เขาไร้ซึ่งหนทางจะห้ามเลือดที่ไหลออกจากบาดแผลนั้นได้นี่มันเกิดอะไรขึ้น?หมอหม่าไม่รู้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับร่างกายของเขา ทันใดนั้นเขาก็มองไปยังเจียวกุ้ยเฟยและฮ่องเต้ เขาคุกเข่าลงต่อหน้าทั้งสอง ก่อนจะก้มหัวลงอย่างสิ้นหวังด้วยใจปรารถนาที่จะมีชีวิตรอด"ได้โปรดฝ่าบาทและกุ้ยเฟย ทรงช่วยชีวิต… ช่วยชีวิตกระหม่อมด้วย!"เลือดสีแดงสดเจิ่งนองไปทั่วพื้นทำให้ผู้ที่ได้เห็นต่างพากันรู้สึกสะอิดสะเอียนฮ่องเต้ถึงกับบีบจมูกไม่อาจทนมองดูภาพตรงหน้านี้ได้เหล่าข้าราชบริพารต่างรีบเข้ามาขวางทางเดินของหมอเทวดาหม่าทันที เพื่อยับยั้งไม่ให้เขาสร้างมลทินใดเปรอะเปื้อนต่ออาภรณ์ของฮ่องเต้ใบหน้าของเจียวกุ้ยเฟยบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด เมื่อมองดูผู้ที่ได้ชื่อว่าหมอเทวดา ซึ่งขณะนี้เขาทั้งไร้ประโยชน์ไม่อาจแม้แต่จะหยุดเลือดจากบาดแผลของตัวเองได้ นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "หมอเทวดาหม่าเจ้าเป็นหมอ แต่ไม่อาจรักษาบาดแผลเล็ก ๆ นี้ได้กระนั้นหรือ?”หมอหม่ามีท่าทีกระอักกระอ่วนเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเขาจึงไม่อาจห้ามเลือดจากบาดแผลนั้นได้แม้จะใช้วิธีต่าง ๆ มากมายก็ตาม ซูชิงอู่เย้ยหยัน นางพูดอย่างเคร่งขรึม "ใ
ใบหน้าของเจียวกุ้ยเฟยบิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัดนางโกรธมากเสียจนหน้าเขียวฮ่องเต้พยักหน้าเบา ๆ "ลากหมอเทวดาจอมปลอมผู้นั้นออกไป สอบสวนเขาอย่างเข้มงวด ไม่ว่าใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชักจูงเจียวกุ้ยเฟยจะไม่ได้รับการยกเว้นเด็ดขาด!"“น้อมรับราชโองการ!”ราชองครักษ์เมื่อได้รับคำสั่งก็นำตัวหมอหม่าออกไปทันทีหากไม่มีใครห้ามเลือดให้ได้ หมอหม่าอาจเสียเลือดจนตายในไม่ช้าทว่าเวลานี้เขาได้ก่อความผิดร้ายแรงขึ้นแล้วไม่ว่าใครก็ไม่กล้ายื่นมือช่วยเหลือเขาได้ใบหน้าของฮ่องเต้มืดมนและน่าสะพรึงกลัว แต่เมื่อเขามองไปยังซูชิงอู่กับเย่เสวียนถิง การแสดงออกของเขาก็กลับมาอ่อนโยนเล็กน้อยเขาลดสายตาลง ก่อนจะมองไปที่ขาของเย่เสวียนถิง จากนั้นเอื้อมมือไปตบไหล่ของเขา“ลูกเอ๋ย พ่อไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าจะได้รับบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้แม้ว่าเจ้าจะได้รับบาดเจ็บ ก็อย่าได้เป็นกังวล ข้าจะคิดหาทุกวิถีทางเพื่อรักษาเจ้าอย่างแน่นอน”เย่เสวียนถิงพูดอย่างสุขุม "ขอบพระทัยเสด็จพ่อสำหรับความห่วงใยของพระองค์ที่มีต่อกระหม่อม"ฮ่องเต้ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก จากนั้นเขาจึงหันหลังกลับออกจากห้องโถงด้านข้างไปหลังจากที่ฮ่องเต้จากไปพร้
