ฮองเฮาตรัสถาม “เจ้ามีนามว่าอะไร? ไฉนจึงเข้ามาที่ตำหนักฝ่ายในเพียงลำพัง และเหตุใดจึงทะเลาะวิวาทกับองค์หญิงเก้า?” “หม่อมฉันนามว่าอวี๋เพียนเพียน เป็นนางกำนัลขององค์หญิงเชียนหย่าแห่งแคว้นเจาซี หม่อมฉันหลงทางจึงเผลอเดินเข้ามายังที่แห่งนี้เพคะ” นางชี้นิ้วไปที่ซูถิงหว่านพลางเอ่ยว่า “เป็นนางที่ถือดีมากล่าววาจาจาบจ้วงก่อนเพคะ จากนั้นแม่นางน้อยคนนั้นก็ไม่ฟังเหตุผล ตบหน้าหม่อมฉันทันทีหนึ่งฉาด ด้วยความโมโหหม่อมฉันจึงตบนางคืนไปสองฉาด จากนั้นแม่นางอีกคนที่พอเป็นวิชามวยอยู่บ้างก็เข้ามาจัดการหม่อมฉันอย่างทารุณ หม่อมฉันโกรธจึงตอบโต้กลับไป…” นางสาธยายอย่างละเอียดโดยใจความหลักสรุปได้ว่า ซูถิงหว่านมิได้ว่ากล่าวอวี๋เพียนเพียน ทว่าปากพล่อยปากไวไปกล่าวว่าแคว้นเจาซีเป็นดินแดนเล็กจ้อย หากแคว้นต้าโจวจะยึดคืนก็ง่ายดายเหมือนบี้มดตัวหนึ่งให้ตาย นางดูหมิ่นทั้งแคว้นเจาซี อวี๋เพียนเพียนบังเอิญได้ยินเข้าย่อมรู้สึกไม่พอใจ เพราะแคว้นเจาซีเป็นฝ่ายขอเจรจาสงบศึกด้วยเห็นแก่คุณธรรม ไม่อยากให้ราษฎรของสองดินแดนต้องเข่นฆ่าทำลายชีวิต หากแคว้นเจาซียืนกรานจะทำสงครามต่อ ผลแพ้ชนะมิอาจคาดเดา ด้วยเหตุนี้เอง อวี๋เพียนเพียนจึงด่
เจียงเฟิ่งหัวรีบตามไปทันที ก็ยิ้มให้นางพลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน “แม่นางเพียนเพียนช้าก่อน” ไม่แปลกใจเลยที่รู้สึกคุ้นหน้า ที่แท้ก็เป็นดรุณีอาภรณ์สีแดงท่านนั้นที่เคยเข้าร่วมประลองฝีมือชิงตำแหน่งยอดนางคณิกาที่หออี๋ชุนเมื่อคืนก่อนนั้นเอง ในบรรดาสตรีที่เข้าร่วมการแข่งขันในคืนนี้ แน่นอนว่าเป็นเพียนเพียนที่ได้รับเลือกให้เป็นอันดับหนึ่ง ทว่านับจากคืนนั้น นางคณิกาเพียนเพียนก็หายสาบสูญไป เป็นเหตุให้หลินอวี่ถึงกับตั้งใจสืบหาความจริงเป็นพิเศษ ที่แท้นางก็คือแขกผู้มีเกียรติจากแคว้นเจาซีนี่เอง อวี๋เพียนเพียนมองนางกลับ รู้สึกเพียงแค่ว่าดรุณีตรงหน้าอ่อนโยนและสง่างาม เรียบร้อยมีมารยาทสมเป็นกุลสตรี ทั้งรูปโฉมและผิวพรรณยังงดงามเป็นที่สุด เป็นไปตามแบบฉบับของดรุณีในตระกูลใหญ่ของพื้นที่จงหยวนที่นางเคยได้ยินคนเล่าลือมาไม่มีผิดเพี้ยน นางตอบ “มีเรื่องใดหรือ” “ผู้มาเยือนย่อมเป็นแขก เมื่อครู่ได้รับรู้ถึงคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ของแม่นางเพียนเพียนแล้ว เฟิ่งหัวนับถือยิ่งนัก” อวี๋เพียนเพียนผงะไปเล็กน้อย เจียงเฟิ่งหัวกล่าวต่อ “จากแคว้นเจาซีผ่านมาราวพันลี้ถึงแคว้นต้าโจว เดาว่าต้องมีความจริงใจที่จะเจริญสัมพันธไมตรีอ
