ซูเฟยมีสีหน้าตกตะลึง นางยกมือขึ้นปิดริมฝีปากแล้วถอยหลังไปสองสามก้าวนางมองไปยังนางกำนัลอาวุโสสวี่อย่างไม่กะพริบตาพร้อมกับชี้นิ้วไปที่คนผู้นั้นแล้วพูดขึ้นด้วยความโกรธว่า "เจ้า...เจ้า..."นางก็ไม่ใช่หญิงสาวที่จะไม่รู้อะไรเลย ตอนนี้นางรู้สึกเวียนศีรษะแทบจะล้มลงกับพื้นซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงต่างก็รีบเร่งก้าวไปข้างหน้าทันที ก่อนจะเอื้อมมือประคองซูเฟยอย่างรวดเร็วพร้อมกันทั้งทางซ้ายและขวาซูเฟยไม่สนใจความคิดของตนที่มีต่อซูชิงอู่อีกต่อไป ความคิดภายในใจของนางทั้งหมดถูกยับยั้งโดยการทรยศของนางกำนัลอาวุโสสวี่ซึ่งอยู่เคียงข้างตนมาตลอดนางกำนัลอาวุโสสวี่พูดไม่ออก นางรีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นานทุกคนในห้องก็ได้กลิ่นแปลก ๆนางกลัวมากจนปัสสาวะราดเย่เสวียนถิงขมวดคิ้ว "พานางออกไป แล้วโบยนางให้ตาย!"องครักษ์เงาที่สิบเจ็ดเอื้อมมือคว้าคอเสื้อของนางกำนัลอาวุโสสวี่ขึ้นมาในขณะที่เขากำลังจะจากไปจู่ ๆ ซูชิงอู่ก็พูดขึ้น"อย่าได้รีบร้อน"องครักษ์เงาที่สิบเจ็ดหยุดเดินอย่างเชื่อฟัง เขาตั้งใจฟังคำแนะนำต่อไปของชายาเสวียนดวงตาที่มองซูชิงอู่เต็มไปด้วยความเคารพและความชื่นชมเพราะในสา
ซูเฟยผงะ ทันใดนั้นก็นึกถึงบางสิ่งบางอย่างซึ่งทำให้หนังศีรษะของนางรู้สึกชาหนึบในทันที“ข้าจำได้ว่าพี่สาวของฮองเฮาถูกวางยาพิษโดยฮ่องเต้องค์ก่อนเพราะไสยศาสตร์ของนาง เช่นนั้นเรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องต้องห้าม และฮองเฮาก็ไม่ยอมให้สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ปรากฏในพระราชวัง… เพราะเหตุนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านจึงไม่มีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้น แล้วใครกันที่กล้าทำเลวร้ายเช่นนี้?”ซูชิงอู่กรอกตาจะเป็นใครได้อีกเล่า?ผู้มีอำนาจในเหล่าสตรีของฮ่องเต้ นอกจากฮองเฮาแล้ว ก็คือ เจียวกุ้ยเฟย“ไม่ว่าใครจะเป็นผู้บงการที่แท้จริงเบื้องหลังเรื่องนี้ หากซูเฟยยังคงอยู่เฉย ๆ เช่นนี้ต่อไป หม่อมฉันเกรงว่าท่านอาจจะไม่เหลือแม้แต่กระดูกหรือเศษซากให้แร้งกัดกิน”ใบหน้าของซูเฟยซีดเผือด นางเต็มไปด้วยความละอายใจในชีวิตก่อนหน้าองค์ชายหกสิ้นพระชนม์ด้วยอาการป่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ และพบว่ามีบางคนใช้ไสยศาสตร์ในวังหลวงแห่งนี้ฮองเฮาโกรธเคืองอย่างมากเมื่อทราบเรื่องนี้เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวซูเฟยจึงถูกลงโทษและกักขังในตำหนักจิ้งอี๋ รวมทั้งไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากประตูตำหนักตลอดชีวิตต้องขอบคุณตระกูลหลินซึ่งช่วยเหลืออยู
