นางเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ตะโกนเรียกว่า “สีเป่า เจ้าอยู่ข้างในหรือเปล่า? เมี๊ยวๆ...เจ้าตอบข้าสักคำสิ!”เสียง “กุกกัก” ดังออกมาจากในตู้อีกครั้งซูกุ้ยเฟยตะโกนเรียกออกไปด้านนอกหนหนึ่ง “จินหมัวมัว เหมยเซียง เซี่ยจู๋…”นางตะโกนเรียกอยู่นานก็ไม่มีคนเข้ามา“เมี๊ยว!” บุรุษเลียนแบบเสียงแมวร้องขึ้นมาครั้งหนึ่งซูกุ้ยเฟยได้ยินเสียงแมวร้องจึงได้ลดความระวังลง นางเปิดประตูตู้ออก เมื่อเห็นภายในบุรุษร่างกายเปลือยเปล่าอยู่ผู้หนึ่ง นางก็ตกใจจนตะลึงไปวินาทีถัดมา บุรุษผู้นั้นก็พุ่งออกมากอดรัดนางไว้ “แม่แมวน้อย ที่แท้เจ้าอยู่นี่เอง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะงามเช่นนี้ เล่นสนุกเก่งเช่นนี้ทำเอาข้าทรมานรออยู่นาน ที่แท้ก็คิดจะทำให้ข้าประหลาดใจนี่เอง”ในตอนที่อวิ๋นฟางยั่วยวนเขานั้น สวมผ้าคลุมหน้าอยู่ตลอด เพียงให้เขารู้สึกว่านางเป็นหญิงงามผู้หนึ่ง แต่กลับไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนางอย่างชัดเจน กระทั่งนางพาเขาเข้ามาในวังหลวงอันโอ่อ่าหรูหรา เขาจึงได้รู้ว่าที่แท้นางเป็นคนในวัง วันนี้ในวังจัดงานเลี้ยง คนมากมายพลุกพล่านจึงไม่มีใครสังเกตเห็นเขาเขาถูกตีจนสลบ บนร่างแม้แต่กางเกงชั้นในก็ไม่เหลือ เห็นสตรีที่อยู่เบื้องหน้
เมื่อซูกุ้ยเฟยได้ยินเสียงก็ได้สติกลับมาในฉับพลัน นางคิดผลักร่างของเขาออกไปอย่างลนลาน “เจ้าเป็นมือสังหารหรือ?”ฝ่ายชายก็ลนลานทำสิ่งใดไม่ถูกเช่นกัน รีบปฏิเสธว่า “ข้าไม่ใช่มือสังหาร ข้าไม่ใช่มือสังหารจริงๆ ไม่ใช่ว่าพระสนมนำข้าเข้าวังแล้วเอาข้ามาซ่อนไว้ที่นี่หรือ?”ซูกุ้ยเฟยเห็นเขาเหมือนพวกบุรุษหนุ่มที่อาศัยหน้าตาพึ่งพาอิสตรี และบัดนี้ก็มิใช่เวลามาซักไซ้ไล่เลียงว่าเขาเป็นมือสังหารหรือไม่ แต่เป็นกรณีที่ในตำหนักของนางมีบุรุษเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน หากให้คนจับได้ นางคงได้ตายอย่างไร้ที่ฝังนางพูดเสียงเข้มว่า “เจ้าจงซ่อนตัวก่อน”บุรุษผู้นั้นยังจะกล้าคิดเรื่องอื่นอีกได้อย่างไร เขาตื่นตระหนกจนทำสิ่งใดไม่ถูกแล้ว แม้เรื่องนี้จะเพิ่งเริ่มและเพลิงปรารถนาบนร่างของเขายังไม่จางหายไป แต่เขาได้ถูกทำให้ตกใจจนไม่อาจเรียกสติกลับมา“เจ้าลุกขึ้นมาสิ!” ซูกุ้ยเฟยกระซิบเสียงเบา“ข้า…ข้ายืนไม่ขึ้นแล้ว” บุรุษผู้นั้นหวาดหวั่นจนร่างกายสั่นเทา ก่อนหน้านี้มิได้คิดถึงผลที่จะตามมา ถูกตัณหาล่อลวงจิตใจ รู้สึกเพียงว่าน่าตื่นเต้น บัดนี้มาเสียใจก็สายเกินไปเสียแล้วซูกุ้ยเฟยคิดว่านี่เป็นตู้เสื้อผ้าในตำหนักด้านข้าง คนทั้งส
