แม้ว่าเรือจะล่องไปสู่นรก แต่เขาก็ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น มุมปากของเขากระตุกขึ้นราวกับว่านึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ “เสือขาวตัวนั้น... ข้าจะให้คนไปส่งมันให้พระชายา” ซูชิงอู่จึงจำได้ว่ามีเรื่องเช่นนี้ นางถามด้วยความประหลาดใจ “องค์ชายใหญ่มิกล้าเลี้ยงเสือหรือเพคะ?” เย่ชิวหมิงส่ายหัว “หาใช่เช่นนั้นไม่ เพียงแต่เสือนั้นดุร้ายมาก มันทำร้ายคนรับใช้ในจวนของข้าไปหลายคนแล้ว จะทำให้มันเชื่องนั้นยากนัก วันหนึ่งหากข้ากลับจวนมาข้าก็ไม่อยากตายในปากมันหรอกนะ” ซูชิงอู่เห็นว่าเรื่องนี้น่าอายจริง ๆ สำหรับเย่ชิวหมิง นางจึงพยักหน้าและพูดว่า “เช่นนั้นก็ส่งมาเถิดเพคะ” อวิ๋นเซียงหรูเห็นหลายคนคุยกันจบแล้วจึงเข้ามาถวายคำนับเย่ชิวหมิง “ขอบพระทัยองค์ชายใหญ่ที่ช่วยชีวิตกระหม่อมไว้พ่ะย่ะค่ะ” ใบหน้าของเย่ชิวหมิงดูไม่พอใจเล็กน้อยท้ายที่สุดเมื่อนึกถึงภายภาคหน้าที่ยังคงเกี่ยวพันกับคนผู้นี้ ชีวิตคงหาได้มีความสุขไม่แล้ว เมื่อเขากำลังจะเอ่ยปากก็พลันได้ยินเสียงซูชิงอู่หัวเราะและพูดว่า “อวิ๋นเซียงหรู ในเมื่อองค์ชายใหญ่ปกป้องท่าน เช่นนั้นจากนี้เป็นต้นไปท่านจงอยู่กับองค์ชายใหญ่เถิด…”
เสียงของเย่เสวียนถิงเป็นเหมือนฟางช่วยชีวิตสำหรับคนกลุ่มนี้ องครักษ์ที่กลัวจนปัสสาวะแทบราดก็รีบตะโกนขึ้น “ท่านอ๋องระวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ เจ้าเสือตัวนี้เพิ่งหลุดออกมาจากกรง!” เห็นได้ชัดว่าเสือขาวตัวนี้ก็มีความขุ่นเคืองเช่นกัน เมื่อได้ยินเสียงที่ค่อนข้างคุ้นเคย ดวงตาของเสือตัวนี้ก็หันขวับไปมองในทันที หลังจากที่ได้เห็นเย่เสวียนถิง มันก็แยกเขี้ยวและแสดงท่าทีดุร้าย กรงเล็บหน้ากระชับพื้นและโค้งตัว ท่าทางราวกับพร้อมจะโจมตีได้ทุกเมื่อ แต่ใบหน้าของเย่เสวียนถิงนั้นไร้ซึ่งการแสดงออกใด ไร้ความหวั่นกลัวใดบนใบหน้า หากเขาเคยตีมันได้แล้วครั้งหนึ่ง เขาก็ตีมันครั้งที่สองได้แม้ว่าจะหวาดกลัวอย่างยิ่ง แต่องครักษ์ก็ไม่กล้าที่จะถอย พวกเขารวมตัวกันรอบ ๆ เสือและตัวสั่นอย่างประหม่า ทันใดนั้น ซูชิงอู่ซึ่งมาช้าไปหนึ่งก้าว ก็รวบผมของนางเบา ๆ และเดินออกจากมุมนั้นด้วยรอยยิ้ม “ให้ข้าดูหน่อยเถิด เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?” เสียงนั้นเบา สุภาพเป็นมิตร อ่อนโยน และน่าฟังมาก อย่างไรก็ตาม เสียงดังกล่าวทำให้เสือขาวเงี่ยหูในทันที มันเงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวัง ม