บุรุษแคว้นต้าโจวล้วนชื่นชอบการมีภรรยาหลายคน ไม่อาจเข้าใจได้เลยจริง ๆ ทั้งที่มีพระชายาที่งดงามเลิศล้ำดุจหยกแก้วและบุปผาอยู่แล้ว เหตุใดจะต้องแต่งชายารองที่ไม่รู้กฎระเบียบอีกคนหนึ่งด้วย นางกวาดสายตามองอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงผู้คนจอแจอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความเสื่อมโทรม ทว่าในตอนนี้เองนางคล้ายจะมองเห็นเงาร่างสีขาววูบหนึ่งปรากฏอยู่ตรงที่นั่งสำหรับบุรุษด้านนอก เพียงแค่สีขาววูบเดียวนั้นกลับปลุกเร้าอารมณ์ที่แตกต่างออกไปขึ้นมาได้ นางรู้สึกเพียงว่ากลิ่นอายของความโสมมทั่วทั้งท้องพระโรงถูกแต่งแต้มไปด้วยความสงบและบริสุทธิ์ ซางอวี๋เพียนเพียนพลันลุกขึ้นยืนและเดินออกไปด้านนอก ฝีเท้าของนางดุจสายลม สายตามุ่งตรงไปด้านหน้า รู้สึกเพียงแค่ว่าบุคคลผู้นั้นช่างสง่างามและเต็มด้วยพลัง ดั่งจันทร์กระจ่างหลังสายพิรุณ นางเดินไปตรงหน้าเจียงจิ่นเหยียน และเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ข้ารู้จักท่าน” เจียงจิ่นเหยียนกำลังยกจอกสุราดื่มฉลองกับเซียวอวี้และบรรดาศิษย์ ครั้นเห็นสตรีในอาภรณ์หรูหราท่านหนึ่งเดินมาตรงหน้า ชุดของนางคือชุดแบบแคว้นเจาซี อีกทั้งยังแต่งตัวได้รุ่มรวยทรงเกียรติ ก็เดาฐานะของผู้มาเยือนได้ในทันที “องค์หญิง
เสียงเพลงอันไพเราะนุ่มนวลที่บรรเลงไม่หยุดสามารถรักษาอาการนอนไม่หลับได้ เจียงเฟิ่งหัวดื่มเหล้าไปสองจอกหน้าก็เริ่มแดง นางเริ่มตัวโงนเงน สัปหงก เมื่อตัวนางเซก็ไปซบไหล่เซี่ยซางเจียงเฟิ่งหัวก็สะดุ้งตื่นทันที นั่งตัวตรง พยายามเบิกตากว้างเหมือนกำลังจดจ้องที่นางรำ นางไม่รู้ว่านางรำเต้นท่าอะไรบ้าง เหมือนเป็นคนตาบอดที่ลืมตาดูเท่านั้นเซี่ยซางเห็นท่าทางของนางแล้ว ก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย “เมื่อเช้าตื่นเช้าไปหรือ?”เจียงเฟิ่งหัวผงกหัว “เพคะ”เซี่ยซางกวาดสายตาดูในงาน งานเลี้ยงเพิ่งเริ่ม ทุกคนก็เหมือนจะง่วงกันหมดแล้ว คนที่สัปหงกก็ไม่น้อย งานเลี้ยงนี้ที่กรมพิธีการจัดก็น่าเบื่ออยู่บ้างจริง ๆ “ข้าส่งเจ้าไปพักผ่อนที่ตำหนักเฉินซีหน่อยแล้วกัน รองานเลี้ยงเลิกแล้วค่อยส่งเจ้าออกจากวัง”เจียงเฟิ่งหัวส่ายหน้าไปมา กล่าวเสียงเบาว่า “หม่อมฉันยังทนไหวอยู่เพคะ แขกสำคัญยังไม่กลับ ไหนเลยเจ้าภาพจะกลับก่อนได้”ซูถิงหว่านเข้ามาแทรก กล่าวเบา ๆ “หม่อมฉันก็เริ่มง่วงแล้ว หม่อมฉันไปพักกับพระชายาสักหน่อยนะเพคะ! งานเลี้ยงนี้ก็น่าเบื่ออยู่ไม่น้อยจริง ๆ” นางพูดความจริงอย่างเต็มปากเต็มคำเจียงเฟิ่งหัวไม