ยิ่งซูชิงชิงไม่ยอมให้คนเข้าไป ก็ยิ่งแปลว่าข้างในมีเรื่องผิดปกติ นอกจากนี้ เหล่านางกำนัลและหมัวมัวที่ปรนนิบัติอยู่ในตำหนักนางล้วนไปที่ใดแล้ว ผ่านมาค่อนคืนแล้วจึงยังไม่เห็นคนสี่หมัวมัวอยากช่วยระบายโทสะให้ฮองเฮานานแล้ว เมื่อได้โอกาสย่อมไม่มีทางปล่อยไป นางพาคนบุกเข้าไปทันทีทุกสิ่งภายในล้วนไม่เที่ยง สี่หมัวมัวจึงไปค้นหาบนเตียงอีกครั้ง ทว่าบนเตียงก็ไร้ซึ่งความผิดปกติใด กระทั่งใต้เตียงก็ถูกดูไปแล้วเมื่อเห็นว่านางมุ่งหน้าไปทางห้องข้างของตำหนัก ซูกุ้ยเฟยก็ตะโกนเรียกออกมา “สี่หมัวมัว…”สี่หมัวมัวตกใจจนสะดุ้ง คิดอยากด่านางว่าร่ำร้องอะไรซูกุ้ยเฟยก็พูดต่อว่า “ด้านในซ่อนคนไม่ได้หรอก หากไม่เชื่อหมัวมัวก็เข้าไปดูเถิด”สี่หมัวมัวก็เลิกม่านขึ้นเดินเข้าไปจริงๆ ภายในว่างเปล่า ไม่มีคนอยู่จริงๆ แต่ว่ากลับมีกลิ่นชนิดหนึ่งอวลอาย ทำให้คนรู้สึกอยากอาเจียนสี่หมัวมัวเปิดตู้เสื้อผ้าออก ภายในไม่มีวี่แววของคน แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ในตู้เสื้อผ้ากลับกระจัดกระจายเต็มตู้ไปหมด นางตาแหลมจึงพบชุดบุรุษที่ด้านล่างสุดของตู้เสื้อผ้า กระทั่งยังมีสายรัดเอว รองเท้าและถุงเท้าด้วย เนื่องจากไม่พบตัวคน นางจึงไม่กล้าโหวกเหวกโวย
บุรุษผู้นั้นหวาดกลัวจนร่างกายสั่นเทา เอาแต่คุกเข่าขอความเมตตา “ได้โปรดอย่าฆ่าข้าเลย ข้าถูกใส่ร้าย เป็นนางล่อลวงให้เข้าวังไปที่สวนบุปผชาติ ข้ารออยู่ที่นั่นตลอดกระทั่งฟ้ามืด ข้า…ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ เมื่อครู่ก็เป็นนางที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน เพราะนางต้องการข้าถึงได้ทำให้นาง”คำพูดของชายหนุ่มเต็มไปด้วยถ้อยคำสกปรกหยาบคาย ลืมเลือนสิ่งที่ซูกุ้ยเฟยกำชับเขาไว้ไปจนหมดสิ้นซูกุ้ยเฟยนึกเสียใจ เมื่อครู่ก็ไม่ควรเกลี้ยกล่อมให้เขาออกไปซ่อนด้านนอก แต่ควรฆ่าเขาไปเสียเลยนางดึงดาบของผู้บัญชาการซางออกมาได้ก็หมายจะฟันลงไป แต่กลับถูกคนปัดออกก็เห็นใบหน้าของเซี่ยอวี้เต็มไปด้วยความเคียดแค้น ตอนนั้นที่ซูกุ้ยเฟยวางแผนให้ร้ายเขา เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้แก้แค้นเร็วถึงเพียงนี้ เขากล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าซูกุ้ยเฟยก็มีวันนี้ เรื่องนี้เพียบพร้อมทั้งพยานหลักฐานจริงๆ”เดิมที่เยี่ยนเฟยมิได้มาปรากฏกายในงานเลี้ยง แต่ความเคลื่อนไหวในวังหลังเกิดเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ นางย่อมต้องมาร่วมสนุกด้วยอยู่แล้วเป็นธรรมดา “ซูกุ้ยเฟยอายุยังน้อย รูปโฉมก็งดงาม ย่อมไม่อาจทนต่อความว้าเหว่เดียวดายในวังหลังได้ กุ้ย
ซูกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อยู่ในวังหลังมาหลายปี นางไม่มีทางขุดหลุมฝังตัวเองแน่เซี่ยซางได้กลิ่นแผนการร้ายที่อยู่ภายในเขาเหลือบมองซูถิงหว่านอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง กล่าวด้วยเสียงทุ้มหนักว่า “เมื่อครู่เป็นชายารองเชิญพระชายาไปชมดอกไม้ที่สวนบุปผชาติ หวานหว่านเริ่มชอบชมดอกไม้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”เขาจำได้ว่า ซูถิงหว่านเคยพูดว่า ไม่ชอบการปลูกดอกไม้ต้นไม้ที่สุด รู้สึกว่ายุ่งยาก หากนางมีเวลามิสู้ไปฝึกซ้อมวิชากระบี่ดีกว่าซูถิงหว่านรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง “หม่อมฉันรู้ว่าพระชายาเป็นผู้ที่ชื่นชอบดอกไม้ พอรู้ว่าดอกไม้ในสวนบุปผชาติเบ่งบาน จึงคิดไปดูกับนาง อันที่จริงแล้ว หม่อมฉันคิดว่า ในเมื่อตอนนี้แต่งกับท่านอ๋องแล้ว ได้รู้ว่าท่านอ๋องทรงรักใคร่พระชายา จึงคิดเลียนแบบพระชายาไปชอบพวกดอกไม้ต้นไม้บ้าง เพื่อให้ท่านอ๋องทรงโปรดปรานบ้าง ”นางกล่าวเช่นนี้ก็นับว่ามีเหตุผล เนื่องจากเซี่ยซางเย็นชาไม่สนใจนางมาเป็นเวลานานแล้วในเวลานั้นเอง ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาว่า “ฝ่าบาทเสด็จ” ทำให้ทุกคนรีบคุกเข่าลง และส่งร้องขานเสียงดังว่า “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี”คนทั้งหมดล้วนไม่กล้าลุกขึ้น ยิ่งไ
อสนีบาตผ่าเปรี้ยงลงมากกลางท้องฟ้า จากนั้นก็เป็นพิรุณห่าใหญ่ก็โหมกระหน่ำลงมาอวิ๋นฟางสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ รอบกายมืดมิดไปหมด เมื่อนางลืมตาขึ้นมาก็เห็นกิ่งไม้นอกหน้าต่างไหวเอนไปมาราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังคำราม นางหวาดกลัวจนอกสั่นขวัญแขวนไปหมดในเวลานั้นเอง ห้องด้านข้างก็มีเสียงที่ทำให้นางรู้สึกสะอิดสะเอียนดังมา นางมองลอดรอยแยกของประตูออกไป ก็เห็นนางกำนัลและขันทีที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยสองคนกำลังทำเรื่องอย่างว่าอยู่ อวิ๋นฟางไม่รู้สึกประหลาดใจ เรื่องโสมมในวังมีไม่น้อย ชีวิตในส่วนลึกของวังเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว จึงขันทีและนางกำนัลแอบจับคู่กันไม่น้อยการที่นางถูกคนตีจนสลบอยู่ที่นี่ แสดงชัดว่าแผนการรั่วไหลแล้ว ได้แต่รอให้ชายหญิงที่ห้องข้างเสร็จกิจ นางจึงค่อยเคาะกำแพงคนทั้งสองต่างตื่นตระหนก “ผู้ใดกัน”อวิ๋นฟางยื่นศีรษะออกไป บนใบหน้าสวมผ้าคลุมหน้าไว้ ยิ้มให้คนทั้งสอง “ข้าเป็นใครไม่สำคัญ แต่เรื่องที่พวกเจ้าแอบทำที่นี่ล้วนถูกข้าเห็นจนหมดสิ้นแล้ว นางชื่อชุ่ยฮวา เป็นข้ารับใช้ในตำหนักงานทั่วไป ส่วนเจ้าชื่อซุ่นจื่อ เรื่องเมื่อครู่พวกเจ้าคงทำกันบ่อยกระมัง! หากลือออกไป… ”นางรู้ว่าแม้เรื่องนี้จะพ
