เย่อวิ๋นถูยิ้มเย็นเยียบแล้วชกเตียงอย่างแรง “ไม่น่าแปลกใจที่ท่านตาให้ข้าทุ่มเทความพยายามอย่างหนักในการสรรหาผู้มีความสามารถ เขาคงเดาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่าการสอบครั้งนี้จะพิเศษมาก หากสามารถดึงตัวขุนนางใหม่ทั้งหมดนี้มาอยู่ในมือได้จะได้รับความช่วยเหลือมากขึ้นอย่างแน่นอน!” ทว่าแผนของเขาล้มเหลว นอกเหนือจากบัณฑิตอันดับหนึ่งจอหงวนทั้งบุ๋นและบู๊ และสวีชิงโม่ที่ค่อนข้างโดดเด่นแล้ว ส่วนที่เหลือยังได้รับการแต่งตั้งอย่างไม่เป็นทางการจากฮ่องเต้ อาจกล่าวได้ว่าเย่อวิ๋นถูใช้อำนาจไปมากเพื่อให้ผู้คนทำสิ่งต่าง ๆ แต่สุดท้ายกลับไร้ประโยชน์ หลังจากได้ยินสิ่งนี้ เย่อวิ๋นถูก็ตกตะลึง เขาโมโหมาก “แล้วข่าวดีเล่า?”เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ ไอ้คนโง่เขลาพวกนี้ กล้ามารุกรานเขา เห็นทีจะต้องได้เจอกับผลที่มา! “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ ข่าวดีก็คือหวางอวิ๋นถูกจับแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เย่อวิ๋นถูกลับมาคึกคักทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “จัดการมันผู้นั้นให้หนัก แล้วถามมันผู้นั้นว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังที่สั่งให้มันทำร้ายตัวข้าอ๋องผู้นี้...” ……ทางด้านจวนอ๋องเสวียนนั
นางอยากจะหัวเราะจริง ๆ แต่ก็กลั้นเอาไว้ “ท่านพ่อเรียกข้ามาที่นี่เพื่อช่วยนางอธิบายเรื่องนี้ต่อหน้าข้าเช่นนั้นหรือ?” อัครเสนาบดีซูขมวดคิ้วและถอนหายใจ “พ่อรู้ว่าเจ้ามีเรื่องไม่พอน้าของเจ้า แต่วันพรุ่งพ่อยังอยากเชิญเจ้าไปพูดคุยกันที่จวน บางทีเราอาจจะจัดการเรื่องเข้าใจผิดบางอย่างได้” อัครเสนาบดีซูคิดว่าความสัมพันธ์ของเขากับซูชิงอู่ผ่อนคลายลงเมื่อไม่นานมานี้แล้ว นอกจากนี้ เขายังไม่ถือสาเรื่องที่นางเอาเงินทั้งหมดจากโรงยาและจวนอัครเสนาบดีไปจนทำให้จวนอัครเสนาบดีต้องประสบปัญหาทางการเงิน ซูชิงอู่ไม่มีเหตุผลที่จะทะเลาะกับเขาแล้วซูชิงอู่โกรธมากจนเกือบจะโพล่งออกมาเพื่อโต้กลับ แต่นางก็กลืนคำพูดลงไป นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสมองของอัครเสนาบดีซูทำงานอย่างไร บางทีอาจมีการแบ่งแยกระหว่างความฉลาดทางอารมณ์และและความฉลาดทางปัญญากระมัง เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้อาวุโสในศาล เขารู้กลอุบายทั้งหมดในแวดวงราชการ ไฉนจึงมองหลิงซื่อมิออกเล่า? นางหัวเราะเบา ๆ ด้วยความสงสัยเล็กน้อย “หลิงซื่อบอกสิ่งใดกับท่านพ่อเล่า?” อัครเสนาบดีซูตอบว่า “ผู้ที่หลบหนีไปถูกจับแล้ว ข้าส่งคนไปต
