นางเดินออกมาจากหลังโต๊ะ ดวงตาของนางกวาดมองเซียวเฝิงและคนอื่น ๆ “ตัวข้าผู้เป็นพระชายาทำเรื่องเช่นนี้ หาได้บีบบังคับให้พวกท่านชดใช้สิ่งใดไม่ ในเมื่อทุกอย่างกระจ่างแล้ววันนี้ เช่นนั้นตัวข้าก็ขอมิปิดบังสิ่งใดแล้ว หากพวกท่านประสงค์รับใช้ท่านอ๋องก็จงอยู่ต่อ หากไม่แล้วนั้น พวกท่านก็สามารถออกไปจากที่นี่ได้ทันที ตัวข้ามิบังคับพวกท่าน” สวีชิงโม่ไม่คาดคิดว่าซูชิงอู่จะเอ่ยคำพูดชัดเจนชี้ขาดเช่นนี้แม้ว่าเขาจะเพิ่งรู้ว่าความช่วยเหลือที่เขาได้รับนั้นมาจากการวางแผนของผู้อื่น ทว่าเป็นเรื่องจริงที่ซูชิงอู่ช่วยชีวิตมารดาของตนไว้ หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง สวีชิงโม่ก็ยิ้มอย่างขมขื่น “สิ่งที่พระชายาตรัส ความมีน้ำใจของท่านต่อท่านแม่ของกระหม่อมนั้นแท้จริงยิ่งกว่าทองคำ แม้กระหม่อมรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มิใช่เรื่องบังเอิญ แต่ดูเหมือนว่ากระหม่อมก็หาได้มีสิทธิ์ปฏิเสธในยามนี้” ซูชิงอู่ยกยิ้มริมฝีปาก “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ตัวข้าเชื่อในตัวคุณชายสวี” นางหันหน้าไปมองเซียวเฝิงซึ่งกำลังปกปิดบาดแผลบนแขนของตน จากนั้นก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยน “เช่นนั้นจอมพลเซียว ท่านว่าอย่างไรเล่า?”เ
หากผู้อื่นพูดแบบนี้คงเป็นความเย่อหยิ่งโดยแท้ แต่ข้อเท็จจริงก็เห็นกันอยู่ตรงหน้าแล้ว แม้แต่หมอหลวงยังบอกว่าแขนนี้เกินเยียวยาจะรักษาแล้ว แต่นางกลับสามารถรักษาได้อย่างง่ายดาย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อในความสามารถของนางแล้ว เซียวเฝิงน้ำตาเอ่อคลอด้วยความซาบซึ้ง พลันคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “พระชายาทรงมีน้ำพระทัยยิ่ง เซียวเฝิงผู้นี้หาได้มีสิ่งใดจะตอบแทนไม่…” เย่เสวียนถิงขัดจังหวะคำที่เขาจะพูดต่อขึ้นมาทันใด “เจ้ายังคิดอยากจะอุทิศตัวเจ้าให้นางหรือไรเล่า?” แก้มของเซียวเฝิงพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงหลังจากเย่เสวียนถิงเอ่ยเสียงดุ และชายร่างสูงก็พบว่าตนพูดอะไรออกไปค่อนข้างไม่เข้าท่า “ไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้น” เขาจะมีความกล้าอาจเอื้อมพระชายาได้เยี่ยงไรกันเล่า? ซูชิงอู่คาดมิถึงเลยว่าเย่เสวียนถิงจะหึงหวงและริษยาจนแทบจะควบคุมมิได้ นางจำมิได้ว่า ในชาติที่แล้วนั้นเย่เสวียนถิงหึงหวงมากถึงเพียงนี้เลยหรือ?นางเก็บของของตนแล้วมายืนข้าง ๆ เย่เสวียนถิงก่อนพูดกับอีกสามคน “ในเมื่อทุกอย่างชัดเจนแล้ว เช่นนั้นพวกท่านกลับไปเถิด หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น ตัวข้าจะแจ้งให้พวกท
เย่อวิ๋นถูยิ้มเย็นเยียบแล้วชกเตียงอย่างแรง “ไม่น่าแปลกใจที่ท่านตาให้ข้าทุ่มเทความพยายามอย่างหนักในการสรรหาผู้มีความสามารถ เขาคงเดาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่าการสอบครั้งนี้จะพิเศษมาก หากสามารถดึงตัวขุนนางใหม่ทั้งหมดนี้มาอยู่ในมือได้จะได้รับความช่วยเหลือมากขึ้นอย่างแน่นอน!” ทว่าแผนของเขาล้มเหลว นอกเหนือจากบัณฑิตอันดับหนึ่งจอหงวนทั้งบุ๋นและบู๊ และสวีชิงโม่ที่ค่อนข้างโดดเด่นแล้ว ส่วนที่เหลือยังได้รับการแต่งตั้งอย่างไม่เป็นทางการจากฮ่องเต้ อาจกล่าวได้ว่าเย่อวิ๋นถูใช้อำนาจไปมากเพื่อให้ผู้คนทำสิ่งต่าง ๆ แต่สุดท้ายกลับไร้ประโยชน์ หลังจากได้ยินสิ่งนี้ เย่อวิ๋นถูก็ตกตะลึง เขาโมโหมาก “แล้วข่าวดีเล่า?”เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ ไอ้คนโง่เขลาพวกนี้ กล้ามารุกรานเขา เห็นทีจะต้องได้เจอกับผลที่มา! “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ ข่าวดีก็คือหวางอวิ๋นถูกจับแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เย่อวิ๋นถูกลับมาคึกคักทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “จัดการมันผู้นั้นให้หนัก แล้วถามมันผู้นั้นว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังที่สั่งให้มันทำร้ายตัวข้าอ๋องผู้นี้...” ……ทางด้านจวนอ๋องเสวียนนั