“เขาป่วยหนักถึงเพียงนี้ได้เช่นไร เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกหมอหลวงมาถวายการรักษาให้องค์ชายหก?”ฮุ่ยเฟยกล่าวว่า "หมอหลวงตรวจดูแล้ว บอกเพียงว่าองค์ชายหกร่างกายอ่อนแอ และขอให้หม่อมฉันดูแลเขาให้ดี จากนั้นเขาก็สั่งยาให้สองสามอย่างแล้วจากไป"ซูเฟยเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า "นี่ไม่เหลวไหลไปหน่อยหรือ? แม้แต่ข้าเองก็ยังเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติกับองค์ชายหก... "ฮุ่ยเฟยคิดไม่ถึงเลยว่าซูเฟยจะพูดเช่นนี้ นิ้วของนางที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวกำขึ้นเล็กน้อยนางหรุบตาลง ขอบตาแดงก่ำ "ฉางอิ๋งป่วยมาหลายปีแล้ว หม่อมฉันเกรงว่าแม้แต่หมอหลวงก็คงชินแล้ว ถึงกับมีคนแอบบอกหม่อมฉันว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงสิบหนาวด้วยซ้ำ... "ซูเฟยแสดงท่าทีเห็นใจ นางชอบเด็ก ๆ มาโดยตลอด ไม่เช่นนั้นนางคงไม่เสนอตัวรับเลี้ยงเย่เสวียนถิงในเวลานั้นขณะที่นางกำลังจะพูด ทันใดนั้นฮุ่ยเฟยก็คุกเข่าลงบนพื้น มองซูเฟยด้วยสายตามีความหวัง“ท่านพี่หญิงซูเฟย โปรดช่วยหม่อมฉันด้วย ตอนนี้มีเพียงท่านเท่านั้นที่จะช่วยหม่อมฉันได้…”กระโปรงของซูเฟยถูกดึงรั้งไว้จึงทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ"ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไร?"ฮุ่ยเฟยเงยหน้าขึ้นมองราวกับว่านางกำลังคว้าฟางเส้น
ฮุ่ยเฟยลดสายตาลง ก่อนจะกัดริมฝีปากแล้วพูดว่า "หากซูเฟยต้องการทำอะไรกับองค์ชายหก นางก็จะไม่มาในวันนี้ และเพียงรอข่าวการตายของฉางอิ๋งอย่างเงียบ ๆ ในตำหนักของนาง นี่คือเหตุผลที่ข้ายอมให้นางมาเยี่ยมฉางอิ๋ง…”ซูเฟยอยู่ในห้องกำลังมองซูชิงอู่ด้วยสีหน้ากังวล "เจ้าตกลงกับฮุ่ยเฟยเช่นนี้ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับองค์ชายหกในมือของเรา ... "ซูชิงอู่สัมผัสชีพจรขององค์ชายหกด้วยมือหนึ่งขณะตอบคำถามของซูเฟย“มีข้อควรระวังอะไรบ้าง?”ในสายตาของนาง หากสิ่งใดรักษาได้ก็ได้ และหากรักษาไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่มีอะไรไปมากนี้นี่เป็นเพียงปัญหาที่ทั้งยากและง่ายชีพจรขององค์ชายหกอ่อนแอมากซึ่งดูเหมือนว่าจะมีสาเหตุมาจากความบกพร่องแต่กำเนิด เมื่อตรวจสอบชีพจรเขาอย่างรอบคอบ นางจึงสามารถค้นพบความผิดปกติที่ละเอียดอ่อนนั้นได้ซูเฟยเดินไปมาอยู่ในห้อง“แม้ว่าข้าจะช่วยองค์ชายหกได้ครั้งหนึ่ง แต่ข้าเกรงว่าคนเหล่านั้นจะยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นฮองเฮาหรือเจียวกุ้ยเฟย ข้าเกรงว่าพวกนางไม่ต้องการให้องค์ชายหกมีชีวิตอยู่”ซูชิงอู่เลิกคิ้วแล้วพูดว่า “จะช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุด เมื่อช่วยแล้วก็ต้องช่วยจนกว่าจะสำเร็จ อนาคตในวังห