แม้ว่าอวิ๋นเซียงหรูจะรู้มานานแล้วว่าสิ่งต่าง ๆ จะไม่ราบรื่นนัก แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วเพียงนี้ เขาเคยเล่นงานองค์ชายสาม ส่งผลให้องค์ชายสามยังคงพักฟื้นอยู่ในจวน ตระกูลมู่หรงไม่มีทางปล่อยเขาไปง่าย ๆ แน่! เขามิได้ต่อต้านแต่อย่างใด เพียงแต่ปล่อยให้คนเหล่านั้นมัดมือของตน มหาราชครูมู่หลงเดินเข้ามาหาเขาพลางหรี่ตาลง ใบหน้าที่มีผิวสีเข้มและค่อนข้างผอมของเขาเผยสีหน้าเยาะเย้ย “บุตรชายของขุนนางต้องโทษกลายเป็นบัณฑิตอันดับหนึ่ง เป็นเรื่องน่าเสียดายจริง ๆ ที่เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ฮ่องเต้กริ้วมากหลังจากทราบเรื่องนี้ ขุนนางระดับสูงทุกคนรวมถึงองค๋ชายใหญ่ต่างโกรธเคือง อวิ๋นเซียงหรู เป็นเจ้ามิรู้ผู้ใดเป็นนาย คราวนี้หาได้มีผู้ใดจะช่วยเจ้าได้เป็นแน่!” เมื่ออวิ๋นเซียงหรูได้ยินคำพูดเหล่านี้ ใบหน้าของเขาก็ซีดลงตระกูลอวิ๋นยังเป็นตระกูลชนชั้นสูงเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วและเป็นสหายกับครอบครัวของตระกูลฟางในอดีต ในฐานะตระกูลบัณฑิต คนในตระกูลรุ่นสู่รุ่นล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของราชสำนัก ช่างน่าเศร้าที่เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเวลานั้น ท่านปู่ทำผิดพลาดครั้งใหญ่และถูกตัด
อวิ๋นเซียงหรูพยายามเหยียดร่างลุกขึ้นพลางมองเย่เสวียนถิงด้วยความประหลาดใจ เขาคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าตนซึ่งเคยเป็นเบี้ยไร้ค่าที่ถูกใช้แล้วทิ้ง บัดนี้กลับมีคนพูดเพื่อปกป้องตน ซูชิงอู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเย่เสวียนถิงยิ้มตาหยีราวกับจันทร์เสี้ยว และขยิบตาให้อวิ๋นเซียงหรูอย่างเป็นนัย ความกระสับกระส่ายแต่เดิมของอวิ๋นเซียงหรูก็พลันสงบลง ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด แต่เขารู้สึกว่าจะต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับตนเป็นแน่... มหาราชครูมู่หรงหัวเราะด้วยความโกรธ แววตาของเขาซ่อนแววดุร้าย แต่ภายนอกยังคงยิ้มเหมือนสุนัขจิ้งจอก “หากท่านอ๋องทรงมีราชโองการ กระหม่อมก็ควรเชื่อฟัง ทว่า... เรื่องนี้ได้รายงานไปยังฮ่องเต้แล้ว หากประสงค์ผ่อนปรน คงต้องรายงานต่อฝ่าบาทโดยตรง” เย่เสวียนถิงพยักหน้าโดยไม่ลังเล “เช่นนั้นจะเสียเวลาอยู่ที่นี่เพื่ออะไร?” งานเลี้ยงบัณฑิตจอหงวนอันดับหนึ่งจบลงอย่างรวดเร็ว ฝูงชนที่เหลือก็ออกไปทันทีมหาราชครูมู่หรงจัดหารถม้าและให้คนเฝ้าอวิ๋นเซียงหรูไว้ จากนั้นจึงพาท่านอ๋องเสวียนและพระชายาเข้าไปในวังหลวง เย่เสวียนถิงกุมมือของซูชิงอู่ไว้แน่น และกระซิบข้างหูนาง