นางอยากจะหัวเราะจริง ๆ แต่ก็กลั้นเอาไว้ “ท่านพ่อเรียกข้ามาที่นี่เพื่อช่วยนางอธิบายเรื่องนี้ต่อหน้าข้าเช่นนั้นหรือ?” อัครเสนาบดีซูขมวดคิ้วและถอนหายใจ “พ่อรู้ว่าเจ้ามีเรื่องไม่พอน้าของเจ้า แต่วันพรุ่งพ่อยังอยากเชิญเจ้าไปพูดคุยกันที่จวน บางทีเราอาจจะจัดการเรื่องเข้าใจผิดบางอย่างได้” อัครเสนาบดีซูคิดว่าความสัมพันธ์ของเขากับซูชิงอู่ผ่อนคลายลงเมื่อไม่นานมานี้แล้ว นอกจากนี้ เขายังไม่ถือสาเรื่องที่นางเอาเงินทั้งหมดจากโรงยาและจวนอัครเสนาบดีไปจนทำให้จวนอัครเสนาบดีต้องประสบปัญหาทางการเงิน ซูชิงอู่ไม่มีเหตุผลที่จะทะเลาะกับเขาแล้วซูชิงอู่โกรธมากจนเกือบจะโพล่งออกมาเพื่อโต้กลับ แต่นางก็กลืนคำพูดลงไป นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสมองของอัครเสนาบดีซูทำงานอย่างไร บางทีอาจมีการแบ่งแยกระหว่างความฉลาดทางอารมณ์และและความฉลาดทางปัญญากระมัง เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้อาวุโสในศาล เขารู้กลอุบายทั้งหมดในแวดวงราชการ ไฉนจึงมองหลิงซื่อมิออกเล่า? นางหัวเราะเบา ๆ ด้วยความสงสัยเล็กน้อย “หลิงซื่อบอกสิ่งใดกับท่านพ่อเล่า?” อัครเสนาบดีซูตอบว่า “ผู้ที่หลบหนีไปถูกจับแล้ว ข้าส่งคนไปต
แม้ว่าอวิ๋นเซียงหรูจะรู้มานานแล้วว่าสิ่งต่าง ๆ จะไม่ราบรื่นนัก แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วเพียงนี้ เขาเคยเล่นงานองค์ชายสาม ส่งผลให้องค์ชายสามยังคงพักฟื้นอยู่ในจวน ตระกูลมู่หรงไม่มีทางปล่อยเขาไปง่าย ๆ แน่! เขามิได้ต่อต้านแต่อย่างใด เพียงแต่ปล่อยให้คนเหล่านั้นมัดมือของตน มหาราชครูมู่หลงเดินเข้ามาหาเขาพลางหรี่ตาลง ใบหน้าที่มีผิวสีเข้มและค่อนข้างผอมของเขาเผยสีหน้าเยาะเย้ย “บุตรชายของขุนนางต้องโทษกลายเป็นบัณฑิตอันดับหนึ่ง เป็นเรื่องน่าเสียดายจริง ๆ ที่เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ฮ่องเต้กริ้วมากหลังจากทราบเรื่องนี้ ขุนนางระดับสูงทุกคนรวมถึงองค๋ชายใหญ่ต่างโกรธเคือง อวิ๋นเซียงหรู เป็นเจ้ามิรู้ผู้ใดเป็นนาย คราวนี้หาได้มีผู้ใดจะช่วยเจ้าได้เป็นแน่!” เมื่ออวิ๋นเซียงหรูได้ยินคำพูดเหล่านี้ ใบหน้าของเขาก็ซีดลงตระกูลอวิ๋นยังเป็นตระกูลชนชั้นสูงเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วและเป็นสหายกับครอบครัวของตระกูลฟางในอดีต ในฐานะตระกูลบัณฑิต คนในตระกูลรุ่นสู่รุ่นล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของราชสำนัก ช่างน่าเศร้าที่เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเวลานั้น ท่านปู่ทำผิดพลาดครั้งใหญ่และถูกตัด
