ทางด้านนี้ เฉิงฮองเฮาเดินเข้าไปในตำหนักเฉิงเฉียนโดยตรง นางกล่าวเสียงหนักว่า “ข้าต้องการสนทนากับฝ่าบาทเพียงลำพัง หัวหน้าขันทีเฉาออกไปสักครู่เถิด!”ขณะที่หัวหน้าขันทีเฉากำลังลำบากใจ ฮ่องเต้พลันพูดออกมาว่า “เราหิวแล้ว ไปหาของกินมาให้เราสักหน่อย”หัวหน้าขันทีเฉารีบรับคำติดๆ กันทันทีฮองเฮาเดินไปถึงเบื้องหน้าฮ่องเต้ ไม่กล่าวสิ่งใดก็คุกเข่าลงทันที “เรื่องที่เกิดในตำหนักซูชิงชิงไม่ใช่แผนการของหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่มีทางลดตัวไปใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้ไปทำร้ายความบริสุทธิ์ของสตรีนางหนึ่ง เพราะหม่อมฉันก็เคยถูกให้ร้ายมาก่อน รู้ว่าการถูกคนใส่ความว่าคบชู้สู่ชายรสชาติเป็นเช่นใด หลายปีมานี้หม่อมฉันก็อยู่ไม่สู้ตาย มีชีวิตอยู่ไปวันๆ เท่านั้น”ดวงเนตรที่เย็นชาดุจน้ำแข็งของฮ่องเต้ตวัดมาที่นาง “เจ้ากำลังพูดว่าหลายปีมานี้ข้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี เจ้าได้ครอบครองตำแหน่งที่สตรีทั่วทั้งใต้หล้าอยากได้ เจ้ายังมีสิ่งใดที่ไม่พอใจอีก”“หม่อมฉันไม่กล้ากล่าวโทษว่าฝ่าบาททรงไม่ดีต่อหม่อมฉัน บัดนี้หม่อมฉันเป็นถึงฮองเฮาของพระองค์แล้ว ยังจะกล้าไม่พอใจอีกได้อย่างไร ฝ่าบาททรงเป็นโอรสสวรรค์ เป็นเสาหลักของราษฎรทั่วทั้งใต้หล้า
เมื่อออกมาจากวัง เซี่ยซางก็สั่งให้สารถีส่งคนทั้งสองกลับจวน เป็นเจียงเฟิ่งหัวยืนกรานให้คนขับรถม้าตามเขาไป ในเมื่อเรียกขึ้นรถม้าไม่ได้ เช่นนั้นพวกนางก็จะตามไปอย่างเงียบๆเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ฮ่องเต้สงสัยว่าฮองเฮาเป็นผู้กระทำ จึงพาลโมโหเซี่ยซางไปด้วย เจียงเฟิ่งหัวเดาว่าเป็นเพราะเซี่ยซางไม่ได้รับความเชื่อใจจากฮ่องเต้ จึงทำให้เขาตกสู่ภาวะซึมเศร้าจนอารมณ์แปรปรวนนางคิดไม่ถึงว่า เซี่ยซางซึ่งเป็นบุรุษชาติอาชาไนยผู้หนึ่งจะโศกเศร้าถึงเพียงนี้เพียงเพราะไม่ได้รับความไว้วางใจจากบิดา เขาปรารถนาการยอมรับจากฮ่องเต้มาตลอดไม่ผิด ตัวเซี่ยซางในยามนี้ปวดร้าวเป็นอย่างมาก นางมองออกแล้วเจียงเฟิ่งหัวเห็นฝนตกหนักไม่หยุด หากเซี่ยซางยังตากฝนต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นได้แม้นางจะรู้ว่าเซี่ยซางไม่มีทางตายด้วยเหตุนี้ แต่เรื่องที่นางต้องการทำยังไม่สำเร็จ และนางก็ไม่ต้องการสามีที่ในอนาคตเอาแต่ป่วยกระเสาะกระแสะเช่นกันทันใดนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็สั่งให้รถม้าหยุด นางหยิบร่มได้ก็กระโดดลงไปเมื่อซูถิงหว่านได้เห็นท่าสาวเท้าที่รวดเร็วดั่งสายลมของนางก็ตะลึงงัน นางจำได้ว่า ทุกครั้งที่เจียงเฟิ่งหัวลงจา