แต่นางก็ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าเซียวอวี้จะเข้าวังได้นี่นา นอกเสียจากว่าซูกุ้ยเฟยไปกระซิบข้างหมอนกับฮ่องเต้ บรรดาบัณฑิตในสำนักศึกษาจึงเข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงได้ ทำเป็นบอกว่าให้ราชทูตต่างชาติได้เห็นว่าแคว้นต้าโจวเต็มไปด้วยคนมีความสามารถ ที่แท้เป็นการล่อเซียวอวี้เข้าวังเมื่อเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว เจียงเฟิ่งหัวก็เดินช้า ๆ นางรู้ว่าพี่ใหญ่ต้องอยู่กับเซียวอวี้แน่ ต้องคิดหาวิธีบอกให้พี่ใหญ่รู้ แล้วก็อย่าให้เซียวอวี้อยู่ตามลำพังเด็ดขาดเวลานี้เอง อู๋ซินกงกงบังเอิญผ่านมาพอดี ถวายคำนับไปทางเจียงเฟิ่งหัวอย่างเคารพนบนอบหนึ่งครั้ง “บ่าวถวายพระพรพระชายาเหิงอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“อู๋ซินกงกงไม่อยู่รับใช้ข้างพระวรกายฝ่าบาทหรือ?” เจียงเฟิ่งหัวถามเป็นพิธี“มีท่านอาจารย์รับใช้อยู่ มิต้องเรียกใช้บ่าวหรอกพ่ะย่ะค่ะ” อู๋ซินพูดอีกว่า “ตอนนี้บ่าวก็เป็นคนว่างงานคนหนึ่ง รอให้ท่านอาจารย์เรียกอยู่ทุกเมื่อ”เจียงเฟิ่งหัวยิ้ม “ยังไม่ได้ขอบคุณอู๋ซินซินกงกงเลยที่ไปส่งข้าคัดพระคัมภีร์ที่ศาลบรรพชนคราวก่อน ไม่เช่นนั้นหลงทางในวังหลวงที่ใหญ่โตเช่นนี้ก็ได้ขายหน้าแย่”อู๋ซินกล่าวด้วยความเคารพ “พระชายาไม่ต้องเกรงใจไป เรื่องเหล่าน
ขณะเดียวกัน ณ ตำหนักหลวนเฟิ่งซูกุ้ยเฟยรู้ว่าฮ่องเต้แต่งตั้งองค์หญิงแคว้นเฉาซีเป็นพระสนมหย่าเฟยแล้วก็โกรธสุดขีด นางก็ไม่อยากไปร่วมงานให้คนอื่นมาหัวเราะเยาะ จึงอ้างว่าไม่สบายเพื่อไม่ไปร่วมงานเลี้ยงอวิ๋นฟางคุกเข่าลงด้วยความเคารพหน้าซูกุ้ยเฟย “ทูลกุ้ยเฟย จากที่บ่าวแอบสอดส่องอย่างลับ ๆ พยายามค้นหา ในที่สุดก็เจอจุดอ่อนของพระชายาเหิงอ๋องแล้วเพคะ”ซูกุ้ยเฟยกล่าวเสียงเข้ม “คราวก่อนเจ้าส่งจดหมายบอกข้าให้เกลี้ยกล่อมฝ่าบาทให้เชิญบัณฑิตที่เพียบพร้อมทั้งปัญญาและคุณธรรมจากสำนักศึกษาหลวง เข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงรับรองราชทูตจากแคว้นเจาซี เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”อวิ๋นฟางยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น “กุ้ยเฟย บ่าวค้นพบความลับอย่างหนึ่งของพระชายาเหิงอ๋องเพคะ”ซูกุ้ยเฟยได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว “เจ้าแน่ใจนะ”“บ่าวสืบจนแน่ชัดแล้วเพคะ จริงแท้แน่นอน คนผู้นั้นก็ศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาหลวง เป็นศิษย์ของเจียงหวย วันนี้ก็เข้าวังมา ไม่แน่ว่าก่อนที่เจียงเฟิ่งหัวจะแต่งกับเหิงอ๋อง ทั้งสองคนก็รักกันมานานแล้ว”ซูกุ้ยเฟยจ้องอวิ๋นฟางด้วยแววตาเย็นเยียบ “เจียงเฟิ่งหัวไม่ใช่คนโง่ นางไม่มีทางโง่จนวิ่งเข้าวังมากับผู้ชายคนหนึ่งเพื่อ