เซี่ยซางก็คุกเข่าอยู่ท่ามกลางสายฝนเช่นกัน เขาปล่อยให้สายฝนตกกระทบลงบนร่าง ทั่วทั้งร่างของเขาเปียกโชกไปหมดแล้ว ทว่าท้องฟ้าราวกับเกิดรูรั่วก็ไม่ปาน ฝนยิ่งตกยิ่งหนักแล้วเขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดแม้แต่คำเดียว ในคืนนี้ไม่ว่าจะเป็นคำให้การของชายผู้นั้นหรือคำแก้ตัวของซูกุ้ยเฟย ล้วนมีพิรุธไปเสียทุกจุด ที่เสด็จพ่อเลือกที่จะอดทนก็เพียงเพื่อรักษาเกียรติยศของราชวงศ์เท่านั้นซูกุ้ยเฟยเป็นสตรีของฮ่องเต้ แต่นางกลับมีสัมพันธ์สวาทกับบุรุษอื่น ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือเท็จล้วนไม่อาจป่าวประกาศจนรู้กันไปทั่วทว่าฮองเฮากลับทรงไปจับชู้ด้วยองค์เอง ทำเอาคนรู้กันไปทั่ว เยี่ยนเฟยกับอวี้อ๋องยิ่งพยายามลงดาบซ้ำเติม ก่อความวุ่นวายให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่อีก องค์ชายสามยิ่งไร้สามารถถึงกระทั่งแค่เดินก็ยังเป็นปัญหา องค์ชายสี่อ่อนแอขี้ขลาดรู้จักแต่ร้องไห้ องค์ชายห้าเพิกเฉยไม่ข้องแวะ รักษาตัวรอด…ฮ่องเต้รู้สึกหนาวเหน็บในใจที่เขามีโอรสมากมาย แต่กลับไม่มีสักคนที่แบกรับงานใหญ่ได้ เหล่าสนมนางในในวังหลังต่างก็แก่งแย่งชิงดี สู้กันจนตายไปข้าง ฮ่องเต้รู้สึกว่าตนเองช่างโดดเดี่ยวเดียวดายจริงๆเรื่องนี้ทำให้ทูตแคว้นเจาซีเห็น
ทางด้านนี้ เฉิงฮองเฮาเดินเข้าไปในตำหนักเฉิงเฉียนโดยตรง นางกล่าวเสียงหนักว่า “ข้าต้องการสนทนากับฝ่าบาทเพียงลำพัง หัวหน้าขันทีเฉาออกไปสักครู่เถิด!”ขณะที่หัวหน้าขันทีเฉากำลังลำบากใจ ฮ่องเต้พลันพูดออกมาว่า “เราหิวแล้ว ไปหาของกินมาให้เราสักหน่อย”หัวหน้าขันทีเฉารีบรับคำติดๆ กันทันทีฮองเฮาเดินไปถึงเบื้องหน้าฮ่องเต้ ไม่กล่าวสิ่งใดก็คุกเข่าลงทันที “เรื่องที่เกิดในตำหนักซูชิงชิงไม่ใช่แผนการของหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่มีทางลดตัวไปใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้ไปทำร้ายความบริสุทธิ์ของสตรีนางหนึ่ง เพราะหม่อมฉันก็เคยถูกให้ร้ายมาก่อน รู้ว่าการถูกคนใส่ความว่าคบชู้สู่ชายรสชาติเป็นเช่นใด หลายปีมานี้หม่อมฉันก็อยู่ไม่สู้ตาย มีชีวิตอยู่ไปวันๆ เท่านั้น”ดวงเนตรที่เย็นชาดุจน้ำแข็งของฮ่องเต้ตวัดมาที่นาง “เจ้ากำลังพูดว่าหลายปีมานี้ข้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี เจ้าได้ครอบครองตำแหน่งที่สตรีทั่วทั้งใต้หล้าอยากได้ เจ้ายังมีสิ่งใดที่ไม่พอใจอีก”“หม่อมฉันไม่กล้ากล่าวโทษว่าฝ่าบาททรงไม่ดีต่อหม่อมฉัน บัดนี้หม่อมฉันเป็นถึงฮองเฮาของพระองค์แล้ว ยังจะกล้าไม่พอใจอีกได้อย่างไร ฝ่าบาททรงเป็นโอรสสวรรค์ เป็นเสาหลักของราษฎรทั่วทั้งใต้หล้า
“เช่นนั้นเราจะแต่งตั้งสนมรักเป็นเจาอี๋แล้วกัน และประทานทองคำและเงินอีกอย่างละหนึ่งพันตำลึง ส่วนปิ่นทองและเครื่องประดับให้สนมรักเลือกได้ตามใจ” ฮ่องเต้มือเติบเป็นอย่างยิ่งในเสี้ยวนาทีที่ความสูงศักดิ์มั่งคั่งอันมโหฬารนี้ถูกโยนลงมา ก็กระแทกใส่หวังเหม่ยเหรินจนวิงเวียน ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไรดี ยังคงเป็นนางกำนัลที่ปรนนิบัตินางก้าวเข้าไปเตือน นางจึงได้กล่าวขอบพระทัยติดๆ กันฮ่องเต้ตรัสแล้วไม่คืนคำ เพียงชั่วพริบตา หวังเหม่ยเหรินก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปถึงสองระดับ ทำให้เหล่าฮูหยินและไฉเหรินทั้งหลายอิจฉาไม่หยุดในเสี้ยววินาทีนั้น ก็มีคนเสนอตัวออกมาติดต่อกันเป็นจำนวนมาก จนทั่วทั้งตำหนักก็คึกคักขึ้นมาหย่าเฟยก็เต้นระบำของแคว้นเจาซีท่ามกลางสายตาผู้คนเพื่อสร้างความสำราญเช่นกัน สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปยังสะดือที่ปรากฏขึ้นอย่างวับวาบของนางเจียงเฟิ่งหัวนั่งอยู่บนที่นั่งอย่างว่าง่าย สายตาของฮ่องเต้มิได้ละจากฮองเฮาเลย นี่เขาหมายความว่าอย่างไรกัน? หรือฮ่องเต้ประสงค์ให้ฮองเฮาร่ายรำเพื่อพระองค์สักเพลงเช่นกัน?นางรีบปฏิเสธความคิดนี้ เพราะฮองเฮาอายุสี่สิบกว่าแล้ว ผู้ใดจะคาดว่าวินาทีฮ่
ก็เห็นฮองเฮาทรงอาภรณ์หงส์อันหรูหราน่าเกรงขามประทับนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน แม้นทั่วทั้งตำหนักจะเป็นสนมนางในของฮ่องเต้ ทว่าความยินดีบนใบหน้าของนางไม่ว่าจะปิดบังอย่างไรก็ปิดไม่มิดนางกำลังยินดีต่อความใส่ใจและห่วงใยที่บุตรชายมีต่อนาง ดังนั้นนางจึงอยากบอกให้ทุกคนได้รับรู้“ซางเอ๋อร์ หรวนหร่วน พวกเจ้าสองสามีภรรยากินให้มากหน่อย อาหารบนโต๊ะล้วนเป็นของที่พวกเจ้าชอบ” ฮองเฮาตรัสเซี่ยซางรู้สึกกระดากเล็กน้อย “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่” ที่แท้สิ่งที่เสด็จแม่ต้องการเป็นเพียงคำพูดที่แสดงความห่วงใยไม่กี่ประโยคของเขา ทว่าหลายปีมานี้เขากลับไม่เคยทำเลยสักครั้ง ส่วนมากล้วนเป็นการตัดพ้อต่อว่า เขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เสด็จแม่ก็เสวยให้มากหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”เซี่ยซางเลือกอาหารที่ดีที่สุดวางลงในจาน แล้วให้นางกำนัลส่งไปที่เบื้องหน้าของฮองเฮา ฮองเฮาตะลึงไปครู่หนึ่ง หมอกน้ำตาจางๆ ปรากฏขึ้นในดวงตา จากนั้นก็กินอาหารลงไปอย่างยินดี การที่เขาเรียกนางว่าเสด็จแม่คำหนึ่งทำให้นางถึงกับน้ำตาไหลอาบแก้มมื้ออาหารเช่นนี้ทำผู้คนรับประทานจนหัวใจจะวาย มีเพียงฮองเฮาผู้เดียวเท่านั้นที่เพลิดเพลินไปกับมัน“ฝ่าบาทเสด็จ
ในชาตินี้ นางจะให้ลูกของนางถือกำเนิดภายใต้การรอคอยของเซี่ยซาง ได้รับความรักจากเขาจนเติบใหญ่ นางจะไม่มีทางซ้ำรอยความผิดพลาดในชาติก่อนแน่เจียงเฟิ่งหัวไม่มีทางไปสนใจว่า ซูถิงหว่านจะถูกจับกรอกยาป้องกันการมีบุตรด้วยวิธีใดเมื่อเรื่องในตำหนักคุนหนิงและตำหนักเฉินซีลอยไปถึงหูตำหนักอื่น หลังทุกคนได้รู้ก็เพียงหัวเราะออกมาเท่านั้นซูกุ้ยเฟยกดฮองเฮามานานหลายปีเพียงนี้ เวลานี้ซูกุ้ยเฟยถูกย้ายไปอยู่ตำหนักเย็นแล้ว ฮองเฮาจะไม่จัดการกับหลานสาวของนางได้อย่างไรผู้ใดใช้ให้หลานสาวของนางยั่วยวนจนลูกชายของฮองเฮาจนลุ่มหลง ฮองเฮาถอยแล้วถอยอีกถึงได้รับปากให้รับนางเข้าจวนมาเป็นชายารอง