ความเจ็บปวดแสนสาหัสทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแรง อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าบนเวที เขาใช้มือซ้ายกดตำแหน่งที่บาดเจ็บ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมอง 'สหาย' ที่ถูกเตะออกจากเวทีอยากไม่อยากเชื่อสายตาทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบสงัดไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันสีหน้าเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้ที่ถูกเขาเตะออกไป เขาถ่มน้ำลายออกมาเป็นฟองเลือด ก่อนจะยิ้มขึ้นอย่างมีความสุข“ฮ่าฮ่า เซียวเฝิง ตอนนี้มือของเจ้าไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงแล้ว ข้าอยากจะเห็นเหลือเกินว่าเจ้าจะยังคงเป็นผู้ชนะศิลปะการต่อสู้ในอันดับต้น ๆ ได้เช่นไร? เหตุใดเจ้าถึงเข้าร่วมการทดสอบศิลปะการต่อสู้นี้ หากไม่มีเจ้า เช่นนั้นจะต้องเป็นข้าที่เป็นผู้ชนะศิลปะการต่อสู้แน่ !"เมื่อผู้คุมสอบได้ยินเสียง เขาก็กลับมามีสติอีกครั้งก่อนจะพูดขึ้นว่า "รีบตามหมอหลวงเร็วเข้า!"มีหมอหลวงอยู่ใกล้ ๆ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการทดสอบศิลปะการต่อสู้เพราะถึงยังไงเมื่อมีการต่อสู้เกิดขึ้นย่อมมีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอนใบหน้าของเซียวเฝิงซีดเผือดตอนนี้เขาขยับมือไม่ได้เลย ทั้งแขนของเขาก็เจ็บปวดมากจนเหงื่อผุดพรายขึ้นบนหน้า
"ข้าเข้าใจแล้ว"ผู้คุมสอบจัดเสื้อผ้าของเขาแล้วเอ่ยเสียงดัง "จอหงวน*ฝ่ายบู๊ เซียวเฝิง!" เซียวเฝิงไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์จะพลิกผันเช่นนี้แก้มของเขาเปลี่ยนเป็นแดง และเปลวไฟก็ลุกไหม้ในดวงตาของเขาเซียวเฝิงคุกเข่าลงแล้วปิดบาดแผลของเขาไว้ ก่อนจะก้มหัวให้เย่เสวียนถิงซึ่งอยู่เหนือเขา"ขอบคุณใต้เท้ามาก!"ผู้คุมสอบเดินลงมาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า "เซียวเฝิง เจ้าควรขอบคุณท่านอ๋องเสวียนมากกว่านี้ หากไม่ใช่เพราะเขาพูดออกมา เจ้าที่สูญเสียแขนไปข้างหนึ่งแล้ว คงไม่สามารถเป็นผู้ชนะศิลปะอันดับหนึ่งในศิลปะการต่อสู้ได้ ต่อไปเจ้าต้องเข้าร่วมการทดสอบในพระราชวัง เตรียมตัวให้พร้อมเถอะ”"ขอรับ ขอบคุณ ขอบคุณท่านอ๋องเสวียน ท่านอ๋องมีเมตตาและคุณธรรมอันสูงส่งอันยิ่งใหญ่ ข้าน้อยผู้นี้จะจดจำขึ้นใจ!"ผู้คุมสอบตบไหล่เซียวเฝิง ก่อนจะหันหลังกลับและจากไปซูชิงอู่แอบเกาฝ่ามือของเย่เสวียนถิง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ท่านอ๋องทำได้ดีมาก"เย่เสวียนถิงเหลือบมองไปด้านข้างของเซียวเฝิงแล้วพูดว่า "เพื่อเห็นแก่หน้าของเจ้า อาอู่"ซูชิงอู่ยิ้มเบา ๆ แล้วเดินลงจากเวทีพร้อมกับเย่เสวียนถิงเซียวเฝิงตามมาทันที เขาอดทนต่อความเจ็บปวดที่
