัง เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้อาวุโสในศาล เขารู้กลอุบายทั้งหมดในแวดวงราชการ ไฉนจึงมองหลิงซื่อมิออกเล่า? นางหัวเราะเบา ๆ ด้วยความสงสัยเล็กน้อย “หลิงซื่อบอกสิ่งใดกับท่านพ่อเล่า?” อัครเสนาบดีซูตอบว่า “ผู้ที่หลบหนีไปถูกจับแล้ว ข้าส่งคนไปต
แม้ว่าอวิ๋นเซียงหรูจะรู้มานานแล้วว่าสิ่งต่าง ๆ จะไม่ราบรื่นนัก แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วเพียงนี้ เขาเคยเล่นงานองค์ชายสาม ส่งผลให้องค์ชายสามยังคงพักฟื้นอยู่ในจวน ตระกูลมู่หรงไม่มีทางปล่อยเขาไปง่าย ๆ แน่! เขามิได้ต่อต้านแต่อย่างใด เพียงแต่ปล่อยให้คนเหล่านั้นมัดมือของตน มหาราชครูมู่หลงเดินเข้ามาหาเขาพลางหรี่ตาลง ใบหน้าที่มีผิวสีเข้มและค่อนข้างผอมของเขาเผยสีหน้าเยาะเย้ย “บุตรชายของขุนนางต้องโทษกลายเป็นบัณฑิตอันดับหนึ่ง เป็นเรื่องน่าเสียดายจริง ๆ ที่เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ฮ่องเต้กริ้วมากหลังจากทราบเรื่องนี้ ขุนนางระดับสูงทุกคนรวมถึงองค๋ชายใหญ่ต่างโกรธเคือง อวิ๋นเซียงหรู เป็นเจ้ามิรู้ผู้ใดเป็นนาย คราวนี้หาได้มีผู้ใดจะช่วยเจ้าได้เป็นแน่!” เมื่ออวิ๋นเซียงหรูได้ยินคำพูดเหล่านี้ ใบหน้าของเขาก็ซีดลงตระกูลอวิ๋นยังเป็นตระกูลชนชั้นสูงเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วและเป็นสหายกับครอบครัวของตระกูลฟางในอดีต ในฐานะตระกูลบัณฑิต คนในตระกูลรุ่นสู่รุ่นล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของราชสำนัก ช่างน่าเศร้าที่เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเวลานั้น ท่านปู่ทำผิดพลาดครั้งใหญ่และถูกตัด
อวิ๋นเซียงหรูพยายามเหยียดร่างลุกขึ้นพลางมองเย่เสวียนถิงด้วยความประหลาดใจ เขาคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าตนซึ่งเคยเป็นเบี้ยไร้ค่าที่ถูกใช้แล้วทิ้ง บัดนี้กลับมีคนพูดเพื่อปกป้องตน ซูชิงอู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเย่เสวียนถิงยิ้มตาหยีราวกับจันทร์เสี้ยว และขยิบตาให้อวิ๋นเซียงหรูอย่างเป็นนัย ความกระสับกระส่ายแต่เดิมของอวิ๋นเซียงหรูก็พลันสงบลง ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด แต่เขารู้สึกว่าจะต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับตนเป็นแน่... มหาราชครูมู่หรงหัวเราะด้วยความโกรธ แววตาของเขาซ่อนแววดุร้าย แต่ภายนอกยังคงยิ้มเหมือนสุนัขจิ้งจอก “หากท่านอ๋องทรงมีราชโองการ กระหม่อมก็ควรเชื่อฟัง ทว่า... เรื่องนี้ได้รายงานไปยังฮ่องเต้แล้ว หากประสงค์ผ่อนปรน คงต้องรายงานต่อฝ่าบาทโดยตรง” เย่เสวียนถิงพยักหน้าโดยไม่ลังเล “เช่นนั้นจะเสียเวลาอยู่ที่นี่เพื่ออะไร?” งานเลี้ยงบัณฑิตจอหงวนอันดับหนึ่งจบลงอย่างรวดเร็ว ฝูงชนที่เหลือก็ออกไปทันทีมหาราชครูมู่หรงจัดหารถม้าและให้คนเฝ้าอวิ๋นเซียงหรูไว้ จากนั้นจึงพาท่านอ๋องเสวียนและพระชายาเข้าไปในวังหลวง เย่เสวียนถิงกุมมือของซูชิงอู่ไว้แน่น และกระซิบข้างหูนาง