บัดนี้ฮ่องเต้พิโรธอยู่แล้วยิ่งมาขอความเมตตาก็ยิ่งพิโรธมากขึ้นไปอีก หากจัดการได้ไม่ดี เย่เสวียนถิงเองก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย หลังจากพูดคำเหล่านี้แล้ว มหาราชครูมู่หรงก็ขอให้คนพาอวิ๋นเซียงหรูเข้ามายืนข้างตน เย่เสวียนถิงพาซูชิงอู่เข้าไปในพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน แล้วจึงถวายคำนับต่อฮ่องเต้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “เสด็จพ่อ ตัวลูกมาที่นี่คราวนี้เพื่อบัณฑิตอันดับหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้นั่งบนเก้าอี้พลางนวดหว่างคิ้ว “หากเจ้ามาเพื่อขอความเมตตาให้อวิ๋นเซียงหรู เช่นนั้นก็ไม่จำเป็น ตัวข้าจะมิยอมให้บุคคลอันตรายเยี่ยงนี้มาดำรงตำแหน่งสำคัญเด็ดขาด” ทันทีที่อวิ๋นเซียงหรูเข้าสู่ตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นขุนนางชั้นเอกะดับห้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความโปรดปรานของฮ่องเต้ที่มีต่อเขาอย่างชัดเจน ยามนั้นฮ่องเต้โปรดปรานเขายิ่งนัก ทว่าทันทีเมื่อรู้ว่าเขาเป็นบุตรชายขุนนางต้องโทษ ฮ่องเต้จึงระวังเขาขึ้นมา เหตุผลที่กำหนดกฎดังกล่าวในการสอบชิงตำแหน่งขุนนางก็เพื่อป้องกันมิให้ทายาทของผู้มีความผิด แสวงหาการแก้แค้นให้กับบรรพบุ
“เพราะพรสวรรค์นั้นหาได้ยาก อีกทั้งยังสะท้อนถึงน้ำพระทัยฝ่าบาทด้วยเพคะ” ฮ่องเต้พอใจกับคำเยินยอนี้นัก เขายกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยแล้วมองดูซูชิงอู่ด้วยท่าทางที่สงบมากขึ้น “แต่หากในภายภาคหน้าเขากระทำบางสิ่ง…” ซูชิงอู่เลิกคิ้วของเธอ “ชิงอู่มีความคิดเพคะ” ฮ่องเต้พยักหน้า “พูดมาสิ” “หาใครสักคนมารับรอง หากอวิ๋นเซียงหรูกระทำสิ่งใดก็ตามที่เป็นภัยต่อแคว้นแดนในภายภาคหน้า บุคคลนี้จะต้องรับผิดชอบทั้งหมดเพคะ”เมื่อฮ่องเต้ได้ยินคำพูดของซูชิงอู่ ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นทันที จากนั้นสายตาของเขาก็มองไปที่เย่เสวียนถิง มหาราชครูมู่หรงซึ่งอยู่ข้าง ๆ ยิ้มในใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นก้าวไปข้างหน้าทันทีและพูดว่า “สิ่งที่พระชายาตรัสนั้นถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ" อวิ๋นเซียงหรูมิได้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงใด ๆ ที่เกี่ยวกับการทรยศหักหลังหรือการทุจริตที่สมควรแก่การประหารชีวิต อาชญากรรมของตระกูลอวิ๋นนั้นเกิดขึ้นในรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ก่อน ดังนั้นแม้ว่าจะจับกุมเขาได้แต่ก็มิสามารถประหารเขาได้ อย่างมากที่สุด เขาอาจถูกทุบตีแล้วถู