คิดไม่ถึงว่านางกลับไม่รู้จักกฎระเบียบ ไม่รู้หนักเบาเช่นนี้ที่น่าสงสารที่สุดคือบุตรสาวของราชครูเจียง เป็นพระชายาเหิงอ๋องแล้วอย่างไร ยังมิใช่ไม่ได้รับความโปรดปรานจากสวามีหรือ คำพูดนี้ ในชาติก่อนยามทุกคนพบหน้าล้วนต้องกล่าวถึงขึ้นมาสักประโยค ราวกับกำลังรำพันถึงความหนาวเหน็บที่อยู่ในใจนางอย่างไรก็ตาม ในชาตินี้ทุกคนต้องพูดว่า พระชายาเหิงอ๋องมีการศึกษารู้ธรรมเนียม สง่างามสูงศักดิ์ รูปโฉมไม่ธรรมดา เหิงอ๋องก็โปรดปรานนางเป็นอย่างยิ
รอจนเซี่ยซางจากไป ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวของซูถิงหว่านจึงจับจ้องไปที่เจียงเฟิ่งหัว จะต้องเป็นนางกล่าวสิ่งใดกับอาซางแน่ อาซางถึงได้รังเกียจข้าเช่นนี้สี่หมัวมัวก็ตกใจมากเช่นกัน นางไม่เคยเห็นเหิงอ๋องบันดาลโทสะใส่ชายารองซูเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไม่เคยเห็นเขาเป็นห่วงฮองเฮาถึงเพียงนี้เจียงเฟิ่งหัวปรากฏกายขึ้นที่เบื้องหน้าของซูถิงหว่านอย่างสง่างามและน่าเกรงขาม นางจับจ้องไปที่นางโดยไม่แม้จะกะพริบด้วยสีหน้าเย็นชาและบรรยากาศที่กดดันผู้คน “ชายารองซู เจ้าคิดว่าท่านอ๋องทรงไม่ทราบเรื่องที่เจ้าแอบอ้างชื่อของข้าหลอกลวงคนไปทั่วอย่างนั้นหรือ”ดวงตาของซูถิงหว่านแสดงความประหลาดใจออกมา รีบปฏิเสธอย่างเร่งร้อนว่า “ท่านพูดสิ่งใดกัน ข้าฟังไม่เข้าใจ”“ฟังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรชายารองก็ลงชื่อไว้ ถูกเขียนไว้บนกระดาษเป็นลายลักษณ์อักษรเช่นนั้น คิดจะบ่ายเบี่ยงก็บ่ายเบี่ยงไม่พ้น”ซูถิงหว่านลนลานอย่างสิ้นเชิง นี่ก็เป็นเรื่องที่อวิ๋นฟางออกความคิดขึ้นมาเช่นกัน นางกล่าวว่า “อาศัยสิ่งใดท่านถึงใช้เงินของอา...ท่านอ๋องได้ แต่ข้าใช้ไม่ได้ล่ะ”“เจ้าย่อมใช้ได้เช่นกัน เพียงแต่เจ้าไม่อาจนำชื่อของข้า ‘เจ
นางย้อนนึกถึงการเปลี่ยนแปลงของเซี่ยซาง มีเพียงตอนที่นางพูดถึงเฉิงฮองเฮาเท่านั้น ที่เขาดูเหมือนจะสะเทือนใจขึ้นมา กระทั่ง…คำพูดประโยคนั้นของเขาจู่ๆ ในสมองของเจียงเฟิ่งหัวก็มีความคิดที่ทำให้คนตื่นตระหนกผุดขึ้นมา หรือว่าเซี่ยซางเข้าใจมาตลอดว่าเฉิงฮองเฮาไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของเขาแม้แต่ท่าทีที่ฮ่องเต้มีต่อเฉิงฮองเฮาก็ไร้ไมตรีเช่นนั้น นางจึงคิดว่าตัวนางในอดีตก็เหมือนเฉิงฮองเฮา ที่ไม่เป็นที่พึงใจของสวามีตน และถึงขนาดรังเกียจเพราะในใจของเซี่ยซางมีสตรีนางอื่นอยู่อย่างนั้นที่ฮ่องเต้ทรงรังเกียจฮองเฮา ก็เพราะในใจของฮองเฮามีบุรุษอื่นเช่นนั้นหรือ? จึงคิดว่าเซี่ยซางเป็นลูกที่ถือกำเนิดจากฮองเฮาและชายอื่นนางรีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ราชวงศ์ไม่มีทางยอมให้สายเลือดของเชื้อพระวงศ์ไม่บริสุทธิ์อย่างเด็ดขาด