จากนั้นกลุ่มคนที่เพิ่งเข้ามาจับพวกนางก็ล้มลงกับพื้น สูญเสียกำลังทั้งหมดทันทีซูเฟยตกตะลึงอย่างยิ่งเมื่อเห็นฉากอันมหัศจรรย์และน่าขนลุกเช่นนี้นางไม่รู้ว่าซูชิงอู่ทำสิ่งนี้ได้เช่นไร!ซูชิงอู่สะบัดแป้งออกจากปลายนิ้วของนาง พร้อมกับรู้สึกว่าการต่อดิ้นรนขัดขืนขององค์ชายหกอ่อนลง ก่อนที่นางจะปล่อยมือฮุ่ยเฟยคลานอยู่บนพื้น น้ำตาไหลอาบหน้า น้ำเสียงของนางแหบแห้งและสั่นเทา “อย่า... อย่าทำร้ายองค์ชายหก”ซูชิงอู่ถอนหายใจ“หม่อมฉันพูดแล้วว่าอย่าเข้ามา หม่อมฉันรู้ว่าท่านจะต้องมีท่าทีตอบโต้เช่นนี้”องค์ชายหกไม่ได้ป่วย แต่ถูกพิษกู่ดังนั้นวิธีการรักษาจึงไม่ค่อยน่าดูนักในฐานะมารดาผู้ให้กำเนิดขององค์ชายหก ฮุ่ยเฟยทนไม่ได้ที่จะเห็นองค์ชายหกต้องทนทุกข์ทรมานฮุ่ยเฟยกัดฟันก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืน แม้ว่านางจะพยายามอยู่หลายครั้งแต่กลับล้มลงกับพื้นทุกครั้งขณะที่ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความเสียใจ นางก็เห็นองค์ชายหกนอนอยู่บนเตียง ร่างของเขากระตุก จากนั้นเขาก็เอียงศีรษะ ก่อนจะอาเจียนเลือดสีดำออกมาเต็มปากซูชิงอู่โยนเทียนที่อยู่ข้าง ๆ นางลงบนเลือดสีดำทันที ทันใดนั้นเลือดสีดำก็ไหม้อย่างน่าประหล
ซูชิงอู่ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า "อย่าได้กังวล ทุกอย่างกำลังไปได้ดี องค์ชายหกไม่ได้ป่วย แต่เขาถูกใครบางคนวางยาพิษต่างหาก"เห็นได้ชัดว่าเย่เสวียนถิงประหลาดใจ "พิษกู่ใช่หรือไม่?"เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้เรื่องนี้มากนัก ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็มืดลงมากเย่เสวียนถิงจับมือของซูชิงอู่ทันที หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น พร้อมกับริมฝีปากซึ่งเม้มจนเป็นเส้นตรง“เจ้าเผชิญกับสิ่งที่อันตรายถึงเพียงนั้นได้เช่นไร?”ซูชิงอู่ปลอบใจเขาพลางเอ่ยขึ้นว่า "ไม่เป็นไร ท่านอย่าลืมว่าข้าก็รู้ทักษะทางการแพทย์ด้วยเช่นกัน แม้ว่าพิษกู่จะฟังดูอันตราย แต่หากสามารถเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้ก็ไม่มีสิ่งใดน่ากังวล"เย่เสวียนถิงมีสีหน้ากังวล "พิษกู่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง แม้แต่หมอหลวงในพระราชวังก็ไม่รู้เรื่องนี้มากนัก ใครกันที่ทำสิ่งเลวร้ายเช่นนี้กับเด็กอายุแปดหนาวได้"“เป็นท่านราชครู” เมื่อสามคำนี้ออกมาจากปากของซูชิงอู่ รูม่านตาของเย่เสวียนถิงก็หดลงทันทีเขาจับปลายนิ้วของซูชิงอู่แน่นไว้แน่น และหัวใจของเขาก็รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“ท่านราชครูละทางโลกไปแล้ว อีกทั้งเขายังเก็บตัวอยู่ในวังตลอดทั้งปี เขาจะเข้ามายุ่งเกี่ยว