แม้ว่าเรือจะล่องไปสู่นรก แต่เขาก็ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น มุมปากของเขากระตุกขึ้นราวกับว่านึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ “เสือขาวตัวนั้น... ข้าจะให้คนไปส่งมันให้พระชายา” ซูชิงอู่จึงจำได้ว่ามีเรื่องเช่นนี้ นางถามด้วยความประหลาดใจ “องค์ชายใหญ่มิกล้าเลี้ยงเสือหรือเพคะ?” เย่ชิวหมิงส่ายหัว “หาใช่เช่นนั้นไม่ เพียงแต่เสือนั้นดุร้ายมาก มันทำร้ายคนรับใช้ในจวนของข้าไปหลายคนแล้ว จะทำให้มันเชื่องนั้นยากนัก วันหนึ่งหากข้ากลับจวนมาข้าก็ไม่อยากตายในปากมันหรอกนะ” ซูชิงอู่เห็นว่าเรื่องนี้น่าอายจริง ๆ สำหรับเย่ชิวหมิง นางจึงพยักหน้าและพูดว่า “เช่นนั้นก็ส่งมาเถิดเพคะ” อวิ๋นเซียงหรูเห็นหลายคนคุยกันจบแล้วจึงเข้ามาถวายคำนับเย่ชิวหมิง “ขอบพระทัยองค์ชายใหญ่ที่ช่วยชีวิตกระหม่อมไว้พ่ะย่ะค่ะ” ใบหน้าของเย่ชิวหมิงดูไม่พอใจเล็กน้อยท้ายที่สุดเมื่อนึกถึงภายภาคหน้าที่ยังคงเกี่ยวพันกับคนผู้นี้ ชีวิตคงหาได้มีความสุขไม่แล้ว เมื่อเขากำลังจะเอ่ยปากก็พลันได้ยินเสียงซูชิงอู่หัวเราะและพูดว่า “อวิ๋นเซียงหรู ในเมื่อองค์ชายใหญ่ปกป้องท่าน เช่นนั้นจากนี้เป็นต้นไปท่านจงอยู่กับองค์ชายใหญ่เถิด…”
เสียงของเย่เสวียนถิงเป็นเหมือนฟางช่วยชีวิตสำหรับคนกลุ่มนี้ องครักษ์ที่กลัวจนปัสสาวะแทบราดก็รีบตะโกนขึ้น “ท่านอ๋องระวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ เจ้าเสือตัวนี้เพิ่งหลุดออกมาจากกรง!” เห็นได้ชัดว่าเสือขาวตัวนี้ก็มีความขุ่นเคืองเช่นกัน เมื่อได้ยินเสียงที่ค่อนข้างคุ้นเคย ดวงตาของเสือตัวนี้ก็หันขวับไปมองในทันที หลังจากที่ได้เห็นเย่เสวียนถิง มันก็แยกเขี้ยวและแสดงท่าทีดุร้าย กรงเล็บหน้ากระชับพื้นและโค้งตัว ท่าทางราวกับพร้อมจะโจมตีได้ทุกเมื่อ แต่ใบหน้าของเย่เสวียนถิงนั้นไร้ซึ่งการแสดงออกใด ไร้ความหวั่นกลัวใดบนใบหน้า หากเขาเคยตีมันได้แล้วครั้งหนึ่ง เขาก็ตีมันครั้งที่สองได้แม้ว่าจะหวาดกลัวอย่างยิ่ง แต่องครักษ์ก็ไม่กล้าที่จะถอย พวกเขารวมตัวกันรอบ ๆ เสือและตัวสั่นอย่างประหม่า ทันใดนั้น ซูชิงอู่ซึ่งมาช้าไปหนึ่งก้าว ก็รวบผมของนางเบา ๆ และเดินออกจากมุมนั้นด้วยรอยยิ้ม “ให้ข้าดูหน่อยเถิด เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?” เสียงนั้นเบา สุภาพเป็นมิตร อ่อนโยน และน่าฟังมาก อย่างไรก็ตาม เสียงดังกล่าวทำให้เสือขาวเงี่ยหูในทันที มันเงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวัง ม