เสียงของเย่เสวียนถิงเป็นเหมือนฟางช่วยชีวิตสำหรับคนกลุ่มนี้ องครักษ์ที่กลัวจนปัสสาวะแทบราดก็รีบตะโกนขึ้น “ท่านอ๋องระวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ เจ้าเสือตัวนี้เพิ่งหลุดออกมาจากกรง!” เห็นได้ชัดว่าเสือขาวตัวนี้ก็มีความขุ่นเคืองเช่นกัน เมื่อได้ยินเสียงที่ค่อนข้างคุ้นเคย ดวงตาของเสือตัวนี้ก็หันขวับไปมองในทันที หลังจากที่ได้เห็นเย่เสวียนถิง มันก็แยกเขี้ยวและแสดงท่าทีดุร้าย กรงเล็บหน้ากระชับพื้นและโค้งตัว ท่าทางราวกับพร้อมจะโจมตีได้ทุกเมื่อ แต่ใบหน้าของเย่เสวียนถิงนั้นไร้ซึ่งการแสดงออกใด ไร้ความหวั่นกลัวใดบนใบหน้า หากเขาเคยตีมันได้แล้วครั้งหนึ่ง เขาก็ตีมันครั้งที่สองได้แม้ว่าจะหวาดกลัวอย่างยิ่ง แต่องครักษ์ก็ไม่กล้าที่จะถอย พวกเขารวมตัวกันรอบ ๆ เสือและตัวสั่นอย่างประหม่า ทันใดนั้น ซูชิงอู่ซึ่งมาช้าไปหนึ่งก้าว ก็รวบผมของนางเบา ๆ และเดินออกจากมุมนั้นด้วยรอยยิ้ม “ให้ข้าดูหน่อยเถิด เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?” เสียงนั้นเบา สุภาพเป็นมิตร อ่อนโยน และน่าฟังมาก อย่างไรก็ตาม เสียงดังกล่าวทำให้เสือขาวเงี่ยหูในทันที มันเงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวัง ม
นางยังคงลูบหัวเจ้าเสือขาวต้าไป๋นี้อยู่ ซูชิงอู่พึมพำกับตัวเองเบา ๆ “ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลาย ๆ คนชอบของที่ทำจากหนังเสือ เนื้อสัมผัสค่อนข้างดีจริง ๆ ..." ดวงตาของเสือขาวเบิกกว้าง และร่างกายของมันเริ่มสั่นสะท้าน เห็นได้ชัดว่าเสือขาวที่ฉลาดตัวนี้เข้าใจภาษามนุษย์ แต่... แม้ว่ามันจะไม่เข้าใจเลยก็ตาม แค่มองตาของซูชิงอู่ก็ทำให้หนังเสือของมันรู้สึกสะพรึงแล้ว... ทันใดนั้นมันก็แลบลิ้นออกมาอย่างเชื่อฟังและเลียมือของซู่ชิงอู่เบา ๆ อีกทั้งยังซ่อนหนามบนลิ้นของมันไว้ มิกล้าที่จะทำร้ายซูชิงอู่ ซูชิงอู่ยิ้มเล็กน้อยและแตะหัวเบา ๆ “เด็กดี ที่นี่คือจวนอ๋องเสวียน จงจำไว้ว่าอย่าทำร้ายผู้ใด ไม่เช่นนั้นข้าคงได้ลิ้มลองว่าเสือมีรสชาติเช่นไร”ต้าไป๋ตัวสั่นไปทั้งตัว จนกระทั่งซูชิงอู่เดินจากไปมันจึงลุกขึ้น จากนั้นคนรับใช้ก็พามันไปที่สวนหลังจวนพร้อมด้วยท่าทีที่ยังคงหวาดกลัวอยู่บ้าง ดวงตาของเย่เสวียนถิงลึกลง มืดมิดยิ่งกว่าค่ำคืนโดยรอบ เขารอจนทุกคนรอบตัวออกไป จากนั้นก็โอบเอวนางเข้ามาใกล้อีกครั้ง “ครั้นเจ้าออกมา เจ้าก็ทำให้เสือขาวกลัวเจ้าแล้ว” ซูชิงอู่อดมิได้ที่จะหั