อวิ๋นเซียงหรูพยายามเหยียดร่างลุกขึ้นพลางมองเย่เสวียนถิงด้วยความประหลาดใจ เขาคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าตนซึ่งเคยเป็นเบี้ยไร้ค่าที่ถูกใช้แล้วทิ้ง บัดนี้กลับมีคนพูดเพื่อปกป้องตน ซูชิงอู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเย่เสวียนถิงยิ้มตาหยีราวกับจันทร์เสี้ยว และขยิบตาให้อวิ๋นเซียงหรูอย่างเป็นนัย ความกระสับกระส่ายแต่เดิมของอวิ๋นเซียงหรูก็พลันสงบลง ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด แต่เขารู้สึกว่าจะต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับตนเป็นแน่... มหาราชครูมู่หรงหัวเราะด้วยความโกรธ แววตาของเขาซ่อนแววดุร้าย แต่ภายนอกยังคงยิ้มเหมือนสุนัขจิ้งจอก “หากท่านอ๋องทรงมีราชโองการ กระหม่อมก็ควรเชื่อฟัง ทว่า... เรื่องนี้ได้รายงานไปยังฮ่องเต้แล้ว หากประสงค์ผ่อนปรน คงต้องรายงานต่อฝ่าบาทโดยตรง” เย่เสวียนถิงพยักหน้าโดยไม่ลังเล “เช่นนั้นจะเสียเวลาอยู่ที่นี่เพื่ออะไร?” งานเลี้ยงบัณฑิตจอหงวนอันดับหนึ่งจบลงอย่างรวดเร็ว ฝูงชนที่เหลือก็ออกไปทันทีมหาราชครูมู่หรงจัดหารถม้าและให้คนเฝ้าอวิ๋นเซียงหรูไว้ จากนั้นจึงพาท่านอ๋องเสวียนและพระชายาเข้าไปในวังหลวง เย่เสวียนถิงกุมมือของซูชิงอู่ไว้แน่น และกระซิบข้างหูนาง
บัดนี้ฮ่องเต้พิโรธอยู่แล้วยิ่งมาขอความเมตตาก็ยิ่งพิโรธมากขึ้นไปอีก หากจัดการได้ไม่ดี เย่เสวียนถิงเองก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย หลังจากพูดคำเหล่านี้แล้ว มหาราชครูมู่หรงก็ขอให้คนพาอวิ๋นเซียงหรูเข้ามายืนข้างตน เย่เสวียนถิงพาซูชิงอู่เข้าไปในพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน แล้วจึงถวายคำนับต่อฮ่องเต้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “เสด็จพ่อ ตัวลูกมาที่นี่คราวนี้เพื่อบัณฑิตอันดับหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้นั่งบนเก้าอี้พลางนวดหว่างคิ้ว “หากเจ้ามาเพื่อขอความเมตตาให้อวิ๋นเซียงหรู เช่นนั้นก็ไม่จำเป็น ตัวข้าจะมิยอมให้บุคคลอันตรายเยี่ยงนี้มาดำรงตำแหน่งสำคัญเด็ดขาด” ทันทีที่อวิ๋นเซียงหรูเข้าสู่ตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นขุนนางชั้นเอกะดับห้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความโปรดปรานของฮ่องเต้ที่มีต่อเขาอย่างชัดเจน ยามนั้นฮ่องเต้โปรดปรานเขายิ่งนัก ทว่าทันทีเมื่อรู้ว่าเขาเป็นบุตรชายขุนนางต้องโทษ ฮ่องเต้จึงระวังเขาขึ้นมา เหตุผลที่กำหนดกฎดังกล่าวในการสอบชิงตำแหน่งขุนนางก็เพื่อป้องกันมิให้ทายาทของผู้มีความผิด แสวงหาการแก้แค้นให้กับบรรพบุ
“เพราะพรสวรรค์นั้นหาได้ยาก อีกทั้งยังสะท้อนถึงน้ำพระทัยฝ่าบาทด้วยเพคะ” ฮ่องเต้พอใจกับคำเยินยอนี้นัก เขายกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยแล้วมองดูซูชิงอู่ด้วยท่าทางที่สงบมากขึ้น “แต่หากในภายภาคหน้าเขากระทำบางสิ่ง…” ซูชิงอู่เลิกคิ้วของเธอ “ชิงอู่มีความคิดเพคะ” ฮ่องเต้พยักหน้า “พูดมาสิ” “หาใครสักคนมารับรอง หากอวิ๋นเซียงหรูกระทำสิ่งใดก็ตามที่เป็นภัยต่อแคว้นแดนในภายภาคหน้า บุคคลนี้จะต้องรับผิดชอบทั้งหมดเพคะ”เมื่อฮ่องเต้ได้ยินคำพูดของซูชิงอู่ ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นทันที จากนั้นสายตาของเขาก็มองไปที่เย่เสวียนถิง มหาราชครูมู่หรงซึ่งอยู่ข้าง ๆ ยิ้มในใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นก้าวไปข้างหน้าทันทีและพูดว่า “สิ่งที่พระชายาตรัสนั้นถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ" อวิ๋นเซียงหรูมิได้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงใด ๆ ที่เกี่ยวกับการทรยศหักหลังหรือการทุจริตที่สมควรแก่การประหารชีวิต อาชญากรรมของตระกูลอวิ๋นนั้นเกิดขึ้นในรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ก่อน ดังนั้นแม้ว่าจะจับกุมเขาได้แต่ก็มิสามารถประหารเขาได้ อย่างมากที่สุด เขาอาจถูกทุบตีแล้วถู
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้