เย่เสวียนถิงลูบศีรษะของซูชิงอู่ใบหน้าอันเย็นชาและงดงามของบุรุษผู้นั้นดูอ่อนโยนอย่างยิ่งดวงตาหงส์ของเย่เสวียนถิงหรี่ลงเล็กน้อย เขาเอ่ยขึ้นเบา ๆ ว่า "ข้าเชื่อเจ้า"ซูชิงอู่สุขใจเป็นอย่างมากท้ายที่สุดแล้ว เมื่อนางแนะนำให้เขาใช้พิษผึ้งเพื่อทำให้ขาของตนดูเหมือนบาดเจ็บสาหัส อีกฝ่ายก็ทำตามโดยไม่ลังเลทันทีพวกเขาทั้งสองเพิ่งพักผ่อนในห้องโถงด้านข้างได้เพียงชั่วครู่ ทันใดนั้นกลับมีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตูนางกำนัลอาวุโสที่อยู่เคียงข้างซูเฟยรายงานที่นอกประตูว่า “ซูเฟยเชิญท่านทั้งสองไปที่ตำหนักจิ้งอี๋เพคะ”ตำหนักจิ้งอี๋เงียบมาก ซูเฟยกำลังนั่งรอทั้งสองคนอยู่บนที่นั่งหลัก เมื่อเห็นซูชิงอู่พยุงเย่เสวียนถิงเข้ามาทางประตู นางก็ลุกขึ้นก้าวเดินมายังด้านข้างของเย่เสวียนถิงทันที“เสวียนถิง อาการบาดเจ็บที่ขาเป็นเช่นไรบ้าง? เมื่อครู่ขันทีข้างกายฝ่าบาทส่งตราประทับหงส์มาให้แม่ อีกทั้งยังกล่าวว่าแม่ควรทำหน้าที่เป็นตัวแทนของหกตำหนักฝ่ายใน…”เห็นได้ชัดว่าซูเฟย ไม่ค่อยมีความสุขมากนักนางไม่ชอบการแย่งชิงอำนาจในวัง โชคดีที่ไม่มีใครยุ่งกับนาง แต่ จู่ ๆ การมีอำนาจในมือก็ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
ทันใดนั้น ซูชิงอู่ก็พูดแทรกขึ้นมาว่า "สิ่งที่คนภายนอกพูดกัน ล้วนแต่กล่าวว่าเป็นลูกในไส้หรือไม่ใช่ ล้วนต่างกัน!"ซูเฟยถูกขัดจังหวะ นางจ้องมองซูชิงอู่ด้วยใบหน้าซีดเซียว "เจ้าหมายความว่าอย่างไร?"ซูชิงอู่ตบหลังมือของเย่เสวียนถิงเบา ๆ จากนั้นจึงก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับแสดงสีหน้าเย้ยหยันเพื่อจัดการกับคนของนาง เช่นนั้นจะต้องโจมตีจุดอ่อนของนางเสียก่อน“หม่อมฉันพูดว่า ‘ซูเฟย’ ไม่ใช่มารดาโดยสายเลือดของท่านอ๋องจริง ๆ พระนางไม่เคยคำนึงถึงท่านอ๋องเลย ไม่อาจดูแลและมอบความรักให้ท่านอ๋อง ไม่อาจแม้แต่จะเปรียบเทียบท่านกับฮองเฮาหรือเหล่าชายาผู้สูงศักดิ์ที่มอบทั้งความรักความเอาใจใส่ต่อบุตรชายของพวกนางได้เลย!”ซูเฟยโกรธจัดและเอ่ยว่า "เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระ!"นางคิดว่านางใกล้ชิดกับเย่เสวียนถิงมากพอแล้ว ตั้งแต่วันที่นางรับเลี้ยงเขา นางก็ปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นบุตรชายของนางอย่างแท้จริงมาโดยตลอด ไม่เคยปฏิบัติต่อเขารุนแรงเลยสักครั้งในเวลานั้น เย่เสวียนถิงที่ถูกทิ้งขว้างโดยไร้คนเหลียวแลน่าสงสารจริง ๆ นางจึงรับเลี้ยงเย่เสวียนถิงไว้การดูแลของนางนั้นนับว่าเป็นความเมตตาอย่างมากอยู่แล้ว!ซูเฟยมองไปยังเย่