“ลากไปซ่อนในเรือนด้านข้างที่ไม่มีคน แค่นางกำนัลตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง รอให้ซูกุ้ยเฟยถูกเปิดโปง นางก็ไม่ได้มีจุดจบที่ดีแน่”ขณะนี้จุดสำคัญของวังหลวงอยู่ที่ตำหนักหงฝู มีอู๋ซินนำทาง เขาก็นำตัวคนไปซ่อนในตำหนักของซูกุ้ยเฟยโดยที่ไม่มีใครรู้ได้อย่างง่ายดาย......ขณะเดียวกัน ทางนี้ซูถิงหว่านเห็นเจียงเฟิ่งหัวเอาแต่เดินเล่นริมทะเลสาบอย่างไร้จุดหมาย ก็พูดว่า “ที่นี่หนาวเกินไปแล้ว ทุกคนไปกันหมดแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะเพคะ!”“ก็ใช่น่ะสิ ทุกคนไปกันหมดแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ!” ท่าทางอ้อนแอ้นของเจียงเฟิ่งหัวทำให้ซูถิงหว่านรู้สึกสะอิดสะเอียน“พระชายารองอยากไปเดินเล่นที่สวนบุปผชาติไหม?” นางกล่าวในทันใดซูถิงหว่านตาลุกวาว “ได้สิเพคะ ได้ยินว่าดอกไม้ทางนั้นกำลังบานสะพรั่ง หม่อมฉันกำลังอยากไปดูสักหน่อยพอดีเลย”“ข้าก็กำลังอยากไปดูพอดีเหมือนกัน ดอกไม้ในวังบานสะพรั่งหนาแน่นกว่าในจวนเรา” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางเหมือนเป็นคนรักดอกไม้มาก ยื่นมือไปทางซูถิงหว่านอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน “พระชายารองดึงข้าขึ้นไปหน่อยสิ ขั้นบันไดนี่สูงเกินไปแล้ว ข้าก้าวไม่ขึ้น”ซูถิงหว่านตะลึงจนเบิกตากว้าง เจียงเฟิ่งหัวจะบอบบางเพียงไรก็ไม่ต้องท
ณ ตำหนักหงฝูเมื่อได้ยินเสียง ‘จับนักฆ่า’ แล้ว ภายในห้องจัดงานที่สงบสุขด้วยเสียงร้องรำทำเพลงก็เกิดความตื่นตระหนกขึ้นในพริบตาเดียว ฮ่องเต้ที่กำลังเมามายก็ตาสว่างทันที องครักษ์ลับทั้งหมดก็ออกมาคุ้มกันอยู่ข้างฮ่องเต้แทบจะในชั่วพริบตาใต้เท้าซางผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์ทูลรายงานอย่างรวดเร็ว “ทูลฝ่าบาท มีนักฆ่าเข้ามาในวัง กระหม่อมส่งคนไปไล่ล่าแล้ว ขณะนี้นักฆ่าหนีไปทางพระราชฐานชั้นในพ่ะย่ะค่ะ” “ก็ไปตามจับสิ!” ฮ่องเต้ตะคอกด้วยความพิโรธ โกรธเกรี้ยวประดุจฟ้าผ่า “ใครกล้ามาลอบสังหารในวังกัน ไปจับมันมา เราจะทำให้มันแหลกลาญไม่เหลือชิ้นดี”ผู้บัญชาการซางตกอกตกใจจนทั้งตัวสั่นเทา จะเข้าไปพระราชฐานชั้นในย่อมต้องขอพระบรมราชานุญาตจากฮ่องเต้ก่อน ไม่เช่นนั้นไปล่วงเกินเหล่าเจ้านายฝ่ายในเข้า พวกเขาได้หัวหลุดจากบ่ากันถ้วนหน้าแน่ เขารีบขานรับ “พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หันไปพูดกับบรรดาองค์ชายอีกว่า “พวกเจ้านิ่งเป็นสิงโตหินอะไรอยู่ที่นี่ ยังไม่รีบไปดูอีกว่าใครกันมันกล้าบุกเข้ามาในวัง ต้องจับตัวมันให้ได้”พวกเขารับพระบัญชาแล้วออกไป ออกมาจากตำหนังหงฝูแล้ว เซี่ยซางเจอซูถิงหว่านวิ่งหอบแฮ่ก ๆ กลับมา“หวานหว่าน เจ้
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น