เมื่อขึ้นไปบนรถม้าแล้ว เซี่ยซางก็หยิบเสื้อคลุมมาคลุมลงบนร่างของนาง จากนั้นโอบนางไว้ในอ้อมกอดช่วยนางเช็ดผม เจียงเฟิ่งหัวดึงมือเขาออกไป “ท่านอ๋องก็เปียกโชกไปทั้งตัวเหมือนกัน ให้หม่อมฉันเช็ดให้ท่านด้วยเถอะเพคะ”“ร่างกายของข้าสบายดี แต่เจ้านั่นแหละ อย่าได้เป็นหวัดเชียว” เซี่ยซางเต็มไปด้วยความเป็นห่วงน้ำเสียงของเขาอ่อนละมุน แต่เมื่อดังเข้าหูซูถิงหว่านกลับทำให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง รถม้าอันกว้างขวางอย่างน้อยก็สามารถรองรับได้สามถึงสี่คน พวกเขากลับอิงแอบแนบชิดพลางแสดงความห่วงใยซึ่งกันและกัน นางจึงกล่าวอย่างอดไม่ได้ว่า “เจียงเฟิ่งหัว เจ้าอย่าได้เสแสร้งอีกเลย เจ้าจงใจลงไปร่ายรำยั่วยวนอาซาง”เซี่ยซางคิดไม่ถึงว่า ยามนี้ซูถิงหว่านจะพูดจาหยาบกระด้าง ไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นได้ถึงเพียงนี้ เขามองนางผิดไปจริงๆ ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากเจียงเฟิ่งหัวก็เขยิบกายนั่งห่างออกจากเซี่ยซางออกไปช่วงหนึ่ง แววตาของนางกระจ่างใส “ชายารองซูหมายความว่าอย่างไร?”ต่อหน้าของเซี่ยซาง ซูถิงหว่านกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นเจ้ากระโดดลงจากรถม้า”เจียงเฟิ่งหัวเบิกตากว้างอย่างไม่เข้าใจ
มีเพียงเจียงเฟิ่งหัวเท่านั้นที่ถูกปิดบังไม่รู้เรื่องอยู่คนเดียว เรื่องพวกนี้เซี่ยซางก็ไม่ได้คิดจะให้เจียงเฟิ่งหัวรู้ คิดว่าเจียงจิ่นเหยียนก็ไม่คิดจะให้นางถูกม้วนเข้าสู่การต่อสู้ในวังหลังเช่นกัน แต่วิธีการของเขานับว่าตรงไปตรงมาเกินไปจริงๆเจียงเฟิ่งหัวเบิกตากว้างมองไปยังเซี่ยซาง ความตกใจ สับสน และไม่เข้าใจ อารมณ์ต่างๆ ประดังกันเข้ามา “ท่านอ๋องบอกว่าซูกุ้ยเฟยต้องการทำร้ายหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่มีความแค้นใดกับนาง เหตุใดนางต้องทำร้ายหม่อมฉันด้วย”แน่นอนว่าที่นางต้องการทำร้ายเจ้าก็เพื่อซูถิงหว่านอย่างไรล่ะ เจ้านี่มันช่างโง่งมจริงๆยิ่งนางเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่านางมีจิตใจที่บริสุทธิ์ดีงามที่เจียงเฟิ่งหัวคิดคือ เมื่อกำจัดซูกุ้ยเฟยก็เท่ากับกำจัดคนหนุนหลังอันแข็งแกร่งของซูถิงหว่านออกไป เพราะการกดซูถิงหว่านไว้เพียงอย่างเดียวไม่อาจสั่นคลอนสกุลซูได้แม้เพียงเศษเสี้ยว ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อยนางก็เพียงค่อยๆ ขุดความปรารถนาในใจของซูถิงหว่านออกมาทีละน้อย แล้วปล่อยให้เซี่ยซางได้เห็นชัดว่า นางก็แค่คนที่ใช้เป็นแต่ลูกไม้สกปรกแบบซูกุ้ยเฟยเท่านั้น สุดท้าย เขาจะรับรู้ความจริงจากตัวซูถิงหว่า
ตั้งแต่เช้าตรู่ ท่านหมอหลวงเหมยก็รีบเข้าไปในจวนเหิงอ๋องอย่างเร่งร้อนโดยไม่กล้าหยุดพัก หลังตรวจอาการเสร็จ หมอหลวงเหมยก็กล่าวว่า “ท่านอ๋องทรงงานหนักสะสมกันจนร่างกายอ่อนแอ สิบวันก่อนก็มีอาการแล้ว ยามนี้ยังทรงตากฝนอีก โรคจึงปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง ทำให้อาการหนักเช่นนี้ ยังดีที่เมื่อคืนพระชายาทรงทำการลดไข้ลงมา หากความร้อนสะสมกันอยู่ภายในร่างกาย และท่านอ๋องก็หมดสติไม่รู้ตัวอีก เกรงว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้พ่ะย่ะค่ะ”เซี่ยซางพูดไม่ออก เขาคิดไม่ถึงว่าจะร้ายแรงถึงเพียงนี้ ความรู้สึกขอบคุณภายในใจที่มีต่อเจียงเฟิ่งหัวยิ่งมากขึ้นไปอีก เขาเขียนลงบนกระดาษว่า ‘เหตุใดพระชายาจึงพูดไม่ออกด้วย เพราะอะไรนางจึงได้เป็นหนักเช่นนี้’เสียงเพลงของนางไพเราะถึงเพียงนั้น หากในอนาคตไม่สามารถร้องเพลงได้นางต้องเสียใจแน่ เขาจึงเขียนอีกว่า ‘หมอหลวงเหมย ท่านจะต้องรักษาลำคอของพระชายาให้หายดีให้ได้’“ท่านอ๋องโปรดวางใจ กระหม่อมจะฝังเข็มให้พระชายา ในไม่ช้าพระชายาก็จะสามารถเอ่ยปากพูดได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”“พระชายาก็ทรงถูกไอเย็นทำร้ายเพราะตากฝนเช่นเดียวกัน เพราะลำคอบวมพองทำให้เส้นเสียงอุดตัน จึงเป็นเหตุให้ออกเสียงลำบากพ่ะย่ะค่
เจียงเฟิ่งหัวเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขา จากนั้นก็หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนเช่นกันว่า ‘ท่านอ๋องก็ต้องทรงพักผ่อนเช่นกันนะเพคะ เรื่องงานราชการนั้นสามารถพักไว้ก่อนได้’เซี่ยซางรู้สึกจนใจ ‘พระชายาเปิดรับคดีที่หน้าประตู เวลานี้พ่อบ้านเฉิงได้รับคดีความต่างๆ มาเป็นจำนวนมาก หากรับอย่างเดียวแต่ไม่จัดการ ก็จะกลายเป็นไร้ความหมายแล้ว ข้าจำเป็นต้องรีบจัดการ เพื่อมอบคำอธิบายให้แก่ราษฎร ‘เดิมเจียงเฟิ่งหัวพอพูดได้อยู่บ้าง เพียงแต่รู้สึกไม่สบายลำคอ และเสียงก็ยังไม่เพราะอีก นางจึงเขียนต่อว่า ‘เป็นหม่อมฉันสร้างปัญหาให้ท่านอ๋องแล้ว’เซี่ยซางอยากเดินเข้าไป แต่ก็ต้องอดกลั้นไว้ ‘ไม่ใช่ เป็นข้าที่ควรขอบคุณเจ้า ขอบคุณพระชายาที่คิดแทนข้าในทุกเรื่อง ข้ายินดีที่จะจัดการเรื่องคดีความ รับฟังเสียงของประชาชน’เจียงเฟิ่งหัวไม่กล่าวมากความอีก นางไม่กล้ารับความชอบ เซี่ยซางเป็นผู้ที่มีความสามารถ นอกจากนี้ วัตถุประสงค์ของนางก็คือการให้เขาได้ทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เช่นนี้เขาจึงจะสามารถเพิ่มพูนชื่อเสียงในใจของราษฎรได้ นางกำลังปูทางให้เซี่ยซางหลังเซี่ยซางเดินไป หันกลับมามองนางไปอย่างอาลัยอาวรณ์อยู่หลายครั้ง ในที่สุดเ