เป็นตามที่นางคาดการณ์ไว้ นางได้ยินซูชิงอู่พูดต่อว่า "เช่นนั้นแล้วหากพระนางไม่ต้องการ พระนางก็จงเลือกเป็นซูเฟยต่อไป อย่าได้ข้องเกี่ยวสิ่งใดกับท่านอ๋อง แต่หากพระนางต้องการยืนหยัดเคียงข้างท่านอ๋อง พระนางต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือเขา" แม้ว่าซูเฟยจะมีนิสัยอ่อนโยน แต่นางก็ไม่ใช่คนโง่ที่ไม่อาจจะคาดเดาได้ว่าซูชิงอู่หมายถึงอะไรซูเฟยมองไปที่เย่เสวียนถิงอีกครั้ง ร่างกายของนางสั่นเล็กน้อย "เสวียนถิง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้า..."เย่เสวียนถิงพูดขึ้นอย่างไม่ลังเล "ความปรารถนาของชายาเสวียน ก็คือความปรารถนาของลูกเช่นกัน"เมื่อถูกบังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ทันใดนั้นซูเฟยก็สงบลงทันที นางยังคงเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ ทว่านางกลับจมดิ่งสู่ห้วงความคิดอย่างลึกซึ้งนางเลี้ยงดูเย่เสวียนถิงมานานหลายปีแล้ว เช่นนั้นนางจึงมีความผูกพันกับเขาเป็นธรรมดานอกจากนี้นางยังคงเฝ้ามองดูเขาเติบโตจากเด็กไร้เดียงสาขึ้นสู่เทพเจ้าสงครามผู้มีชื่อเสียง ไม่เพียงเท่านั้นเขายิ่งเก่งกล้าและมีความสามารถมากขึ้นในทุกวัน เช่นนั้นแล้วนางจึงอดไม่ได้ที่จะภูมิใจในตัวเขาอย่างมากนางรู้สึกราวกับว่าจะสูญเสียกำลังทั้งหมด แต่เมื่
ซูเฟยมีสีหน้าตกตะลึง นางยกมือขึ้นปิดริมฝีปากแล้วถอยหลังไปสองสามก้าวนางมองไปยังนางกำนัลอาวุโสสวี่อย่างไม่กะพริบตาพร้อมกับชี้นิ้วไปที่คนผู้นั้นแล้วพูดขึ้นด้วยความโกรธว่า "เจ้า...เจ้า..."นางก็ไม่ใช่หญิงสาวที่จะไม่รู้อะไรเลย ตอนนี้นางรู้สึกเวียนศีรษะแทบจะล้มลงกับพื้นซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงต่างก็รีบเร่งก้าวไปข้างหน้าทันที ก่อนจะเอื้อมมือประคองซูเฟยอย่างรวดเร็วพร้อมกันทั้งทางซ้ายและขวาซูเฟยไม่สนใจความคิดของตนที่มีต่อซูชิงอู่อีกต่อไป ความคิดภายในใจของนางทั้งหมดถูกยับยั้งโดยการทรยศของนางกำนัลอาวุโสสวี่ซึ่งอยู่เคียงข้างตนมาตลอดนางกำนัลอาวุโสสวี่พูดไม่ออก นางรีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นานทุกคนในห้องก็ได้กลิ่นแปลก ๆนางกลัวมากจนปัสสาวะราดเย่เสวียนถิงขมวดคิ้ว "พานางออกไป แล้วโบยนางให้ตาย!"องครักษ์เงาที่สิบเจ็ดเอื้อมมือคว้าคอเสื้อของนางกำนัลอาวุโสสวี่ขึ้นมาในขณะที่เขากำลังจะจากไปจู่ ๆ ซูชิงอู่ก็พูดขึ้น"อย่าได้รีบร้อน"องครักษ์เงาที่สิบเจ็ดหยุดเดินอย่างเชื่อฟัง เขาตั้งใจฟังคำแนะนำต่อไปของชายาเสวียนดวงตาที่มองซูชิงอู่เต็มไปด้วยความเคารพและความชื่นชมเพราะในสา