นางยังคงลูบหัวเจ้าเสือขาวต้าไป๋นี้อยู่ ซูชิงอู่พึมพำกับตัวเองเบา ๆ “ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลาย ๆ คนชอบของที่ทำจากหนังเสือ เนื้อสัมผัสค่อนข้างดีจริง ๆ ..." ดวงตาของเสือขาวเบิกกว้าง และร่างกายของมันเริ่มสั่นสะท้าน เห็นได้ชัดว่าเสือขาวที่ฉลาดตัวนี้เข้าใจภาษามนุษย์ แต่... แม้ว่ามันจะไม่เข้าใจเลยก็ตาม แค่มองตาของซูชิงอู่ก็ทำให้หนังเสือของมันรู้สึกสะพรึงแล้ว... ทันใดนั้นมันก็แลบลิ้นออกมาอย่างเชื่อฟังและเลียมือของซู่ชิงอู่เบา ๆ อีกทั้งยังซ่อนหนามบนลิ้นของมันไว้ มิกล้าที่จะทำร้ายซูชิงอู่ ซูชิงอู่ยิ้มเล็กน้อยและแตะหัวเบา ๆ “เด็กดี ที่นี่คือจวนอ๋องเสวียน จงจำไว้ว่าอย่าทำร้ายผู้ใด ไม่เช่นนั้นข้าคงได้ลิ้มลองว่าเสือมีรสชาติเช่นไร”ต้าไป๋ตัวสั่นไปทั้งตัว จนกระทั่งซูชิงอู่เดินจากไปมันจึงลุกขึ้น จากนั้นคนรับใช้ก็พามันไปที่สวนหลังจวนพร้อมด้วยท่าทีที่ยังคงหวาดกลัวอยู่บ้าง ดวงตาของเย่เสวียนถิงลึกลง มืดมิดยิ่งกว่าค่ำคืนโดยรอบ เขารอจนทุกคนรอบตัวออกไป จากนั้นก็โอบเอวนางเข้ามาใกล้อีกครั้ง “ครั้นเจ้าออกมา เจ้าก็ทำให้เสือขาวกลัวเจ้าแล้ว” ซูชิงอู่อดมิได้ที่จะหั
ซูชิงอู่พยักหน้าและฟังขณะเดินอวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ในวันที่สามหลังจากที่หลิงซื่อถูกขังอยู่ในป่า บุรุษที่พบนางในคืนนั้นก็ถูกจับได้ ยามนั้นท่านอัครเสนาบดีบังเอิญเห็นหน้าของเขาและยืนยันว่าบุรุษผู้นั้นเป็นขันที... “ ซูชิงอู่เม้มริมฝีปาก “พูดต่อเถอะ…” “หลิงซื่ออธิบายว่า ผู้นั้นมีโอสถชูกำลังที่ทำให้ผู้มีวัยอาวุโสกลับมากระปรี้กระเปร่า... เอิ่ม... แข็งแรงขึ้นได้ นางมิอยากให้ผู้ใดรู้จึงไปพบคนผู้นั้นกลางดึก…” “เฮ้อ…”ซูชิงอู่มองไปที่ใบหน้าที่แดงระเรื่อของสาวน้อยตัวเล็กก็อดหัวเราะไม่ได้ อวิ๋นชิงที่ติดตามมาด้วยก้มหน้าลง เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้นางก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจมาก “อธิบายได้สมเหตุสมผลนัก มิน่าแปลกใจที่นายท่านซูจะเชื่อ” ไม่ช้าทั้งนายบ่าวทั้งสามคนก็มาถึงด้านนอกเรือนของหลิงซื่อ ซูชิงอู่ใจลอยเล็กน้อยเมื่อมองไปยังเรือนซึ่งมารดาของนางเคยอาศัยอยู่ จากนั้นนางก็เดินนำสาวใช้สองคนเข้าไป ในเวลานี้ก็ได้ยินเสียงมารดากับบุตรีดังออกมาจากห้อง “คนข้างนอกพร้อมหรือยัง?” “ท่านแม่อย่าได้กังวล เรามีกำลังคนมากพอแน่นอน…”“ไม่เป็นไร หากภายหลังนางยังกล้ามาท