เซี่ยซางรู้สึกอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ในนี้ใส่สิ่งใดลงไปกัน เหตุใดจึงได้รสชาติแย่เช่นนี้ เขาเขียนอีกครั้ง ‘พระชายาก็ดื่มเจ้านี่เหมือนกันหรือ’หลินเฟิงพยักหน้า “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”‘นางดื่มไปแล้วหรือยัง?’หลินเฟิงเหลือบมองครั้งหนึ่งแล้วส่ายศีรษะ “ไม่ได้ดื่มพ่ะย่ะค่ะ พระชายาก็ทรงรู้สึกว่าดื่มยากเช่นกัน สวีหมัวมัวกำลังเกลี้ยกล่อมนางพ่ะย่ะค่ะ”หลินเฟิงแอบนินทาอยู่ในใจ ‘ใครใช้ให้เมื่อคืนพวกท่านสองสามีภรรยาหาเรื่องกันเล่า เหตุใดเมื่อคืนตอนเต้นรำท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักนั่น จึงไม่คิดถึงผลที่จะตามมา ทรมานไปเถอะ!’เซี่ยซางหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนคำว่า ‘พิจารณาใหม่อีกครั้ง’ ลงบนหนังสือคำร้อง จากนั้นก็ลุกจากที่นั่ง แล้วมุ่งหน้าเดินออกไปหลินเฟิงถือยาไล่ตามไป “ท่านอ๋อง ทรงดื่มยาก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ยังทรงอยากหายดีอยู่หรือไม่ ลูกผู้ชายอกสามศอก ยังกลัวการดื่มยาได้อย่างไร หากลือออกไปความน่าเกรงขามของท่านอ๋องจะเอาไปไว้ที่ใดกันพ่ะย่ะค่ะ…”เมื่อมาถึงหอหล่านเยว่ เซี่ยซางเห็นเจียงเฟิ่งหัวกำลังเอนกายพิงอยู่บนตั่งนุ่มอย่างเกียจคร้านผ่านทางหน้าต่าง ขาทั้งสองข้างของนางขดเข้าหากัน สง่างามทว่าปล่อยตัวตามสบาย ในมือ
หลินเฟิงกล่าวว่า “ท่านอ๋องก็ไม่ได้ดื่ม แถมยังอาเจียนออกมาด้วย ท่านหมอหลวงเหมยก็บอกไว้แล้วว่า ต้องกินยาอาการป่วยจึงจะหาย แต่เป็นตายอย่างไรก็ทรงไม่ยอมดื่ม”สองสามีภรรยาสบตาอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง พวกเขาต่างรู้สึกเขินอายที่กลัวการกินยาเมื่อหลินเฟิงเห็นท่าทางของคนทั้งสองก็อดหยอกล้อไม่ได้ เขาจงใจกล่าวว่า “ในเมื่อท่านอ๋องกับพระชายาไม่เต็มที่จะดื่มยา ก็ไม่ต้องดื่มแล้ว พวกเราที่เป็นข้ารับใช้ก็ไม่อาจบังคับให้เจ้านายดื่มยาไม่ใช่หรือ แต่ท่านหมอเหมยบอกไว้แล้วว่า หากหนึ่งวันไม่หาย ท่านอ๋องกับพระชายาก็ไม่อาจพบหน้ากันต่อไปอีกหนึ่งวัน ยามสนทนาก็ต้องอยู่ให้ห่างไปไกล แต่ว่าท่านอ๋องกับพระชายาต่างก็กลายเป็นคนใบ้แล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดจาเท่าไหร่ เช่นนั้นก็ปล่อยไปแบบนี้ไปเถอะ”สวีหมัวมัวก็ฟังความนัยที่แฝงอยู่ออกเช่นกัน จึงยกชามยาขึ้นมา เตรียมจะเดินออกไปทันที “ไม่ดื่มก็ไม่ดื่ม พักรักษาตัวสักพักก็หายดีได้เหมือนกัน เพียงแต่ระยะเวลาจะนานหน่อย แล้วก็ทรมานอยู่บ้าง…”เจียงเฟิ่งหัวไม่แม้แต่จะคิด ยื่นมือไปแย่งยามา แล้วกลั้นหายใจฝืนดื่มยาเต็มชานั่นลงไป เมื่อดื่มเสร็จ คิ้วกับจมูกของนางก็ย่นเข้าหากันเป็
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น