นอกจากนี้เซี่ยซางยังต้องเป็นโอรสของฮ่องเต้จริงๆ ไม่เช่นนั้นเขาไม่มีทางมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้นางคล้ายจะตะลึงค้างไปแล้ว ดูเหมือนนางจะค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ของวังหลวงเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจซะแล้ว“ท่านอ๋อง ศีรษะของหม่อมฉันถูกพระองค์หมุนจนวิงเวียนไปหมดแล้วเพคะ ทรงรีบวางหม่อมฉันลงเร็วเข้า” เจียงเฟิ่งหัวรีบปรับ
สีหน้าของเจียงเฟิ่งหัวตะลึงไป ไม่มีสิ่งใดจะกล่าวอีก เซี่ยซางมุ่งมั่นปักใจรักซูถิงหว่านไม่แปรเปลี่ยน ดังนั้นเขาจึงมอบความโปรดปรานให้นาง และให้นางและอดทนให้อภัยนางอย่างไม่มีขีดจำกัดจู่ๆ นางก็กล่าวออกมาว่า “แม้แต่เด็กเล็กยังสามารถรับผิดชอบต่อคำพูดและพฤติกรรมของตน แล้วเหตุใดชายารองซูจึงทำไม่ได้ ชายารองซูนางไม่ใช่เด็กแล้ว ไม่อาจนำความไร้เดียงสา ร่าเริงเปิดกว้างมารับมือได้ทุกครั้ง นางสามารถไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่หม่อมฉันไม่ทำตามอำเภอใจโกรธใครโดยไม่มีเหตุผลได้”“วันนั้นหม่อมฉันเห็นท่านอ๋องแยกแยะถูกผิดในศาลได้อย่างง่ายดาย หม่อมฉันจึงเต็มไปด้วยความยอมรับนับถือต่อท่านอ๋อง คิดว่าไม่ว่าท่านอ๋องจัดการเรื่องใดล้วนสามารถพิจารณาถูกผิดได้อย่างกระจ่าง คิดไม่ถึงว่าเมื่อท่านอ๋องทรงเผชิญหน้ากับหญิงอันเป็นที่รัก จะทรงมัวเมาหลงใหลจนสูญเสียบรรทัดฐานที่ควรมี”เซี่ยซางจ้องนางอย่างไม่ละสายตา เพราะนางผิดหวังในตัวเขาเสียแล้ว จึงได้ไม่สนใจใช่หรือไม่?นางย่อมไม่มีทางพูดคำพูดประเภท ‘ผิดหวังในตัวเขา’ ที่ทำร้ายสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาออกมา จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป “ท่านอ๋องทรงอยากถามใช่หรือไม่ว่า ที
เมื่อซูถิงหว่านได้ยินก็ตกใจจนสีหน้าซีดสีขาว รีบกล่าวว่า “ข้าไม่ดื่ม เหตุใดข้าต้องดื่มด้วย ข้าไม่ได้ทำเรื่องที่ผิดต่ออาซาง ข้าก็บอกแล้ว ข้าไม่ได้อยู่กับชายอื่น ข้าอยู่กับแค่ท่านอ๋องเท่านั้น พวกท่านไปเรียกท่านอ๋องมาสิ ถามเขาดูว่าเมื่อเช้าทำเรื่องนั้นกับข้าใช่หรือไม่ ข้าจะพูดกับเขาต่อหน้า”หลังเฉิงฮองเฮาได้ยินก็หน้าแดงด้วยความเขินอาย เมื่อบุรุษผู้หนึ่งเต็มใจแตะต้องสตรีนางหนึ่งแสดงถึงสิ่งใด นี่แสดงว่าเขาชอบนาง หากครั้งนี้ซูถิงหว่านตั้งครรภ์ขึ้นมา และคืนก่อนนางก็ไม่ได้อยู่ในจวนอ๋องอีก เรื่องนี้ก็พูดได้ไม่ชัดเจนแล้วสี่หมัวมัวสั่งหมัวมัวอีกสี่นางให้กดซูถิงหว่านไว้อีกครั้งส่วนสี่หมัวมัวเมื่อยกยาขึ้นมาได้ก็จับกรอกลงปากของนางไปทันที ซูถิงหว่านหวาดกลัวแทบตาย นางปิดปากแน่น ไม่ง่ายเลยกว่านางจะล่อให้เซี่ยซางมาอยู่กับนางอีกครั้ง ต้องไม่ให้แผนชั่วของเฉิงฮองเฮาสำเร็จเด็ดขาดถึงอย่างไรซูถิงหว่านก็เป็นวรยุทธ์ แล้วจะยอมให้พวกนางกรอกยาง่ายๆ ได้อย่างไร นางโขกศีรษะออกไปอย่างแรงจนกระแทกถูกดั้งจมูกของสี่หมัวมัว เป็นเหตุให้จมูกของสี่หมัวมัวมีเลือดสดไหลออกมาจากนั้นก็ถือโอกาสที่ทุกคนกำลังตกตะลึงและผ่อนคลา