แม้ว่าจะยังไม่ถึงวันประกาศอันดับจริง แต่ผู้สมัครสามอันดับแรกก็ได้รับการพิจารณาแล้วทันทีที่เห็นนาง สวีชิงโม่ก็เข้ามาและทำความเคารพทันที“พระชายา!”ซูชิงอู่เลิกคิ้วแล้วถามว่า “ท่านมาทำอันใดที่นี่?”สวีชิงโม่ไม่กล้ามองตรงไปที่ใบหน้าของซูชิงอู่และพูดต่อ “ข้าได้คะแนนสามอันดับแรกในการสอบครั้งใหญ่ ข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อขอบคุณท่านโดยเฉพาะ”ซูชิงอู่พยักหน้าและพูดโดยมิแปลกใจ “เช่นนั้น ข้าก็ขอแสดงความยินดีกับคุณชายสวีล่วงหน้า แต่ข้ายังมีสิ่งที่ต้องจัดการ คุณชายสวีทำตามที่ต้องการเถิด""รอสักครู่!"สวีชิงโม่ขอให้เด็กรับใช้ที่อยู่ข้างหลังเขาเข้ามาทันที เขานำถาดมาวางตรงหน้าซูชิงอู่“นี่เป็นการแสดงความเคารพเล็ก ๆ น้อย ๆ ของข้า โปรดฮูหยินรับไว้ด้วยเถิด!”ซูชิงอู่มองดูและเห็นว่ามีเงินอย่างน้อยหนึ่งร้อยตำลึงอยู่บนถาดหลังจากการสอบชิงตำแหน่งขุนนาง ผู้ที่ติดอันดับสามอันดับแรกจะสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วในอาชีพการงานอย่างแน่นอน เพื่อการสานสัมพันธ์แล้วนั้นเหล่าบรรดาผู้ที่ได้ข่าวล่วงหน้าในยามนี้จะเตรียมของกำนัลล่วงหน้าเพื่อเยี่ยมเยียนบัณฑิตอันดับที่หนึ่งหรือบัณฑิตอันดับที่สองสวีชิงโ
ซูชิงอู่คาดไม่ถึงว่ารถม้าจะกลับมาเร็วเพียงนี้อวิ๋นเซียงหรูและสวีชิงโม่ต่างก็เป็นคนฉลาด แต่เพียงแวบเดียวก็ทำให้หัวใจของพวกเขาเต้นระรัวจะเป็นเรื่องบังเอิญได้อย่างไรที่ไม่นานมานี้ทั้งสามคนจะถูกกระสอบคลุมหัวในเวลาเดียวกัน? เซียวเฝิงไม่รู้เพราะเหตุใด ดวงตาของเขาเบิกกว้าง และรู้สึกประหลาดใจมาก “ไฉนท่านทั้งสองจึงมาที่นี่?” เขาช่างไร้เดียงสานักดวงตาของอวิ๋นเซียงหรูจ้องไปที่ซูชิงอู่ และมีร่องรอยของความอับอายที่ไม่สามารถปกปิดได้บนใบหน้าของเขาเห็นได้ชัดว่านิสัยของเขาที่ชอบทำให้ผู้อื่นกระอักกระอ่วนใจกลับมาแล้ว สวีชิงโม่ยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น จิตใจของเขายุ่งเหยิงไปหมด หลังจากที่รู้ความจริง ความรู้สึกที่อยากตอบแทนความเมตตานั้นก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดและดูไม่สบายใจ อวิ๋นเซียงหรูหลีกทาง “เชิญเข้ามาก่อนแล้วค่อยคุยกันเถิด” ซูชิงอู่กระแอมและพูดว่า “คุณชายอวิ๋นพูดถูกแล้ว เข้ามานั่งก่อนเถิด”เย่เสวียนถิงก้าวเข้าไปในห้องและเดินตามซู่ชิงอู่อย่างใกล้ชิด โดยกลัวว่าคนเหล่านี้จะทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อซูชิงอู่ เย่เสวียนถิงจัดการพาองค์รักษ์เงาลำดับที่สิบเจ็ดมาด้ว