“แม่นางหลิน เจ้าดื่มช้าๆ หน่อย” กัวเซี่ยวไม่เหลือท่าทางเสเพลไร้ความสำรวมในอดีตอีก เขาเอ่ยห้ามปรามว่า “แม่นางหลิน เจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือ!”“ผู้ใดบอกว่าข้าอารมณ์ไม่ดีกัน” หลินอวี่กล่าวต่อว่า “สุรานี้เจ้าเป็นคนออกเงินซื้อ ท่านจะดื่มไม่ดื่ม?” กัวเซี่ยวรีบเทเหล้าออกมาอีกจอกแล้วดื่มลงไปจนหมดในอึกเดียว “ข้าดื่ม” ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะได้ดื่มสุรากับนาง แน่นอนว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้มั่นสุราผ่านไปสามรอบ กัวเซี่ยวก็ดื่มจนหน้าแดงก่ำแล้ว แม้แต่นั่งก็นั่งไม่มั่น “ดื่มอีก ข้ายังดื่มได้…ดื่ม…แม่นาง…แม่นางหลิน เจ้าช่างงามนัก”สีหน้าของหลินอวี่ยิ่งเปล่งปลั่งแดงระเรื่อ จู่ๆ นิ้วเรียวงามทั้งสิบของนางก็สัมผัสลงบนแก้มของเขา คนที่อยู่เบื้องหน้าราวกับได้กลายเป็นผู้ที่อยู่ในใจนางไปแล้ว นางพึมพำว่า “คุณชายน้อย ดื่มสุราสิ”กัวเซี่ยวถูกอารมณ์รักทำให้เลอะเลือนไปแล้ว เขาคว้ามือนางไว้แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด “แม่นางหลิน ข้าชอบเจ้า”หลินอวี่หัวเราะอย่างหยาดเยิ้ม ตั้งแต่เด็กนางก็เรียนรู้ทักษะการล่อลวงบุรุษพวกนั้นกับเจียงเฟิ่งหัว ยามนี้นำมาใช้กับกัวเซี่ยวก็เกินจะพอ อาศัยเพียงยิ้มเดียวของนางก็ทำให้กัวเซี่ยวมัวเมาลุ่มห
ไม่รอให้ชายฉกรรจ์ตอบสนอง หลินอวี่ก็เอ่ยเสียงหนักว่า “นำสุรามา คืนนี้พี่ชายจะออกเงินครั้งละร้อยตำลึงได้มากเท่าใด ข้าก็จะดื่มเป็นเพื่อนท่านมากเท่านั้น ว่าอย่างไร?”ม่านตาของชายฉกรรจ์หดแคบลง สุราเช่นนี้พวกเขาดื่มไม่ไหวดอก ทันใดนั้น คนทั้งสองก็ห่อเหี่ยวลงทันทีหลินอวี่ลุกขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าว่าสองท่านคงไม่ได้คิดมาดื่มสุราหาความสำราญ แต่เหมือนจะมาก่อเรื่องในหออี๋ชุนของข้ามากกว่า”“ผู้ใดบอกว่าไม่ได้มาดื่มสุรากัน” บุรุษหนึ่งในนั้นลุกขึ้นมา ชี้จมูกหลินอวี่ได้ก็ด่าออกมาทันทีว่า “หอสุราเน่าๆ อะไรของพวกเจ้ากัน เหล้าจอกละร้อยตำลึง ทำไมพวกเจ้าไม่ไปปล้นเสียเลยล่ะ”พูดจบเขาก็คิดจะเริ่มทำลายข้าวของ สุราอาหารกับจอกสุราถูกเขาพลิกโต๊ะจนล้มคว่ำหลินอวี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป แต่ไม่ทันที่นางจะลงมือ ในเวลานั้นเอง ที่หน้าประตูก็มีบุรุษผู้หนึ่งบุกเข้ามาปกป้องอยู่เบื้องหน้าของนางอย่างสง่างามน่าเกรงขาม “ข้ามาแล้ว เป็นไอ้ลูกเต่าลูกตะพาบตัวไหนกล้ามาก่อเรื่องที่หออี๋ชุนกัน”“แม่นางหลินวางใจเถอะ มีข้าอยู่ไม่มีใครกล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่แน่” ใบหน้ากัวเซี่ยวเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นหลินอวี่ถอ
