อวิ๋นเซียงหรูพยายามเหยียดร่างลุกขึ้นพลางมองเย่เสวียนถิงด้วยความประหลาดใจ เขาคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าตนซึ่งเคยเป็นเบี้ยไร้ค่าที่ถูกใช้แล้วทิ้ง บัดนี้กลับมีคนพูดเพื่อปกป้องตน ซูชิงอู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเย่เสวียนถิงยิ้มตาหยีราวกับจันทร์เสี้ยว และขยิบตาให้อวิ๋นเซียงหรูอย่างเป็นนัย ความกระสับกระส่ายแต่เดิมของอวิ๋นเซียงหรูก็พลันสงบลง ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด แต่เขารู้สึกว่าจะต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับตนเป็นแน่... มหาราชครูมู่หรงหัวเราะด้วยความโกรธ แววตาของเขาซ่อนแววดุร้าย แต่ภายนอกยังคงยิ้มเหมือนสุนัขจิ้งจอก “หากท่านอ๋องทรงมีราชโองการ กระหม่อมก็ควรเชื่อฟัง ทว่า... เรื่องนี้ได้รายงานไปยังฮ่องเต้แล้ว หากประสงค์ผ่อนปรน คงต้องรายงานต่อฝ่าบาทโดยตรง” เย่เสวียนถิงพยักหน้าโดยไม่ลังเล “เช่นนั้นจะเสียเวลาอยู่ที่นี่เพื่ออะไร?” งานเลี้ยงบัณฑิตจอหงวนอันดับหนึ่งจบลงอย่างรวดเร็ว ฝูงชนที่เหลือก็ออกไปทันทีมหาราชครูมู่หรงจัดหารถม้าและให้คนเฝ้าอวิ๋นเซียงหรูไว้ จากนั้นจึงพาท่านอ๋องเสวียนและพระชายาเข้าไปในวังหลวง เย่เสวียนถิงกุมมือของซูชิงอู่ไว้แน่น และกระซิบข้างหูนาง
บัดนี้ฮ่องเต้พิโรธอยู่แล้วยิ่งมาขอความเมตตาก็ยิ่งพิโรธมากขึ้นไปอีก หากจัดการได้ไม่ดี เย่เสวียนถิงเองก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย หลังจากพูดคำเหล่านี้แล้ว มหาราชครูมู่หรงก็ขอให้คนพาอวิ๋นเซียงหรูเข้ามายืนข้างตน เย่เสวียนถิงพาซูชิงอู่เข้าไปในพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน แล้วจึงถวายคำนับต่อฮ่องเต้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “เสด็จพ่อ ตัวลูกมาที่นี่คราวนี้เพื่อบัณฑิตอันดับหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้นั่งบนเก้าอี้พลางนวดหว่างคิ้ว “หากเจ้ามาเพื่อขอความเมตตาให้อวิ๋นเซียงหรู เช่นนั้นก็ไม่จำเป็น ตัวข้าจะมิยอมให้บุคคลอันตรายเยี่ยงนี้มาดำรงตำแหน่งสำคัญเด็ดขาด” ทันทีที่อวิ๋นเซียงหรูเข้าสู่ตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นขุนนางชั้นเอกะดับห้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความโปรดปรานของฮ่องเต้ที่มีต่อเขาอย่างชัดเจน ยามนั้นฮ่องเต้โปรดปรานเขายิ่งนัก ทว่าทันทีเมื่อรู้ว่าเขาเป็นบุตรชายขุนนางต้องโทษ ฮ่องเต้จึงระวังเขาขึ้นมา เหตุผลที่กำหนดกฎดังกล่าวในการสอบชิงตำแหน่งขุนนางก็เพื่อป้องกันมิให้ทายาทของผู้มีความผิด แสวงหาการแก้แค้นให้กับบรรพบุ