นางเดินออกมาจากหลังโต๊ะ ดวงตาของนางกวาดมองเซียวเฝิงและคนอื่น ๆ “ตัวข้าผู้เป็นพระชายาทำเรื่องเช่นนี้ หาได้บีบบังคับให้พวกท่านชดใช้สิ่งใดไม่ ในเมื่อทุกอย่างกระจ่างแล้ววันนี้ เช่นนั้นตัวข้าก็ขอมิปิดบังสิ่งใดแล้ว หากพวกท่านประสงค์รับใช้ท่านอ๋องก็จงอยู่ต่อ หากไม่แล้วนั้น พวกท่านก็สามารถออกไปจากที่นี่ได้ทันที ตัวข้ามิบังคับพวกท่าน” สวีชิงโม่ไม่คาดคิดว่าซูชิงอู่จะเอ่ยคำพูดชัดเจนชี้ขาดเช่นนี้แม้ว่าเขาจะเพิ่งรู้ว่าความช่วยเหลือที่เขาได้รับนั้นมาจากการวางแผนของผู้อื่น ทว่าเป็นเรื่องจริงที่ซูชิงอู่ช่วยชีวิตมารดาของตนไว้ หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง สวีชิงโม่ก็ยิ้มอย่างขมขื่น “สิ่งที่พระชายาตรัส ความมีน้ำใจของท่านต่อท่านแม่ของกระหม่อมนั้นแท้จริงยิ่งกว่าทองคำ แม้กระหม่อมรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มิใช่เรื่องบังเอิญ แต่ดูเหมือนว่ากระหม่อมก็หาได้มีสิทธิ์ปฏิเสธในยามนี้” ซูชิงอู่ยกยิ้มริมฝีปาก “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ตัวข้าเชื่อในตัวคุณชายสวี” นางหันหน้าไปมองเซียวเฝิงซึ่งกำลังปกปิดบาดแผลบนแขนของตน จากนั้นก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยน “เช่นนั้นจอมพลเซียว ท่านว่าอย่างไรเล่า?”เ
หากผู้อื่นพูดแบบนี้คงเป็นความเย่อหยิ่งโดยแท้ แต่ข้อเท็จจริงก็เห็นกันอยู่ตรงหน้าแล้ว แม้แต่หมอหลวงยังบอกว่าแขนนี้เกินเยียวยาจะรักษาแล้ว แต่นางกลับสามารถรักษาได้อย่างง่ายดาย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อในความสามารถของนางแล้ว เซียวเฝิงน้ำตาเอ่อคลอด้วยความซาบซึ้ง พลันคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “พระชายาทรงมีน้ำพระทัยยิ่ง เซียวเฝิงผู้นี้หาได้มีสิ่งใดจะตอบแทนไม่…” เย่เสวียนถิงขัดจังหวะคำที่เขาจะพูดต่อขึ้นมาทันใด “เจ้ายังคิดอยากจะอุทิศตัวเจ้าให้นางหรือไรเล่า?” แก้มของเซียวเฝิงพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงหลังจากเย่เสวียนถิงเอ่ยเสียงดุ และชายร่างสูงก็พบว่าตนพูดอะไรออกไปค่อนข้างไม่เข้าท่า “ไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้น” เขาจะมีความกล้าอาจเอื้อมพระชายาได้เยี่ยงไรกันเล่า? ซูชิงอู่คาดมิถึงเลยว่าเย่เสวียนถิงจะหึงหวงและริษยาจนแทบจะควบคุมมิได้ นางจำมิได้ว่า ในชาติที่แล้วนั้นเย่เสวียนถิงหึงหวงมากถึงเพียงนี้เลยหรือ?นางเก็บของของตนแล้วมายืนข้าง ๆ เย่เสวียนถิงก่อนพูดกับอีกสามคน “ในเมื่อทุกอย่างชัดเจนแล้ว เช่นนั้นพวกท่านกลับไปเถิด หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น ตัวข้าจะแจ้งให้พวกท