ซูชิงอู่พยักหน้าและฟังขณะเดินอวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ในวันที่สามหลังจากที่หลิงซื่อถูกขังอยู่ในป่า บุรุษที่พบนางในคืนนั้นก็ถูกจับได้ ยามนั้นท่านอัครเสนาบดีบังเอิญเห็นหน้าของเขาและยืนยันว่าบุรุษผู้นั้นเป็นขันที... “ ซูชิงอู่เม้มริมฝีปาก “พูดต่อเถอะ…” “หลิงซื่ออธิบายว่า ผู้นั้นมีโอสถชูกำลังที่ทำให้ผู้มีวัยอาวุโสกลับมากระปรี้กระเปร่า... เอิ่ม... แข็งแรงขึ้นได้ นางมิอยากให้ผู้ใดรู้จึงไปพบคนผู้นั้นกลางดึก…” “เฮ้อ…”ซูชิงอู่มองไปที่ใบหน้าที่แดงระเรื่อของสาวน้อยตัวเล็กก็อดหัวเราะไม่ได้ อวิ๋นชิงที่ติดตามมาด้วยก้มหน้าลง เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้นางก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจมาก “อธิบายได้สมเหตุสมผลนัก มิน่าแปลกใจที่นายท่านซูจะเชื่อ” ไม่ช้าทั้งนายบ่าวทั้งสามคนก็มาถึงด้านนอกเรือนของหลิงซื่อ ซูชิงอู่ใจลอยเล็กน้อยเมื่อมองไปยังเรือนซึ่งมารดาของนางเคยอาศัยอยู่ จากนั้นนางก็เดินนำสาวใช้สองคนเข้าไป ในเวลานี้ก็ได้ยินเสียงมารดากับบุตรีดังออกมาจากห้อง “คนข้างนอกพร้อมหรือยัง?” “ท่านแม่อย่าได้กังวล เรามีกำลังคนมากพอแน่นอน…”“ไม่เป็นไร หากภายหลังนางยังกล้ามาท
จู่ๆ จิตใจของหลิงซื่อก็สงบลงและนางก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างเย็นชา “ที่นี่จวนอัครเสนาบดี เจ้าจะทำกระไรเราสองแม่ลูก หึ เจ้ากล้ากระนั้นรึ?” ซูชิงอู่เลิกคิ้วพลางยิ้ม ทันใดนั้นนางก็สะบัดนิ้วไปในทิศทางของซูเชียนหลิง เข็มเงินพุ่งเจาะเข้าไปในร่างกายของนาง ซูเชียนหลิงที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่นั้นหยุดขยับโดยพลัน นางกลอกตาและเปิดปาก แต่ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาแม้แต่คำเดียว ซูชิงอู่ลุกขึ้นเดินไปอยู่ตรงหน้าซูเชียนหลิง และทำท่าทางสั่งให้อวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงถอยออกไปเล็กน้อย จากนั้นจึงแบมือต่อหน้าหลิงซื่อ เผยให้เห็นหนอนตัวเล็ก ๆ อยู่ในมือนั้น หนอนตัวนี้มีขนาดประมาณข้อนิ้ว ลำตัวนุ่มของมันดิ้นไปมา มีขาอยู่ตามข้อตามลำตัว และมีปากกลมที่ดูน่าพิศวงนัก ดวงตาของซูเชียนหลิงและหลิงซื่อเบิกกว้างไปพร้อมกันทันใด หลิงซื่อถึงกับอุทาน “เจ้า... เจ้าจะทำกระไร นี่มันบ้าอะไร!"ซูชิงอู่บีบคางของซูเชียนหลิงด้วยมืออีกข้าง รอยยิ้มที่ชั่วร้ายฉายบนดวงตาของนาง เมื่อมองดูการแสดงออกที่หวาดหวั่นของซูเชียนหลิง ซูชิงอู่ก็นำหนอนกู่มาใกล้ริมฝีปากของนาง “หนอนชนิดนี้ชอบกินอวัยวะภายในของมนุษย์