“เพราะพรสวรรค์นั้นหาได้ยาก อีกทั้งยังสะท้อนถึงน้ำพระทัยฝ่าบาทด้วยเพคะ” ฮ่องเต้พอใจกับคำเยินยอนี้นัก เขายกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยแล้วมองดูซูชิงอู่ด้วยท่าทางที่สงบมากขึ้น “แต่หากในภายภาคหน้าเขากระทำบางสิ่ง…” ซูชิงอู่เลิกคิ้วของเธอ “ชิงอู่มีความคิดเพคะ” ฮ่องเต้พยักหน้า “พูดมาสิ” “หาใครสักคนมารับรอง หากอวิ๋นเซียงหรูกระทำสิ่งใดก็ตามที่เป็นภัยต่อแคว้นแดนในภายภาคหน้า บุคคลนี้จะต้องรับผิดชอบทั้งหมดเพคะ”เมื่อฮ่องเต้ได้ยินคำพูดของซูชิงอู่ ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นทันที จากนั้นสายตาของเขาก็มองไปที่เย่เสวียนถิง มหาราชครูมู่หรงซึ่งอยู่ข้าง ๆ ยิ้มในใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นก้าวไปข้างหน้าทันทีและพูดว่า “สิ่งที่พระชายาตรัสนั้นถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ" อวิ๋นเซียงหรูมิได้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงใด ๆ ที่เกี่ยวกับการทรยศหักหลังหรือการทุจริตที่สมควรแก่การประหารชีวิต อาชญากรรมของตระกูลอวิ๋นนั้นเกิดขึ้นในรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ก่อน ดังนั้นแม้ว่าจะจับกุมเขาได้แต่ก็มิสามารถประหารเขาได้ อย่างมากที่สุด เขาอาจถูกทุบตีแล้วถู
แม้ว่าเรือจะล่องไปสู่นรก แต่เขาก็ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น มุมปากของเขากระตุกขึ้นราวกับว่านึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ “เสือขาวตัวนั้น... ข้าจะให้คนไปส่งมันให้พระชายา” ซูชิงอู่จึงจำได้ว่ามีเรื่องเช่นนี้ นางถามด้วยความประหลาดใจ “องค์ชายใหญ่มิกล้าเลี้ยงเสือหรือเพคะ?” เย่ชิวหมิงส่ายหัว “หาใช่เช่นนั้นไม่ เพียงแต่เสือนั้นดุร้ายมาก มันทำร้ายคนรับใช้ในจวนของข้าไปหลายคนแล้ว จะทำให้มันเชื่องนั้นยากนัก วันหนึ่งหากข้ากลับจวนมาข้าก็ไม่อยากตายในปากมันหรอกนะ” ซูชิงอู่เห็นว่าเรื่องนี้น่าอายจริง ๆ สำหรับเย่ชิวหมิง นางจึงพยักหน้าและพูดว่า “เช่นนั้นก็ส่งมาเถิดเพคะ” อวิ๋นเซียงหรูเห็นหลายคนคุยกันจบแล้วจึงเข้ามาถวายคำนับเย่ชิวหมิง “ขอบพระทัยองค์ชายใหญ่ที่ช่วยชีวิตกระหม่อมไว้พ่ะย่ะค่ะ” ใบหน้าของเย่ชิวหมิงดูไม่พอใจเล็กน้อยท้ายที่สุดเมื่อนึกถึงภายภาคหน้าที่ยังคงเกี่ยวพันกับคนผู้นี้ ชีวิตคงหาได้มีความสุขไม่แล้ว เมื่อเขากำลังจะเอ่ยปากก็พลันได้ยินเสียงซูชิงอู่หัวเราะและพูดว่า “อวิ๋นเซียงหรู ในเมื่อองค์ชายใหญ่ปกป้องท่าน เช่นนั้นจากนี้เป็นต้นไปท่านจงอยู่กับองค์ชายใหญ่เถิด…”