เย่อวิ๋นถูยิ้มเย็นเยียบแล้วชกเตียงอย่างแรง “ไม่น่าแปลกใจที่ท่านตาให้ข้าทุ่มเทความพยายามอย่างหนักในการสรรหาผู้มีความสามารถ เขาคงเดาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่าการสอบครั้งนี้จะพิเศษมาก หากสามารถดึงตัวขุนนางใหม่ทั้งหมดนี้มาอยู่ในมือได้จะได้รับความช่วยเหลือมากขึ้นอย่างแน่นอน!” ทว่าแผนของเขาล้มเหลว นอกเหนือจากบัณฑิตอันดับหนึ่งจอหงวนทั้งบุ๋นและบู๊ และสวีชิงโม่ที่ค่อนข้างโดดเด่นแล้ว ส่วนที่เหลือยังได้รับการแต่งตั้งอย่างไม่เป็นทางการจากฮ่องเต้ อาจกล่าวได้ว่าเย่อวิ๋นถูใช้อำนาจไปมากเพื่อให้ผู้คนทำสิ่งต่าง ๆ แต่สุดท้ายกลับไร้ประโยชน์ หลังจากได้ยินสิ่งนี้ เย่อวิ๋นถูก็ตกตะลึง เขาโมโหมาก “แล้วข่าวดีเล่า?”เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ ไอ้คนโง่เขลาพวกนี้ กล้ามารุกรานเขา เห็นทีจะต้องได้เจอกับผลที่มา! “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ ข่าวดีก็คือหวางอวิ๋นถูกจับแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เย่อวิ๋นถูกลับมาคึกคักทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “จัดการมันผู้นั้นให้หนัก แล้วถามมันผู้นั้นว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังที่สั่งให้มันทำร้ายตัวข้าอ๋องผู้นี้...” ……ทางด้านจวนอ๋องเสวียนนั
นางอยากจะหัวเราะจริง ๆ แต่ก็กลั้นเอาไว้ “ท่านพ่อเรียกข้ามาที่นี่เพื่อช่วยนางอธิบายเรื่องนี้ต่อหน้าข้าเช่นนั้นหรือ?” อัครเสนาบดีซูขมวดคิ้วและถอนหายใจ “พ่อรู้ว่าเจ้ามีเรื่องไม่พอน้าของเจ้า แต่วันพรุ่งพ่อยังอยากเชิญเจ้าไปพูดคุยกันที่จวน บางทีเราอาจจะจัดการเรื่องเข้าใจผิดบางอย่างได้” อัครเสนาบดีซูคิดว่าความสัมพันธ์ของเขากับซูชิงอู่ผ่อนคลายลงเมื่อไม่นานมานี้แล้ว นอกจากนี้ เขายังไม่ถือสาเรื่องที่นางเอาเงินทั้งหมดจากโรงยาและจวนอัครเสนาบดีไปจนทำให้จวนอัครเสนาบดีต้องประสบปัญหาทางการเงิน ซูชิงอู่ไม่มีเหตุผลที่จะทะเลาะกับเขาแล้วซูชิงอู่โกรธมากจนเกือบจะโพล่งออกมาเพื่อโต้กลับ แต่นางก็กลืนคำพูดลงไป นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสมองของอัครเสนาบดีซูทำงานอย่างไร บางทีอาจมีการแบ่งแยกระหว่างความฉลาดทางอารมณ์และและความฉลาดทางปัญญากระมัง เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้อาวุโสในศาล เขารู้กลอุบายทั้งหมดในแวดวงราชการ ไฉนจึงมองหลิงซื่อมิออกเล่า? นางหัวเราะเบา ๆ ด้วยความสงสัยเล็กน้อย “หลิงซื่อบอกสิ่งใดกับท่านพ่อเล่า?” อัครเสนาบดีซูตอบว่า “ผู้ที่หลบหนีไปถูกจับแล้ว ข้าส่งคนไปต
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้