“เหตุใดเจ้าจึงกลายเป็นเช่นนี้ได้? เมื่อก่อนเจ้าไม่ใช่คนแบบนี้เลย…”เมื่อมาถึงจุดนี้ หลิงซื่อก็พูดไม่ปะติดปะต่อกันอีกต่อไปซูชิงอู่ร้องอุทานด้วยความตื่นเต้น "นั่นก็เพราะว่า... ข้ารู้ความลับของเจ้าหมดแล้ว..."น้ำเสียงของนางลุ่มลึก ดวงตาเฉียบคมของนางจ้องมองหลิงซื่ออย่างทะลุปรุโปร่งทันใดนั้นหัวใจของหลิงซื่อก็เต้นแรง นางมองไปยังซูชิงอู่ด้วยดวงตาเบิกกว้าง "ไม่...เป็นไปไม่ได้ เจ้าโกหก!” ซูชิงอู่เคาะนิ้วของนางบนโต๊ะ จากนั้นก็พูดเน้นเสียงห้าคำออกมา "แคว้นอู๋ตะวันตก" ด้วยห้าคำนี้ก็ทำให้ใบหน้าของหลิงซื่อซีดเผือด ราวกับว่านางสูญเสียเลือดไปจนหมดแม้ว่านางจะไม่ตอบ แต่ซูชิงอู่ก็รู้คำตอบอยู่แล้ว ทั้งหลิงซื่อและซูเชียนหลิงล้วนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแคว้นอู๋ตะวันตกท้ายที่สุดแล้วอัครเสนาบดีซูก็เป็นขุนนางชั้นสูงและขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ข้างกายเขาจะรายล้อมไปด้วยสายลับของแคว้นศัครูสิ่งที่น่าหัวเราะก็คืออัครเสนาบดีซูปรนเปรอแม่ลูกที่ไร้ยางอายทั้งสองนี้ราวกับว่าพวกนางเป็นสิ่งมีค่า แม้กระทั่งมอบสถานะบุตรสาวที่ชอบด้วยกฎหมายให้ซูเชียนหลิงด้วย!ช่างน่าขันเสียจริง!“เจ้าพู
ทันใดนั้นดวงตาของอัครเสนาบดีซูก็มืดครึ้มลง เขามองไปที่เย่เสวียนถิงแล้วพูดว่า "ท่านอ๋อง โจรผู้นี้คงพูดเรื่องไร้สาระ เป็นไปได้เช่นไร?..."ก่อนที่เขาจะพูดจบ เย่เสวียนถิงก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างเย็นชา“เจ้าสิบเจ็ด พาคนผู้นั้นมาเผชิญหน้าเขา”"พ่ะย่ะค่ะ"ที่ด้านนอกประตูมีสตรีนางหนึ่งถูกผลักเข้ามาในประตู ใบหน้าของนางซีดขาวด้วยความหวาดกลัวนางคุกเข่าลงต่อหน้าเสนาบดีด้วยความตื่นตระหนก "ได้โปรดช่วยข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ!"อัครเสนาบดีซูเฝ้าดูฉากนี้อย่างเงียบ ๆโจรชี้ไปยังซุ่ยเสวี่ยแล้วพูดว่า “สาวใช้ที่ให้เงินข้าน้อยคือนาง นางบอกนางต้องการให้พวกข้าน้อยทำลายความบริสุทธิ์ของคุณหนูรอง ด้วยวิธีนี้ก็จะทำให้องค์ชายสามยุติการหมั้นหมายกับนางและให้คุณหนูรองแต่งงานกับชาวบ้านในชนบท!”ซุ่ยเสวี่ยรีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า "ท่านอ๋องเสวียน หม่อมฉันเพียงทำตามคำสั่งของฮูหยินเท่านั้น เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหม่อมฉันเพคะ โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเพคะ!"ก่อนที่อัครเสนาบดีซูจะถามคำถามใด ๆ องครักษ์เงาสิบเจ็ดก็หยิบถุงเงินออกมาหนึ่งถุง“หากท่านอัครเสนาบดีซูยังไม่เชื่อ ท่านก็ลองตรวจดูถุงเงินนั้นให้ละเอียดเถิด ถุงเงินใบ