เสียงของเย่เสวียนถิงเป็นเหมือนฟางช่วยชีวิตสำหรับคนกลุ่มนี้ องครักษ์ที่กลัวจนปัสสาวะแทบราดก็รีบตะโกนขึ้น “ท่านอ๋องระวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ เจ้าเสือตัวนี้เพิ่งหลุดออกมาจากกรง!” เห็นได้ชัดว่าเสือขาวตัวนี้ก็มีความขุ่นเคืองเช่นกัน เมื่อได้ยินเสียงที่ค่อนข้างคุ้นเคย ดวงตาของเสือตัวนี้ก็หันขวับไปมองในทันที หลังจากที่ได้เห็นเย่เสวียนถิง มันก็แยกเขี้ยวและแสดงท่าทีดุร้าย กรงเล็บหน้ากระชับพื้นและโค้งตัว ท่าทางราวกับพร้อมจะโจมตีได้ทุกเมื่อ แต่ใบหน้าของเย่เสวียนถิงนั้นไร้ซึ่งการแสดงออกใด ไร้ความหวั่นกลัวใดบนใบหน้า หากเขาเคยตีมันได้แล้วครั้งหนึ่ง เขาก็ตีมันครั้งที่สองได้แม้ว่าจะหวาดกลัวอย่างยิ่ง แต่องครักษ์ก็ไม่กล้าที่จะถอย พวกเขารวมตัวกันรอบ ๆ เสือและตัวสั่นอย่างประหม่า ทันใดนั้น ซูชิงอู่ซึ่งมาช้าไปหนึ่งก้าว ก็รวบผมของนางเบา ๆ และเดินออกจากมุมนั้นด้วยรอยยิ้ม “ให้ข้าดูหน่อยเถิด เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?” เสียงนั้นเบา สุภาพเป็นมิตร อ่อนโยน และน่าฟังมาก อย่างไรก็ตาม เสียงดังกล่าวทำให้เสือขาวเงี่ยหูในทันที มันเงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวัง ม
นางยังคงลูบหัวเจ้าเสือขาวต้าไป๋นี้อยู่ ซูชิงอู่พึมพำกับตัวเองเบา ๆ “ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลาย ๆ คนชอบของที่ทำจากหนังเสือ เนื้อสัมผัสค่อนข้างดีจริง ๆ ..." ดวงตาของเสือขาวเบิกกว้าง และร่างกายของมันเริ่มสั่นสะท้าน เห็นได้ชัดว่าเสือขาวที่ฉลาดตัวนี้เข้าใจภาษามนุษย์ แต่... แม้ว่ามันจะไม่เข้าใจเลยก็ตาม แค่มองตาของซูชิงอู่ก็ทำให้หนังเสือของมันรู้สึกสะพรึงแล้ว... ทันใดนั้นมันก็แลบลิ้นออกมาอย่างเชื่อฟังและเลียมือของซู่ชิงอู่เบา ๆ อีกทั้งยังซ่อนหนามบนลิ้นของมันไว้ มิกล้าที่จะทำร้ายซูชิงอู่ ซูชิงอู่ยิ้มเล็กน้อยและแตะหัวเบา ๆ “เด็กดี ที่นี่คือจวนอ๋องเสวียน จงจำไว้ว่าอย่าทำร้ายผู้ใด ไม่เช่นนั้นข้าคงได้ลิ้มลองว่าเสือมีรสชาติเช่นไร”ต้าไป๋ตัวสั่นไปทั้งตัว จนกระทั่งซูชิงอู่เดินจากไปมันจึงลุกขึ้น จากนั้นคนรับใช้ก็พามันไปที่สวนหลังจวนพร้อมด้วยท่าทีที่ยังคงหวาดกลัวอยู่บ้าง ดวงตาของเย่เสวียนถิงลึกลง มืดมิดยิ่งกว่าค่ำคืนโดยรอบ เขารอจนทุกคนรอบตัวออกไป จากนั้นก็โอบเอวนางเข้ามาใกล้อีกครั้ง “ครั้นเจ้าออกมา เจ้าก็ทำให้เสือขาวกลัวเจ้าแล้ว” ซูชิงอู่อดมิได้ที่จะหั