“แม่นางหลิน เจ้าดื่มช้าๆ หน่อย” กัวเซี่ยวไม่เหลือท่าทางเสเพลไร้ความสำรวมในอดีตอีก เขาเอ่ยห้ามปรามว่า “แม่นางหลิน เจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือ!”“ผู้ใดบอกว่าข้าอารมณ์ไม่ดีกัน” หลินอวี่กล่าวต่อว่า “สุรานี้เจ้าเป็นคนออกเงินซื้อ ท่านจะดื่มไม่ดื่ม?” กัวเซี่ยวรีบเทเหล้าออกมาอีกจอกแล้วดื่มลงไปจนหมดในอึกเดียว “ข้าดื่ม” ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะได้ดื่มสุรากับนาง แน่นอนว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้มั่นสุราผ่านไปสามรอบ กัวเซี่ยวก็ดื่มจนหน้าแดงก่ำแล้ว แม้แต่นั่งก็นั่งไม่มั่น “ดื่มอีก ข้ายังดื่มได้…ดื่ม…แม่นาง…แม่นางหลิน เจ้าช่างงามนัก”สีหน้าของหลินอวี่ยิ่งเปล่งปลั่งแดงระเรื่อ จู่ๆ นิ้วเรียวงามทั้งสิบของนางก็สัมผัสลงบนแก้มของเขา คนที่อยู่เบื้องหน้าราวกับได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในใจนางไปแล้ว นางพึมพำว่า “คุณชายน้อย ดื่มสุราสิ”กัวเซี่ยวถูกอารมณ์รักทำให้เลอะเลือนไปแล้ว เขาคว้ามือนางไว้แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด “แม่นางหลิน ข้าชอบเจ้า”หลินอวี่หัวเราะอย่างหยาดเยิ้ม ตั้งแต่เด็กนางก็เรียนรู้ทักษะการล่อลวงบุรุษพวกนั้นกับเจียงเฟิ่งหัว ยามนี้นำมาใช้กับกัวเซี่ยวก็เกินจะพอ อาศัยเพียงยิ้มเดียวของนางก็ทำให้กัวเซี่ยวมัวเมาลุ่มห
ไม่รอให้ชายฉกรรจ์ตอบสนอง หลินอวี่ก็เอ่ยเสียงหนักว่า “นำสุรามา คืนนี้พี่ชายจะออกเงินครั้งละร้อยตำลึงได้มากเท่าใด ข้าก็จะดื่มเป็นเพื่อนท่านมากเท่านั้น ว่าอย่างไร?”ม่านตาของชายฉกรรจ์หดแคบลง สุราเช่นนี้พวกเขาดื่มไม่ไหวดอก ทันใดนั้น คนทั้งสองก็ห่อเหี่ยวลงทันทีหลินอวี่ลุกขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าว่าสองท่านคงไม่ได้คิดมาดื่มสุราหาความสำราญ แต่เหมือนจะมาก่อเรื่องในหออี๋ชุนของข้ามากกว่า”“ผู้ใดบอกว่าไม่ได้มาดื่มสุรากัน” บุรุษหนึ่งในนั้นลุกขึ้นมา ชี้จมูกหลินอวี่ได้ก็ด่าออกมาทันทีว่า “หอสุราเน่าๆ อะไรของพวกเจ้ากัน เหล้าจอกละร้อยตำลึง ทำไมพวกเจ้าไม่ไปปล้นเสียเลยล่ะ”พูดจบเขาก็คิดจะเริ่มทำลายข้าวของ สุราอาหารกับจอกสุราถูกเขาพลิกโต๊ะจนล้มคว่ำหลินอวี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่ไม่ทันที่นางจะลงมือ ในเวลานั้นเอง ที่หน้าประตูก็มีบุรุษผู้หนึ่งบุกเข้ามาปกป้องอยู่เบื้องหน้าของนางอย่างสง่างามน่าเกรงขาม “ข้ามาแล้ว เป็นไอ้ลูกเต่าลูกตะพาบตัวไหนกล้ามาก่อเรื่องที่หออี๋ชุนกัน”“แม่นางหลินวางใจเถอะ มีข้าอยู่ไม่มีใครกล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่แน่” ใบหน้ากัวเซี่ยวเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นหลินอวี่ถอ