ซูเฟยผงะ ทันใดนั้นก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างซึ่งทำให้หนังศีรษะของนางรู้สึกชาหนึบในทันที“ข้าจำได้ว่าพี่สาวของฮองเฮาถูกวางยาพิษโดยฮ่องเต้องค์ก่อนเพราะไสยศาสตร์ของนาง เช่นนั้นเรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องต้องห้าม และฮองเฮาก็ไม่ยอมให้สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ปรากฏในพระราชวัง… เพราะเหตุนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านจึงไม่มีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้น แล้วใครกันที่กล้าทำเลวร้ายเช่นนี้?”ซูชิงอู่กรอกตาจะเป็นใครได้อีกเล่า?ผู้มีอำนาจในเหล่าสตรีของฮ่องเต้ นอกจากฮองเฮาแล้ว ก็คือ เจียวกุ้ยเฟย“ไม่ว่าใครจะเป็นผู้บงการที่แท้จริงเบื้องหลังเรื่องนี้ หากซูเฟยยังคงอยู่เฉย ๆ เช่นนี้ต่อไป หม่อมฉันเกรงว่าท่านอาจจะไม่เหลือแม้แต่กระดูกหรือเศษซากให้แร้งกัดกิน”ใบหน้าของซูเฟยซีดเผือด นางเต็มไปด้วยความละอายใจในชีวิตก่อนหน้าองค์ชายหกสิ้นพระชนม์ด้วยอาการป่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ และพบว่ามีบางคนใช้ไสยศาสตร์ในวังหลวงแห่งนี้ฮองเฮาโกรธเคืองอย่างมากเมื่อทราบเรื่องนี้เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวซูเฟยจึงถูกลงโทษและกักขังในตำหนักจิ้งอี๋ รวมทั้งไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากประตูตำหนักตลอดชีวิตต้องขอบคุณตระกูลหลินซึ่งช่วยเหลืออยู
“เขาป่วยหนักถึงเพียงนี้ได้เช่นไร เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกหมอหลวงมาถวายการรักษาให้องค์ชายหก?”ฮุ่ยเฟยกล่าวว่า "หมอหลวงตรวจดูแล้ว บอกเพียงว่าองค์ชายหกร่างกายอ่อนแอ และขอให้หม่อมฉันดูแลเขาให้ดี จากนั้นเขาก็สั่งยาให้สองสามอย่างแล้วจากไป"ซูเฟยเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า "นี่ไม่เหลวไหลไปหน่อยหรือ? แม้แต่ข้าเองก็ยังเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติกับองค์ชายหก... "ฮุ่ยเฟยคิดไม่ถึงเลยว่าซูเฟยจะพูดเช่นนี้ นิ้วของนางที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวกำขึ้นเล็กน้อยนางหรุบตาลง ขอบตาแดงก่ำ "ฉางอิ๋งป่วยมาหลายปีแล้ว หม่อมฉันเกรงว่าแม้แต่หมอหลวงก็คงชินแล้ว ถึงกับมีคนแอบบอกหม่อมฉันว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงสิบหนาวด้วยซ้ำ... "ซูเฟยแสดงท่าทีเห็นใจ นางชอบเด็ก ๆ มาโดยตลอด ไม่เช่นนั้นนางคงไม่เสนอตัวรับเลี้ยงเย่เสวียนถิงในเวลานั้นขณะที่นางกำลังจะพูด ทันใดนั้นฮุ่ยเฟยก็คุกเข่าลงบนพื้น มองซูเฟยด้วยสายตามีความหวัง“ท่านพี่หญิงซูเฟย โปรดช่วยหม่อมฉันด้วย ตอนนี้มีเพียงท่านเท่านั้นที่จะช่วยหม่อมฉันได้…”กระโปรงของซูเฟยถูกดึงรั้งไว้จึงทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ"ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร?"ฮุ่ยเฟยเงยหน้าขึ้นมองราวกับว่านางกำลังคว้าฟางเส้น
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้