ซูชิงอู่พยักหน้าและฟังขณะเดินอวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ในวันที่สามหลังจากที่หลิงซื่อถูกขังอยู่ในป่า บุรุษที่พบนางในคืนนั้นก็ถูกจับได้ ยามนั้นท่านอัครเสนาบดีบังเอิญเห็นหน้าของเขาและยืนยันว่าบุรุษผู้นั้นเป็นขันที... “ ซูชิงอู่เม้มริมฝีปาก “พูดต่อเถอะ…” “หลิงซื่ออธิบายว่า ผู้นั้นมีโอสถชูกำลังที่ทำให้ผู้มีวัยอาวุโสกลับมากระปรี้กระเปร่า... เอิ่ม... แข็งแรงขึ้นได้ นางมิอยากให้ผู้ใดรู้จึงไปพบคนผู้นั้นกลางดึก…” “เฮ้อ…”ซูชิงอู่มองไปที่ใบหน้าที่แดงระเรื่อของสาวน้อยตัวเล็กก็อดหัวเราะไม่ได้ อวิ๋นชิงที่ติดตามมาด้วยก้มหน้าลง เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้นางก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจมาก “อธิบายได้สมเหตุสมผลนัก มิน่าแปลกใจที่นายท่านซูจะเชื่อ” ไม่ช้าทั้งนายบ่าวทั้งสามคนก็มาถึงด้านนอกเรือนของหลิงซื่อ ซูชิงอู่ใจลอยเล็กน้อยเมื่อมองไปยังเรือนซึ่งมารดาของนางเคยอาศัยอยู่ จากนั้นนางก็เดินนำสาวใช้สองคนเข้าไป ในเวลานี้ก็ได้ยินเสียงมารดากับบุตรีดังออกมาจากห้อง “คนข้างนอกพร้อมหรือยัง?” “ท่านแม่อย่าได้กังวล เรามีกำลังคนมากพอแน่นอน…”“ไม่เป็นไร หากภายหลังนางยังกล้ามาท
จู่ๆ จิตใจของหลิงซื่อก็สงบลงและนางก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างเย็นชา “ที่นี่จวนอัครเสนาบดี เจ้าจะทำกระไรเราสองแม่ลูก หึ เจ้ากล้ากระนั้นรึ?” ซูชิงอู่เลิกคิ้วพลางยิ้ม ทันใดนั้นนางก็สะบัดนิ้วไปในทิศทางของซูเชียนหลิง เข็มเงินพุ่งเจาะเข้าไปในร่างกายของนาง ซูเชียนหลิงที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่นั้นหยุดขยับโดยพลัน นางกลอกตาและเปิดปาก แต่ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาแม้แต่คำเดียว ซูชิงอู่ลุกขึ้นเดินไปอยู่ตรงหน้าซูเชียนหลิง และทำท่าทางสั่งให้อวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงถอยออกไปเล็กน้อย จากนั้นจึงแบมือต่อหน้าหลิงซื่อ เผยให้เห็นหนอนตัวเล็ก ๆ อยู่ในมือนั้น หนอนตัวนี้มีขนาดประมาณข้อนิ้ว ลำตัวนุ่มของมันดิ้นไปมา มีขาอยู่ตามข้อตามลำตัว และมีปากกลมที่ดูน่าพิศวงนัก ดวงตาของซูเชียนหลิงและหลิงซื่อเบิกกว้างไปพร้อมกันทันใด หลิงซื่อถึงกับอุทาน “เจ้า... เจ้าจะทำกระไร นี่มันบ้าอะไร!"ซูชิงอู่บีบคางของซูเชียนหลิงด้วยมืออีกข้าง รอยยิ้มที่ชั่วร้ายฉายบนดวงตาของนาง เมื่อมองดูการแสดงออกที่หวาดหวั่นของซูเชียนหลิง ซูชิงอู่ก็นำหนอนกู่มาใกล้ริมฝีปากของนาง “หนอนชนิดนี้ชอบกินอวัยวะภายในของมนุษย์