หลิงซื่อหายใจไม่ออกเนื่องจากถูกเหยียบ สีหน้าของนางก็ทั้งหวาดกลัวและบิดเบี้ยวในขณะเดียวกันซูเชียนหลิงซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ถูกพิษแมลงที่อยู่ในร่างกายทรมานทั่วทั้งร่าง นางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ไม่กล้าแม้แต่จะช่วยมารดาของตนด้วยซ้ำร่างของนางสั่นเทิ้มอยู่ที่มุมห้องซูชิงอู่มองไปยังหลิงซื่อจากตำแหน่งที่ตนยืนเหนือร่างอีกฝ่าย“หากยังกล้าพูดคำนี้อีก ข้าจะถลกหนังเจ้า!”นางไม่ได้พูดเล่นหลิงซื่อรู้สึกหนาวสั่นในหัวใจ หนังศีรษะของนางชาหนึบ และความกลัวก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างนางควบคุมสีหน้าไม่พอใจของตนทันที ก่อนจะลอบมองไปข้างนอกโดยหวังว่าจะมีคนสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างปกติที่นี่และเข้ามาช่วยนาง…“แค่ก…ทุกสิ่งที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง ในตอนแรกอัครเสนาบดีซูเพียงสงสัยว่าแม่ของเจ้าลอบคบชู้ เขาจึงไปที่โรงเตี๊ยมเพื่อปลอบประโลมความเศร้าโศกภายในใจ เช่นนั้นเขาจึงได้พบกับข้า ข้าพูดปลอบโยนเขาในบางเวลา จนทั้งข้าและเขาต่างตกอยู่ในความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง เขามีความรับผิดชอบมาก หลายปีมานี้ในตระกูลมีเพียงแม่ของเจ้าเท่านั้น ทั้งที่เขาอายุยังน้อยและกล้าหาญ เขาก็เป็นขุนนางตำแหน่งสูงได้แล้ว ข้ามักจะคิดบางอย่าง…."นางหา
ซูชิงอู่นั้นเหลือบมองอวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิง จากนั้นทั้งสองก็เคลื่อนตัวออกไปให้พ้นทาง ปล่อยให้หลิงซื่อซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดวิ่งออกจากห้องไปหลิงซื่อวิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนใจว่าตนจะรู้สึกเจ็บปวดเพียงใด เมื่อเห็นอัครเสนาบดีซูจากมุมทางเดิน นางก็รีบกระโจนเข้าสู่อ้อมแขนของเขาทันที“ท่านอัครเสนาบดี โปรดช่วยข้าด้วย ซูชิงอู่กำลังจะฆ่าข้า ท่านดูใบหน้าข้าสิ!”อัครเสนาบดีซูตกใจ เมื่อจู่ ๆ สตรีนางหนึ่งก็วิ่งเข้ามาโดยที่ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยเลือดเขาผลักหลิงซื่อลงไปที่พื้นโดยไม่รู้ตัว หลิงซื่อกุมใบหน้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ แต่กลับเห็นสายตาที่จ้องมองอย่างรังเกียจจากอัครเสนาบดีซูแทนนางตกตะลึงในทันที เดิมที่นางคิดว่าหากนางวิ่งออกจากห้องมาได้แล้ว อัครเสนาบดีซูจะต้องขอให้ใครสักคนช่วยนางจัดการกับซูชิงอู่อย่างแน่นอน แต่ทว่าสถานการณ์กลับตาลปัตรเกินความคาดหมายของนางเล็กน้อยเสียงของหลิงซื่อสั่นเทาและนางก็เอ่ยขึ้นว่า "ท่านอัครเสนาบดีซู..."อัครเสนาบดีซูมองหลิงซื่อด้วยสีหน้าไม่พอใจนักเย่เสวียนถิงพร้อมกับคนของเขาเดินเข้าไปที่ลานจวน เขาจ้องมองไปยังใบหน้าของหลิงซื่อด้วย
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้