หิมะตกแล้ว หิมะที่ตกหนักและปลิวไสวดุจขนห่าน ทำให้เมืองหลวงอันเรืองรองประดุจปกคลุมไปด้วยอาภรณ์สีเงิน ทัศนียภาพที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะนี้ก็ดูงดงามมีเอกลักษณ์ไปอีกแบบไม่ว่าสงครามที่ชายแดนจะรบกันหนักหน่วงเพียงใด ล้วนไม่อาจส่งผลกระทบต่อเมืองหลวง ที่ยังคงคึกคักและรุ่งเรืองเช่นเดิมเจียงเฟิ่งหัวสวมเสื้อคลุมอันหรูหราที่มีหมวกคลุมศีรษะยืนอยู่ข้างหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไปไกล ความคิดของนางล่องลอยออกไปไกลแสนไกล แววตาที่ลึกล้ำดุจบึงน้ำอันหนาวเหน็บสาดประกายเย็นเยียบออกมาคิดไม่ถึงว่าจะจัดการกับจีเฉินได้รวดเร็วเช่นนี้ ในชาติก่อน จีเฉินเป็นแรงหนุนคนสำคัญของซูถิงหว่าน พวกเขาคนหนึ่งอยู่ในวังคนหนึ่งอยู่นอกวัง ในนอกเสริมประสาน การกำจัดเขาทิ้งในเวลานี้จึงถือเป็นการกำจัดศัตรูคู่แค้นที่สำคัญไปได้คนหนึ่ง“เจ้าต้องกลับวังอีกแล้วสินะ! ข้าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกหลายเดือนอีกแล้วใช่หรือไม่ หวังจริงว่า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตอนเจ้าคลอดลูกได้ คนอื่นล้วนบอกว่า การคลอดลูกเป็นด่านความเป็นตายของผู้หญิงที่เท้าข้างหนึ่งก้าวไปอยู่ในตำหนักมัจจุราช” หลินอวี่ยืนอยู่ข้างนาย มองตามสายตาของนางไปยังควันที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ไกลออกไป
เนื่องจากสายสัมพันธ์กับซูฮองเฮา บัดนี้ อำนาจของซูไทเฮาจึงเหนือล้ำเฉิงฮองเฮาไปแล้วดังนั้น ฝูลู่จึงไม่กล้าล่วงเกินฮองเฮาเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ตำแหน่งแห่งที่ของเขาก็ยังไม่มั่นคงนัก ขันทีผู้หนึ่งแบบเขาจะไปช่วยใครได้ เขาช่วยผู้ใดไม่ได้ทั้งนั้นยังคงยุ่งเรื่องผู้อื่นให้น้อยลงจะดีกว่า!“คืนนี้ ฝ่าบาทจะทรงพลิกป้ายของพระสนมท่านใดพ่ะย่ะค่ะ?”ฮ่องเต้กล่าวว่า “ไม่พลิกป้ายแล้ว ช่วงนี้ข้างานราชกิจรัดตัว ไม่ต้องจัดนางสนมมาปรนนิบัติแล้ว ตรงไปที่ห้องทรงอักษรเลยเถอะ!”“พ่ะย่ะค่ะ” ฝูลู่กล่าว นับตั้งแต่ฮ่องเต้กลายเป็นองค์รัชทายาท มีวันใดที่ทรงไม่ยุ่งบ้าง เหล่าพระสนมในวังล้วนได้ไทเฮาดูแลทั้งนั้น ก็น่าจะทรงไปทำความรู้จักบ้างเฮ้อ! สถานที่ที่ฮ่องเต้ไปมากที่สุดยังคงเป็นตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา ดูท่าเสียนเฟยคงไม่มีโอกาสแล้ว ยังดีที่นางมีลูกสองคนจึงยังรักษาตำแหน่งเสียนเฟยไว้ได้เมื่อจีเฉินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเห็นฉากนี้ ในใจก็ยิ่งตื่นเต้น อย่างนั้นก็แปลว่าในอนาคตเจียงเฟิ่งหัวจะไม่ได้เป็นฮองเฮา และเซี่ยซางก็ไม่ได้ชอบนางด้วยแต่ไม่ถูกสิ!ลูกก็คลอดออกมาแล้ว เหตุใดพวกเขาสองคนจึงยังดู