เซี่ยซางเป็นฝ่ายเดินเข้าไปประคองเจียงเฟิ่งหัวขึ้นมาด้วยฝีเท้าที่มั่นคง “ลุกขึ้นมาเถอะ”เขารู้จักเสด็จแม่ดี ขอเพียงเขาใส่ใจใครแม้เพียงเล็กน้อย เสด็จแม่ก็จะต้องเห็นคนผู้นั้นเป็นดั่งศัตรู ยี่สิบกว่าปีแล้ว ความเป็นห่วงใยที่เสด็จแม่มีต่อเขากดดันเขาจนแทบจะหายใจไม่ออกดวงตาทั้งคู่ของเจียงเฟิ่งหัวอดกลั้นจนเต็มไปด้วยหมอกน้ำตา ทำท่าจะลุกขึ้นมาทันที แต่ต้องพบว่าขาทั้งคู่ของนางแข็งทื่อ เซี่ยซางต้องช่วยประคองนางอีกแรงนางถึงลุกขึ้นมาได้เซี่ยซางคิดวางนางยืนดีแล้วจึงปล่อยมือออกวินาทีถัดมา ก็เห็นขาทั้งคู่ของเจียงเฟิ่งหัวสั่นสะท้านแล้วซวนเซจนล้มลงกับพื้น สีหน้าขาวซีดไปหมดเมื่อเซี่ยซางเห็นเช่นนั้นดวงตาก็เต็มไปด้วยความร้อนใจ อุ้มนางขึ้นมาทันที “หรวนหร่วน เจ้าเป็นอะไรไป? เหตุใดสีหน้าจึงได้แย่เช่นนี้”“หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเพคะ อาจเป็นเพราะคุกเข่านานไป เลยรู้สึกเวียนหัวอยู่บ้าง หม่อมฉันออกไปสูดอากาศเสียหน่อยก็หายแล้วเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวพูดเสียงเบา นางกำลังอดทนเซี่ยซางกอดนางไว้ในอ้อมกอดแน่น พยายามสะกดกลั้นเพลิงโทสะที่อัดแน่นอยู่ในอกโดยตลอด อุ้มนางได้ก็ออกจากตำหนักคุนหนิงทันทีเฉิงฮองเฮาก็ไม่คิดว่าจะ
เจียงเฟิ่งหัวรู้จักเฉิงฮองเฮาดี การที่นางส่งวังหมัวมัวไปเฝ้าดูทุกความเคลื่อนไหวของเซี่ยซาง ทำให้เขาไม่พอใจอยู่นานแล้ว ดังนั้นจึงทำให้ชาติก่อน พอเซี่ยซางขึ้นครองราชย์ อาศัยเพียงคำพูดประโยคเดียวของซูถิงหว่านก็แต่งตั้งซูกุ้ยเฟยเป็นไทเฮาแห่งวังตะวันตกนางไม่ได้รับความรักจากฮ่องเต้ จึงถ่ายโอนความสนใจทั้งหมดมาที่ตัวของเซี่ยซาง การควบคุมที่รุนแรงเช่นนี้แทบจะกลายเป็นความคลุ้มคลั่งไปแล้วเฉิงฮองเฮาก็ปล่อยให้นางคุกเข่าอยู่บนพื้น แม้แต่เบาะรองเข่าก็ไม่ประทานให้นางสักอัน ผิวของนางบอบบาง ตอนนี้หัวเขาแดงช้ำเป็นปื้นไปนานแล้ว แต่นางไม่ขยับแม้แต่น้อย หัวเข่ายิ่งออกแรงกดลงกับพื้นเข้าไปอีก ยิ่งแรงยิ่งดีในตอนที่เซี่ยซางบุกเข้ามาในตำหนักคุนหนิงด้วยความโมโห ก็เห็นเจียงเฟิ่งหัวกำลังคุกเข่าอยู่กลางตำหนัก ทั่วทั้งร่างของนางสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว หมอบราบอยู่บนพื้นจากนั้น เขาก็มิได้มองนางอีก แต่ทำความเคารพฮองเฮาอย่างเคารพครั้งหนึ่ง “ลูกถวายบังคมเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”ซูถิงหว่านติดตามอยู่เบื้องหลังของเซี่ยซาง เมื่อเห็นเจียงเฟิ่งหัวคุกเข่าอย่างเรียบร้อยอยู่บนพื้น นางก็ทำความเคารพอย่างนอบน้อมเช่นเดียวกัน “หม