ผู้คุมสอบกระซิบอยู่ด้านข้างว่า “นี่เป็นการประลองรอบสุดท้ายแล้ว บุรุษผู้นี้มีชื่อว่าเซียวเฝิง เขาเป็นคนที่โดดเด่นในการสอบศิลปะการต่อสู้ในครั้งนี้ หลายคนไม่สามารถผ่านสามกระบวนท่าในมือของเขาได้ ไม่เพียงเท่านั้นเขายังเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาก” เย่เสวียนถิงพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมกับหรี่ดวงตาหงส์ของเขาลงเบา ๆเขาเคยพบกับบุรุษผู้นี้มาก่อนทั้งยังเคยมีปฏิสัมพันธ์กับเขาด้วย เขาเป็นคนมีพรสวรรค์ที่หาได้ยากจริง ๆสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเซียวเฝิงยังเด็กมาก เขาเพียงแต่อยู่ในวัยยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น และมีอนาคตที่สดใสรอเขาอยู่เบื้องหน้าเขาหันหน้าไปมองซูชิงอู่ จากนั้นจึงเห็นว่าสีหน้าของนางไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย เขาลดสายตาลงในเวลานี้เสียงกลองก็ดังขึ้นเซียวเฝิงและฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกำลังเดินขึ้นไปบนสังเวียนซึ่งทั้งคู่ต่างก็สวมชุดฝึกแบบเดียวกันสังเวียนเป็นเวทีทรงกลมซึ่งถูกสร้างขึ้น โดยมีสองวิธีที่จะเอาชนะได้คือ วิธีแรกต้องทำให้คู่ต่อสู้ตกจากเวที และอีกวิธีคือทำให้คู่ต่อสู้ยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยตนเองแม้ว่าซูชิงอู่จะเคยได้ยินว่าเซียวเฝิงได้รับบาดเจ็บในสังเวียนนี้ในชีวิตครั้งก่อนของนาง แต่นางก็ไม่รู้ว่าจะเ
ความเจ็บปวดแสนสาหัสทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแรง อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าบนเวที เขาใช้มือซ้ายกดตำแหน่งที่บาดเจ็บ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมอง 'สหาย' ที่ถูกเตะออกจากเวทีอยากไม่อยากเชื่อสายตาทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบสงัดไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันสีหน้าเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้ที่ถูกเขาเตะออกไป เขาถ่มน้ำลายออกมาเป็นฟองเลือด ก่อนจะยิ้มขึ้นอย่างมีความสุข“ฮ่าฮ่า เซียวเฝิง ตอนนี้มือของเจ้าไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงแล้ว ข้าอยากจะเห็นเหลือเกินว่าเจ้าจะยังคงเป็นผู้ชนะศิลปะการต่อสู้ในอันดับต้น ๆ ได้เช่นไร? เหตุใดเจ้าถึงเข้าร่วมการทดสอบศิลปะการต่อสู้นี้ หากไม่มีเจ้า เช่นนั้นจะต้องเป็นข้าที่เป็นผู้ชนะศิลปะการต่อสู้แน่ !"เมื่อผู้คุมสอบได้ยินเสียง เขาก็กลับมามีสติอีกครั้งก่อนจะพูดขึ้นว่า "รีบตามหมอหลวงเร็วเข้า!"มีหมอหลวงอยู่ใกล้ ๆ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการทดสอบศิลปะการต่อสู้เพราะถึงยังไงเมื่อมีการต่อสู้เกิดขึ้นย่อมมีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอนใบหน้าของเซียวเฝิงซีดเผือดตอนนี้เขาขยับมือไม่ได้เลย ทั้งแขนของเขาก็เจ็บปวดมากจนเหงื่อผุดพรายขึ้นบนหน้า