จู่ๆ จิตใจของหลิงซื่อก็สงบลงและนางก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างเย็นชา “ที่นี่จวนอัครเสนาบดี เจ้าจะทำกระไรเราสองแม่ลูก หึ เจ้ากล้ากระนั้นรึ?” ซูชิงอู่เลิกคิ้วพลางยิ้ม ทันใดนั้นนางก็สะบัดนิ้วไปในทิศทางของซูเชียนหลิง เข็มเงินพุ่งเจาะเข้าไปในร่างกายของนาง ซูเชียนหลิงที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่นั้นหยุดขยับโดยพลัน นางกลอกตาและเปิดปาก แต่ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาแม้แต่คำเดียว ซูชิงอู่ลุกขึ้นเดินไปอยู่ตรงหน้าซูเชียนหลิง และทำท่าทางสั่งให้อวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงถอยออกไปเล็กน้อย จากนั้นจึงแบมือต่อหน้าหลิงซื่อ เผยให้เห็นหนอนตัวเล็ก ๆ อยู่ในมือนั้น หนอนตัวนี้มีขนาดประมาณข้อนิ้ว ลำตัวนุ่มของมันดิ้นไปมา มีขาอยู่ตามข้อตามลำตัว และมีปากกลมที่ดูน่าพิศวงนัก ดวงตาของซูเชียนหลิงและหลิงซื่อเบิกกว้างไปพร้อมกันทันใด หลิงซื่อถึงกับอุทาน “เจ้า... เจ้าจะทำกระไร นี่มันบ้าอะไร!"ซูชิงอู่บีบคางของซูเชียนหลิงด้วยมืออีกข้าง รอยยิ้มที่ชั่วร้ายฉายบนดวงตาของนาง เมื่อมองดูการแสดงออกที่หวาดหวั่นของซูเชียนหลิง ซูชิงอู่ก็นำหนอนกู่มาใกล้ริมฝีปากของนาง “หนอนชนิดนี้ชอบกินอวัยวะภายในของมนุษย์
“เหตุใดเจ้าจึงกลายเป็นเช่นนี้ได้? เมื่อก่อนเจ้าไม่ใช่คนแบบนี้เลย…”เมื่อมาถึงจุดนี้ หลิงซื่อก็พูดไม่ปะติดปะต่อกันอีกต่อไปซูชิงอู่ร้องอุทานด้วยความตื่นเต้น "นั่นก็เพราะว่า... ข้ารู้ความลับของเจ้าหมดแล้ว..."น้ำเสียงของนางลุ่มลึก ดวงตาเฉียบคมของนางจ้องมองหลิงซื่ออย่างทะลุปรุโปร่งทันใดนั้นหัวใจของหลิงซื่อก็เต้นแรง นางมองไปยังซูชิงอู่ด้วยดวงตาเบิกกว้าง "ไม่...เป็นไปไม่ได้ เจ้าโกหก!” ซูชิงอู่เคาะนิ้วของนางบนโต๊ะ จากนั้นก็พูดเน้นเสียงห้าคำออกมา "แคว้นอู๋ตะวันตก" ด้วยห้าคำนี้ก็ทำให้ใบหน้าของหลิงซื่อซีดเผือด ราวกับว่านางสูญเสียเลือดไปจนหมดแม้ว่านางจะไม่ตอบ แต่ซูชิงอู่ก็รู้คำตอบอยู่แล้ว ทั้งหลิงซื่อและซูเชียนหลิงล้วนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแคว้นอู๋ตะวันตกท้ายที่สุดแล้วอัครเสนาบดีซูก็เป็นขุนนางชั้นสูงและขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ข้างกายเขาจะรายล้อมไปด้วยสายลับของแคว้นศัครูสิ่งที่น่าหัวเราะก็คืออัครเสนาบดีซูปรนเปรอแม่ลูกที่ไร้ยางอายทั้งสองนี้ราวกับว่าพวกนางเป็นสิ่งมีค่า แม้กระทั่งมอบสถานะบุตรสาวที่ชอบด้วยกฎหมายให้ซูเชียนหลิงด้วย!ช่างน่าขันเสียจริง!“เจ้าพู