หิมะตกแล้ว หิมะที่ตกหนักและปลิวไสวดุจขนห่าน ทำให้เมืองหลวงอันเรืองรองประดุจปกคลุมไปด้วยอาภรณ์สีเงิน ทัศนียภาพที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะนี้ก็ดูงดงามมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบไม่ว่าสงครามที่ชายแดนจะรบกันหนักหน่วงเพียงใด ล้วนไม่อาจส่งผลกระทบต่อเมืองหลวง ที่ยังคงคึกคักและรุ่งเรืองเช่นเดิมเจียงเฟิ่งหัวสวมเสื้อคลุมอันหรูหราที่มีหมวกคลุมศีรษะยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไปไกล ความคิดของนางล่องลอยออกไปไกลแสนไกล แววตาที่ลึกล้ำดุจบึงน้ำอันหนาวเหน็บสาดประกายเย็นเยียบออกมาคิดไม่ถึงว่าจะจัดการกับจีเฉินได้รวดเร็วเช่นนี้ ในชาติก่อน จีเฉินเป็นแรงหนุนคนสำคัญของซูถิงหว่าน พวกเขาคนหนึ่งอยู่ในวังคนหนึ่งอยู่นอกวัง ในนอกเสริมประสาน การกำจัดเขาทิ้งในเวลานี้จึงถือเป็นการกำจัดศัตรูคู่แค้นที่สำคัญไปได้คนหนึ่ง“เจ้าต้องกลับวังอีกแล้วสินะ! ข้าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกหลายเดือนอีกแล้วใช่หรือไม่ หวังจริงว่า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตอนเจ้าคลอดลูกได้ คนอื่นล้วนบอกว่า การคลอดลูกเป็นด่านความเป็นตายของผู้หญิงที่เท้าข้างหนึ่งก้าวไปอยู่ในตำหนักมัจจุราช” หลินอวี่ยืนอยู่ข้างนาย มองตามสายตาของนางไปยังควันที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ไกลออกไป
เนื่องจากสายสัมพันธ์กับซูฮองเฮา บัดนี้ อำนาจของซูไทเฮาจึงเหนือล้ำเฉิงฮองเฮาไปแล้วดังนั้น ฝูลู่จึงไม่กล้าล่วงเกินฮองเฮาเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ตำแหน่งแห่งที่ของเขาก็ยังไม่มั่นคงนัก ขันทีผู้หนึ่งแบบเขาจะไปช่วยใครได้ เขาช่วยผู้ใดไม่ได้ทั้งนั้นยังคงยุ่งเรื่องผู้อื่นให้น้อยลงจะดีกว่า!“คืนนี้ ฝ่าบาทจะทรงพลิกป้ายของพระสนมท่านใดพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้กล่าวว่า “ไม่พลิกป้ายแล้ว ช่วงนี้ข้างานราชกิจรัดตัว ไม่ต้องจัดนางสนมมาปรนนิบัติแล้ว ตรงไปที่ห้องทรงอักษรเลยเถอะ!”“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูลู่กล่าว นับตั้งแต่ฮ่องเต้กลายเป็นองค์รัชทายาท มีวันใดที่ทรงไม่ยุ่งบ้าง เหล่าพระสนมในวังล้วนได้ไทเฮาดูแลทั้งนั้น ก็น่าจะทรงไปทำความรู้จักบ้างเฮ้อ! สถานที่ที่ฮ่องเต้ไปมากที่สุดยังคงเป็นตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา ดูท่าเสียนเฟยคงไม่มีโอกาสแล้ว ยังดีที่นางมีลูกสองคนจึงยังรักษาตำแหน่งเสียนเฟยไว้ได้เมื่อจีเฉินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเห็นฉากนี้ ในใจก็ยิ่งตื่นเต้น อย่างนั้นก็แปลว่าในอนาคตเจียงเฟิ่งหัวจะไม่ได้เป็นฮองเฮา และเซี่ยซางก็ไม่ได้ชอบนางด้วยแต่ไม่ถูกสิ!ลูกก็คลอดออกมาแล้ว เหตุใดพวกเขาสองคนจึงยังดู