ทันใดนั้นดวงตาของอัครเสนาบดีซูก็มืดครึ้มลง เขามองไปที่เย่เสวียนถิงแล้วพูดว่า "ท่านอ๋อง โจรผู้นี้คงพูดเรื่องไร้สาระ เป็นไปได้เช่นไร?..."ก่อนที่เขาจะพูดจบ เย่เสวียนถิงก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างเย็นชา“เจ้าสิบเจ็ด พาคนผู้นั้นมาเผชิญหน้าเขา”"พ่ะย่ะค่ะ"ที่ด้านนอกประตูมีสตรีนางหนึ่งถูกผลักเข้ามาในประตู ใบหน้าของนางซีดขาวด้วยความหวาดกลัวนางคุกเข่าลงต่อหน้าเสนาบดีด้วยความตื่นตระหนก "ได้โปรดช่วยข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ!"อัครเสนาบดีซูเฝ้าดูฉากนี้อย่างเงียบ ๆโจรชี้ไปยังซุ่ยเสวี่ยแล้วพูดว่า “สาวใช้ที่ให้เงินข้าน้อยคือนาง นางบอกนางต้องการให้พวกข้าน้อยทำลายความบริสุทธิ์ของคุณหนูรอง ด้วยวิธีนี้ก็จะทำให้องค์ชายสามยุติการหมั้นหมายกับนางและให้คุณหนูรองแต่งงานกับชาวบ้านในชนบท!”ซุ่ยเสวี่ยรีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า "ท่านอ๋องเสวียน หม่อมฉันเพียงทำตามคำสั่งของฮูหยินเท่านั้น เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหม่อมฉันเพคะ โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเพคะ!"ก่อนที่อัครเสนาบดีซูจะถามคำถามใด ๆ องครักษ์เงาสิบเจ็ดก็หยิบถุงเงินออกมาหนึ่งถุง“หากท่านอัครเสนาบดีซูยังไม่เชื่อ ท่านก็ลองตรวจดูถุงเงินนั้นให้ละเอียดเถิด ถุงเงินใบ
หลิงซื่อหายใจไม่ออกเนื่องจากถูกเหยียบ สีหน้าของนางก็ทั้งหวาดกลัวและบิดเบี้ยวในขณะเดียวกันซูเชียนหลิงซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ถูกพิษแมลงที่อยู่ในร่างกายทรมานทั่วทั้งร่าง นางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ไม่กล้าแม้แต่จะช่วยมารดาของตนด้วยซ้ำร่างของนางสั่นเทิ้มอยู่ที่มุมห้องซูชิงอู่มองไปยังหลิงซื่อจากตำแหน่งที่ตนยืนเหนือร่างอีกฝ่าย“หากยังกล้าพูดคำนี้อีก ข้าจะถลกหนังเจ้า!”นางไม่ได้พูดเล่นหลิงซื่อรู้สึกหนาวสั่นในหัวใจ หนังศีรษะของนางชาหนึบ และความกลัวก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างนางควบคุมสีหน้าไม่พอใจของตนทันที ก่อนจะลอบมองไปข้างนอกโดยหวังว่าจะมีคนสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างปกติที่นี่และเข้ามาช่วยนาง…“แค่ก…ทุกสิ่งที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง ในตอนแรกอัครเสนาบดีซูเพียงสงสัยว่าแม่ของเจ้าลอบคบชู้ เขาจึงไปที่โรงเตี๊ยมเพื่อปลอบประโลมความเศร้าโศกภายในใจ เช่นนั้นเขาจึงได้พบกับข้า ข้าพูดปลอบโยนเขาในบางเวลา จนทั้งข้าและเขาต่างตกอยู่ในความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง เขามีความรับผิดชอบมาก หลายปีมานี้ในตระกูลมีเพียงแม่ของเจ้าเท่านั้น ทั้งที่เขาอายุยังน้อยและกล้าหาญ เขาก็เป็นขุนนางตำแหน่งสูงได้แล้ว ข้ามักจะคิดบางอย่าง…."นางหา